28 มี.ค. 2022 เวลา 08:11 • ไลฟ์สไตล์
“กิเลสไม่กลัวการท่องจำตำรา
กิเลสไม่กลัวความรู้ในทางธรรม
… กิเลสกลัวคนรู้ทัน”
2
“ … ให้เวลากับการภาวนาของเราให้มากๆ หน่อย
ไม่ว่าจะเป็นพระหรือเป็นโยม
สนใจที่จะปฏิบัติ ต้องใส่ใจ ให้ความสำคัญ
มันเป็นงานสำคัญ
เราเรียนวิชาทางโลก กว่าจะได้รับปริญญาสักใบหนึ่ง
เรียนมาตั้งแต่อนุบาล เป็นสิบๆ ปี
ไม่ตั้งใจก็เรียนไม่จบ
ศึกษาธรรมะ มันเป็นศาสตร์อันหนึ่ง ต้องลงมือปฏิบัติ
ศาสตร์อันนี้ท่องจำเอาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
เราท่องตำรับตำราได้เยอะ กิเลสไม่กลัว
กิเลสไม่กลัวความรู้ทั้งหลาย
กระทั่งความรู้ในธรรมะที่เล่าเรียน
1
กิเลสกลัวคนรู้ทัน
กิเลสอยู่ในใจเรา
มันอยู่มานานแล้ว นับภพนับชาติไม่ถ้วน เราไม่เคยเห็น
มันเป็นเจ้านาย สั่งให้เราทำ สั่งให้เราพูด สั่งให้เราคิด
กิเลสมันสั่งทั้งนั้นเลย
ทั้งความคิด ทั้งคำพูด ทั้งการกระทำ
เราไม่เคยเห็น
เรามีแต่ความลำพองว่าเราเก่ง
ไม่มีใครบังคับเราได้ ไม่มีใครสั่งเราได้ ไม่กลัวใคร
เราไม่เห็นหรอก เป็นทาสอยู่
กว่าจะเรียนรู้ถึงจิตถึงใจตัวเอง กิเลสมันอยู่ที่จิต
ต้องเรียนรู้ให้ถึงจิตถึงใจ เราเห็นมัน
พอเราเห็นมัน มันถึงจะกลัวเรา
เราไม่เห็นมัน มันก็แอบอยู่ในใจเรา
เป็นเจ้านายเรา
ตกเป็นทาสโดยไม่รู้สึกตัว
การภาวนาต้องต่อเนื่อง
ในสังสารวัฏที่ยาวไกล เราเป็นทาสกิเลสมาตลอด
ฉะนั้นยากที่จะรู้ตัว เป็นทาสโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นทาส
ยากที่จะรู้ว่าเราเป็นทาส
ต้องใช้การสังเกตเอา
ค่อยๆ เห็นไป จิตใจมันถูกกิเลสบงการ
สร้างมโนกรรมที่ไม่ดี
ก็เกิดวจีกรรม เกิดกายกรรมที่ไม่ดี
กรรมทั้ง 3 อย่าง
ต้องใช้เวลา
เราสะสมกิเลสมานานนับภพนับชาติไม่ถ้วน
กิเลสมันเลยเปลือกหนามาก
ปุถุชนก็คนหนาคนหยาบ กิเลสมันหนาครอบงำเราไว้
ฉะนั้นเราจะภาวนา ก็ต้องใช้เวลา
ค่อยๆ ลอกเปลือกมัน
ค่อยๆ กะเทาะเปลือกมันที่มันห่อหุ้มเราไว้ ห่อหุ้มจิตเอาไว้
ต้องใช้เวลา
ถ้าเราเพิ่งเริ่ม ไม่เคยฝึกที่จะรู้เท่าทันจิตใจตัวเองเลย
ก็ใช้เวลาเยอะหน่อย
ถ้าเคยฝึกมาแล้ว มันก็ใช้เวลาน้อยหน่อย
อย่าว่าแต่โยมเลย
โยมภาวนาแล้วก็เลิก เลิกแล้วก็ภาวนา อะไรอย่างนี้
หวังจะได้มรรคได้ผล มันไม่ได้ง่ายๆ หรอก
วันนี้ลอกกิเลส อีกวันหนึ่งพอกกิเลสใหม่
พอกกลับเข้าไปอีก มักจะพอกหนากว่าเก่าอีก
กระทั่งเป็นพระ พระอยู่กับหลวงพ่อ
หลวงพ่อควบคุมเรื่องการปฏิบัติ ต้องทำต่อเนื่อง
ตื่นมาก็ต้องเริ่มปฏิบัติแล้ว รู้สึกใจ รู้สึกกายไป
ก็ตื่นขึ้นมา จิตมันตื่นก่อน ร่างกายมันตื่นทีหลัง
สติเราเร็วๆ เราเห็นจิตมันขึ้นจากภวังค์
ค่อยเกิดความคิด คำพูด การกระทำขึ้นมา
ฉะนั้นอย่างเป็นพระ ถ้าอยู่กับหลวงพ่อที่นี่
หลวงพ่อไม่ให้วอกแวกไปที่อื่นหรอก
ประเภทเข้าๆ ออกๆ
เข้ามายาก กว่าจะเข้ามาที่นี่ได้
ถ้าออกไปแล้ว ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เข้ามาอีกแล้ว
1
ทำไมมีระบบพิลึกอย่างนี้
เพราะการภาวนามันต้องต่อเนื่อง
วันนี้ภาวนาแล้วก็ขี้เกียจขึ้นมา เบื่อขึ้นมา
ออกไปเที่ยว ตระเวนไปโน่นไปนี่ นี่เป็นพระ
ถ้าเป็นโยม ก็ไปดูหนังฟังเพลง ไปอะไร
พระก็เที่ยววัดโน้นวัดนี้อะไรอย่างนี้
สิ่งที่สะสมไว้ มันสลายตัวไปหมดแล้ว
ความดีทั้งหลาย สมาธิเสื่อม
ไปวุ่นวายกับโลกข้างนอกมากๆ ดีไม่ดี ศีลก็เสื่อมอีก
ศีลก็เสีย สมาธิก็เสีย อย่ามาพูดเรื่องเจริญปัญญา
ไม่มีทาง
อย่างออกไปตระเวนมาสักช่วงหนึ่งแล้วกลับเข้ามา
มันติดลบเข้ามาแล้ว ไม่ใช่นับหนึ่งใหม่
มันนับติดลบก่อน
เพราะว่าไปสะสมพอกพูนกิเลสกลับเข้ามาอีก
นี่ขนาดพระ
ส่วนโยมในวันเดียวกันใช่ไหม
นึกถึงการปฏิบัติก็ปฏิบัติ ประเดี๋ยวเดียวก็เผลอแล้ว
ไปเล่นเน็ตเล่นอะไร วุ่นวาย
อ่านข่าวที่ทำให้ใจร้อน
ข่าวสารที่รับส่วนใหญ่เป็นยาพิษ
สิ่งที่ดี มีคุณค่ากับจิตใจ หายาก
ไม่ค่อยมีใครผลิตออกมาหรอก
ฉะนั้นอย่างถ้าเราเป็นฆราวาส
เราอยากภาวนาให้ได้มรรคได้ผลจริงๆ
ต้องตั้งใจให้เด็ดเดี่ยว
เป้าหมายในชีวิตเราคืออะไร
ไม่ใช่อยู่กับโลกไปเรื่อยๆ ตามเขาไปเรื่อยๆ
ใครเขาทำอะไร ก็ทำตามๆ เขาไปเรื่อยๆ
ตลอดชีวิตก็มีแค่นั้น
ก็เวียนว่ายตายเกิดตามเขาไปเรื่อยๆ
ถ้าตั้งเป้าหมายว่าเราอยากพ้นทุกข์
อยากรู้ทั่วถึงธรรมของพระพุทธเจ้า คำสอนทั้งหลาย
ก็ต้องเด็ดเดี่ยว มีวินัยในตัวเอง ไม่ตามใจกิเลส
กิเลสถ้าตามใจมันเข้าทีหนึ่ง กำลังของมันจะเพิ่มขึ้น
เวลากำลังของมันมากขึ้น
กว่าจะสู้กะเทาะมันออกได้ ไม่ใช่ง่าย
ฉะนั้นเวลากิเลสเกิด ให้รู้ทันไว้ ให้เห็นมันไว้
มันกลัวการเห็น
ถ้าเราไม่เห็นมัน
มันก็บงการความคิด คำพูด การกระทำ
แล้วมันก็พอกพูนมากกว่าเก่า
กิเลสมันเติบโตได้ กุศลก็เติบโตได้
แต่กิเลสมันโตไวกว่า มันเหมือนวัชพืช
วัชพืชมันโตเร็ว
ไม่ได้ตั้งใจเลี้ยงมันสักหน่อย มันโตเอาๆ
ต้นไม้ดีๆ โตยากต้องดูแลมาก
กุศลนี้เหมือนกันจะพัฒนามันขึ้นมา ต้องดูแลมาก
ทำไมเป็นอย่างนั้น ?
เพราะพื้นฐานพวกเรา อกุศลมันเยอะ
อกุศลมากๆ จะพัฒนาให้เป็นกุศล แหม มันลำบาก
แต่ถ้าเราเคยฝึกฝนมาหลายภพหลายชาติ
กุศลมีกำลังกล้า การทำกุศลให้พัฒนาขึ้นไป ไม่ลำบาก
แต่ทำชั่วลำบาก สร้างกิเลสลำบาก
เราไม่ต้องเข้าข้างตัวเอง เราวัดใจตัวเองว่า
เวลาเราจะทำชั่วลำบากไหม
ถ้าทำได้หน้าตาเฉย แสดงว่า โอ้โห พื้นฐานย่ำแย่
ถ้าจะทำชั่วแล้ว รู้สึกลำบาก แสดงว่าพื้นฐานเราดี
จิตเรามีกำลังของกุศลอยู่เยอะ
พระพุทธเจ้าถึงบอก
“คนดีทำดีง่าย ทำชั่วยาก
คนชั่วทำดียาก ทำชั่วง่าย”
เราวัดตัวเราเอง ไม่ต้องให้ใครมาวัดหรอก
เวลาเราจะทำความดีอะไรสักอย่าง ยากไหม
อย่างจะตื่นมาวัด มาฟังธรรมอะไรอย่างนี้ ยากไหม
หรือมีความสุขที่ได้ทำความดี
หรือต้องทรมานมากเคี่ยวเข็ญมากกว่าจะเลื้อยขึ้นมาได้
วัดใจตัวเองไปเลย
เวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ทะเลาะกับใครสักคนอย่างนี้
อาฆาตเจ็บแค้นนานไหม
หรือวางได้เร็ว
ถ้าจิตใจเป็นกุศล โกรธเขาแป๊บๆ
เห็นความโกรธผุดขึ้นมา แค่เห็นมันก็ไปแล้ว
กิเลสมันแพ้การเห็น
หรือโกรธใครสักคนหลายปี
คิดจะเอาชนะ คิดจะเอาคืนให้ได้ ผูกใจเจ็บพยาบาท
ละความพยาบาทก็ละไม่ไหว ยาก
แสดงว่าจิตมันคุ้นเคยกับกิเลส
กิเลสมันเติบโตได้ กุศลก็เติบโตได้
แต่กิเลสมันโตไวกว่า
มันเหมือนวัชพืช วัชพืชมันโตเร็ว
ต้นไม้ดีๆ โตยากต้องดูแลมาก
กุศลนี้เหมือนกันจะพัฒนามันขึ้นมา
ต้องดูแลมาก
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ฉะนั้นเราไม่ต้องเข้าข้างตัวเองหรอก
แล้วก็ไม่ต้องไปประกาศหรอก
เราวัดใจตัวเองจริงๆ เลย
ทำดียาก หรือทำชั่วยาก
ถ้าเรารู้สึกว่าทำดียังยาก ก็ต้องอดทน
ดูจิตดูใจของเราไป
เห็นเลย กิเลสเป็นตัวบั่นทอนความดีเรา
มันแทรกเข้ามาเมื่อไร รู้ทันๆ ไป
กิเลสมันจะอ่อนกำลังลง
อย่างพื้นเดิมของหลวงพ่อเป็นพวกโทสะ
เป็นพวกหงุดหงิด เป็นพวกโทสจริต มาภาวนา
มาดูจิตดูใจ โอ๊ย เห็นโทสะเกิดทั้งวันเลย
ต่อมาสติมันก็เร็วขึ้นๆ
พอโทสะเริ่มงอก
งอกออกมาเป็นความขัดใจเล็กๆ ก็เห็นแล้ว
คล้ายๆ เราเห็นต้นกล้าของวัชพืช มันขึ้นมาแล้ว
ถอนมันทิ้งไป ด้วยสติ ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา
ถอนมันออก
ถ้าเราไม่เห็น มันก็โตขึ้นมา เป็นกิเลสชั่วหยาบรุนแรง
หลวงพ่อเป็นพวกโทสะ เห็นโทสะมันเกิดเรื่อยๆ
เดี๋ยวก็เกิดๆ ตาเห็นรูป ก็หงุดหงิดแล้ว ก็โมโหแล้ว
หูได้ยินเสียงก็รำคาญแล้ว
จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส
ใจกระทบความคิด เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
อาศัยการเห็น เห็นโทสะเกิดแล้วเห็นๆๆ
ต่อไปสติมันเร็วขึ้นๆ ก่อนที่โทสะตัวใหญ่จะเกิด
มันก็เป็นโทสะตัวเล็กมาก่อน
เราเห็นเร็ว มันก็คล้ายเห็นตั้งแต่ต้นอ่อนของมัน
ก็ทำลายมันได้
หรือเราเห็นลูกเสืออย่างนี้ ลูกเสือ เราสู้ไหว
ถ้าเห็นพ่อเสือ แม่เสือ กิเลสตัวใหญ่แล้ว
เหมือนพ่อเสือแม่เสือ สู้ยาก มีแต่จะยับเยิน
แต่พอสติเราเร็วขึ้น
เราเห็นตั้งแต่มันเป็นลูกเสือ จัดการง่าย
อาศัยการเห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก
ดูทุกวันๆ ด้วยความมีวินัยในตัวเอง ไม่ละเลย
รู้เลยว่าเราอยู่กับโลก ทำมาหากินอะไรนี่ ทำเต็มที่
ถ้าทำแล้วขี้เกียจอะไรอย่างนี้ มันเอาเปรียบคนอื่นเขา
มันโกงเขา
หลวงพ่อรับราชการ ถ้าขี้เกียจคือคอรัปชัน โกงแล้ว
ฉะนั้นถึงเวลาทำงาน เราทำเต็มที่
แต่ว่าเรารู้ว่านี่เป็นเครื่องอยู่กับโลก
หรือจะทำธุรกิจอะไรก็ทำให้เต็มที่
แต่รู้ว่ามันเป็นเครื่องอยู่กับโลก ตามหน้าที่
แต่งานหลักของเราคือการยกระดับจิตใจ
ให้พ้นจากกิเลส
พ้นกิเลสได้ มันก็พ้นทุกข์
ตัวที่ทำให้มันทุกข์ ก็ตัวกิเลสนั่นล่ะ …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
20 มีนาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา