2 เม.ย. 2022 เวลา 04:18 • ไลฟ์สไตล์
“ไม่หิวความสุข ไม่เกลียดความทุกข์ในโลก
…. พบกับความสุขที่ยั่งยืน”
“ … ความสุขไม่อยู่กับเราตลอดหรอก อยู่ชั่วคราว
เราลองทบทวนในชีวิตเราลองนึกย้อนหลังไป
ลองนึกย้อนไปตรงไหนที่เรามีความสุขที่สุด
นึกออกไหม
1
ตรงที่เราว่ามีความสุขๆ สุดท้ายมันก็ผ่านไปหมดแล้ว
ไม่มีอะไรยั่งยืนหรอก
ฉะนั้นการที่จะเอาความสุขมาเป็นเป้าหมายในชีวิต
อะไรนี่ไม่ได้เรื่องหรอก
สู้มาเรียนรู้ความจริงของความสุขไม่ได้
เพราะความสุขเองเป็นของชั่วคราว
เราจะได้ไม่หิวความสุข
ถ้าเราไม่หิวความสุข
เราก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยในการแสวงหาความสุข
แล้วเรามาเรียนรู้ความจริง
ความทุกข์มันก็อยู่ชั่วคราวเดี๋ยวมันก็ไปเหมือนกัน
เราก็จะไม่เกลียดความทุกข์
เราก็ไม่เหน็ดเหนื่อยในการวิ่งหนีความทุกข์
จิตใจเราก็เป็นอิสระ ไม่ต้องดิ้นรน
เพราะความสุขเพราะความทุกข์อีกต่อไป
เราเฝ้าดูลงไปในใจเรานี่
เดี๋ยวความสุขก็เกิดแล้วก็ดับ
ความทุกข์เกิดแล้วก็ดับ
นี่เรียกเห็นอนิจจัง มันเกิดแล้วมันก็ดับ
มันเกิดแล้วมันก็ดับ เฝ้ารู้เฝ้าดูไป
ในที่สุดก็รู้ความสุขก็ไม่ใช่สาระแก่นสาร
เป็นของที่เกิดแล้วดับ
ฉะนั้นความหิวโหย
จนทำให้เราต้องดิ้นรนหาความสุขอย่างมากมาย
แล้วก็นำความทุกข์มาให้ตัวเอง
หรือนำความทุกข์มาให้คนอื่นตั้งเยอะแยะ
เพื่ออยากจะได้ความสุข
เราไปอยากได้ของซึ่งไม่ยั่งยืนเลย
เดี๋ยวเดียวมันก็หายไปแล้ว
ใจที่ฉลาดมันก็ไม่หิว
ไม่หิวความสุขแล้วมันก็ไม่เกลียดความทุกข์ด้วย
เพราะมันก็รู้ความทุกข์มันมาชั่วคราวแล้วมันก็ไปเหมือนกัน
1
ยิ่งภาวนาเราจะยิ่งเห็นความทุกข์มากขึ้น
เราลองนึกดูในชีวิตเรา ตรงไหนที่ทุกข์ที่สุด
บางคนอกหัก รักเขาแล้วเขาไม่รักหรือเมียนอกใจ
อะไรอย่างนี้มีความทุกข์ขึ้นมา
เฝ้าดูสิความทุกข์ โอ๊ย โลกจะแตกแล้ว
กลุ้มใจมากอยากฆ่าตัวตายมาก
พอผ่านวันผ่านเวลาไปช่วงหนึ่งก็เฉยๆ แล้วไม่ทุกข์
เห็นไหมความทุกข์ก็ไม่ยั่งยืน ความสุขก็ไม่ยั่งยืน
ฉะนั้นเราจะไปหาความสุขหาความทุกข์มาเป็นเป้าหมายในชีวิตเรานี่ไม่ได้เรื่องหรอก มันยังน้อยไป
สิ่งที่เหนือกว่านั้นยังมีอยู่ เราดู ค่อยๆ ดู
ความสุขเกิดรู้ ความทุกข์เกิดก็รู้ มันดับไปก็รู้
ในที่สุดจิตก็เป็นกลางต่อความสุขความทุกข์
จิตก็ไม่ดิ้นรนแล้ว
ถ้าจิตไม่เป็นกลางมันก็ดิ้น
ดิ้นแสวงหาความสุข ดิ้นหนีความทุกข์ไปเรื่อยๆ
จิตใจที่ดิ้นรนนั่นล่ะจิตใจไม่มีความสุข
ใจกลุ้ม กลุ้มใจตลอดเวลา
ในโลกนี้คนไม่มีความสุขจริงหรอก
รวยแค่ไหนก็ไม่สุข มีอำนาจแค่ไหนก็ไม่มีความสุข
ใจมันไม่พอ
เราเฝ้ารู้เฝ้าดู ความสุขความทุกข์เราก็เห็น
หรือความดีความชั่วในใจเรา
เราดูลงไปกิเลสในใจเรานี่เป็นของแปลกปลอม
เราเห็นแต่แรกแล้วกิเลสเป็นของแปลกปลอมเข้ามา
มาแล้วก็ไปๆ เฝ้าดูอย่างนี้
เดี๋ยวก็โกรธเดี๋ยวก็หาย เดี๋ยวก็โกรธเดี๋ยวก็หาย
ตั้งใจจะไม่โกรธหรือตั้งใจจะไม่รัก
จิตใจมันก็ดันไปรักมันดันไปโกรธได้เอง
เราจะเห็นเลยเราบังคับจิตใจเราไม่ได้
อย่างเราเคยเกลียดคนๆ หนึ่ง
แล้วเราตั้งใจว่าต่อไปนี้เราเจอเขาเราจะไม่เกลียด
ปรากฏว่าเจอปุ๊บเกลียดปั๊บเลย
เราสั่งใจเราไม่ได้ห้ามใจเราไม่ได้
ไม่มีใครห้ามใจตัวเองได้หรอก
ไม่มีใครบังคับใจตัวเองได้หรอก
เพราะจิตใจเราเป็นอนัตตา
อนัตตา แปลว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ
จิตใจจะโกรธเราบังคับว่าอย่าโกรธไม่ได้
จิตใจจะโลภบังคับว่าอย่าโลภ ก็บังคับไม่ได้
เราเฝ้ารู้เฝ้าดู ความโกรธเกิดขึ้นเราก็รู้
เราก็เห็นว่ามันมาเองแล้วมันก็ไปเอง
ความโลภเกิดขึ้นเราก็รู้มันมาเองมันก็ไปเอง
เฝ้ารู้เฝ้าดู ในที่สุดใจมันก็ปล่อย
มันคล้ายๆ เหมือนลมพัดผ่านมา
บางทีลมพัดมาก็พากลิ่นดอกไม้หอมๆ มา แล้วมันก็ไป
บางทีมันก็พากลิ่นอะไรเหม็นๆ มาแล้วมันก็ไป
ทุกสิ่งในชีวิตเราที่ผ่านเข้ามา
จะดีหรือจะเลว จะสุขหรือจะทุกข์
จะชั่วหรือจะไม่ชั่วอะไรก็ตาม
มันมีแต่ของที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปตลอด
ฉะนั้นการที่เราเจริญปัญญา
คือเฝ้ารู้ความจริงลงในกายในใจเราไปเรื่อย
ในกายนี้ก็มีแต่ความไม่ยั่งยืน มีแต่ความทุกข์
ในความสุขทั้งหลาย
ในความรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ทั้งหลายอะไรนี่ก็ไม่ยั่งยืน
เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่เที่ยง
จิตใจของเราเป็นอนัตตาเราสั่งมันไม่ได้
สั่งว่าอย่ารักมันก็รัก สั่งว่าอย่าโกรธมันก็โกรธ
เฝ้าดูความจริงไปเรื่อยเราจะเห็นเลยในขันธ์ 5
นี่คือในกาย ในเวทนา ในสังขาร ในจิตใจเรานี้
มีแต่ของห้ามไม่ได้บังคับไม่ได้
เฝ้าดูไปเรื่อยๆ ในที่สุดจิตมันก็วาง
เบื้องต้นมันจะวางร่างกายก่อน
คือดูไปเรื่อยๆ เห็นเลย
ร่างกายไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา
ร่างกายเป็นสมบัติของโลก
เบื้องต้นเรายืมเชื้อสายพันธุ์ของพ่อของแม่มาคนละนิด
มาประกอบกันขึ้นมาเป็นร่างกายนี้
อาศัยอาหารอาศัยน้ำอาศัยอากาศของโลกเลี้ยงมันจนมันตัวโตขึ้นมา
แล้ววันหนึ่งมันก็แตกสลาย
ดินไปสู่ดิน น้ำไปสู่น้ำ ลมไปสู่ลม ไฟไปสู่ไฟ
คืนให้โลกไปทุกสิ่งทุกอย่าง
ร่างกายไม่ใช่ของดี เฝ้ารู้เฝ้าดูลงไป
ร่างกายเป็นวัตถุของโลกเป็นอนัตตา
ร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์บีบคั้นให้แตกสลายอยู่ตลอดเวลา
หนาวมากเกินไปก็ตาย ร้อนมากเกินไปก็ตาย
อิ่มมากก็ตาย หิวมากก็ตาย
พร้อมจะแตกสลายอยู่ตลอดเวลา
ร่างกายไม่ใช่ของดีของวิเศษ
พอเห็นอย่างนี้ลึกซึ้งอย่างนี้ จิตใจไม่ยึดถือร่างกาย
จิตใจก็เป็นอิสระจากร่างกาย
พอมาดูถึงจิตใจเราก็พัฒนาต่อไป
ก็จะเห็นเลยจิตใจเราจะสุขหรือจะทุกข์
จะดีหรือจะชั่วก็เป็นของชั่วคราว
เป็นของบังคับไม่ได้ ห้ามไม่ได้ หาสาระแก่นสารไม่ได้
มันทุกข์อยู่โดยตัวของมันเอง เฝ้าดู
ในที่สุดจิตก็ปล่อยวางจิต
ถ้าจิตปล่อยวางจิตเราก็เป็นอิสระจากจิตใจของตัวเอง
เราเข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นจริงๆ
เราพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง
ยิ่งภาวนาเราจะยิ่งเห็นความทุกข์มากขึ้น
จะเห็นว่ากายนี้ทุกข์ใจนี้ทุกข์
แต่ในขณะเดียวกันขณะที่เราเห็นว่ากายนี้ทุกข์ใจนี้ทุกข์
ความสุขมันก็เริ่มผุดขึ้นมาเริ่มงอกงามขึ้นในใจเรา
พุทธะ ผู้รู้ผู้ ตื่น ผู้เบิกบาน ก็ปรากฏขึ้น
ค่อยๆ เด่นชัดขึ้น ค่อยภาวนาไป
พอเราวางความยึดถือในกายในใจได้
พุทธะที่แท้จริงก็ปรากฏเด่นดวงขึ้นมาในใจเรา
เป็นอิสระ มีอิสรภาพ มีสันติภาพ สงบ
มีความสุขที่ยิ่งใหญ่
ในความสงบนั้นไม่ใช่สงบแบบแห้งแล้ง
เป็นสงบที่มีความสุขไม่มีอะไรเหมือน
ความสุขที่เทียบด้วยความสงบไม่มีหรอก
เราภาวนาในที่สุดจิตเราก็สงบ
พระนิพพานชื่อว่านิพพานๆ
ถ้าจะแปลว่ามันมีลักษณะอย่างไร
อธิบายว่ามันเป็นอย่างไร
นิพพานคือความสงบ สงบจากกิเลส
สงบจากการดิ้นรนปรุงแต่งแสวงหา
สงบจากธาตุขันธ์
เป็นอิสระจากรูปนามกายใจ
สงบจากทุกข์ ไม่ทุกข์อีกต่อไปแล้ว
พ้นจากทุกข์เด็ดขาด
เพราะทุกข์มันอยู่ที่กายทุกข์มันอยู่ที่ใจ
จิตที่มันพ้นทุกข์แล้วมันไม่ทุกข์ไปกับกายกับใจหรอก
กายกับใจมันก็ทุกข์ของมันต่อไป
แต่จิตที่มันถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วมันไม่ทุกข์ด้วยหรอก
ฉะนั้นเราฝึก ทำอย่างที่หลวงพ่อบอกนี่ล่ะ
เราไปฟังสิ่งที่หลวงพ่อสอนวันนี้ ฟังหลายๆ รอบ
ฟังทีเดียวจำได้นิดเดียวเข้าใจนิดเดียว
ฟังหลายๆ รอบ ถ้าเข้าใจแล้ว
การปฏิบัติที่เหลือไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว
พวกเราฟังแล้วก็เอาไปปฏิบัติเอา
ไม่มีใครช่วยเราให้พ้นทุกข์ได้ นอกจากตัวเราเอง
ไม่มีใครทำเราให้ถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้
นอกจากตัวเราเอง
นี่คือกฎแห่งกรรม
เราทำเหตุอย่างนี้เราก็ได้ผลอย่างนี้
ถ้าเราทำเหตุของความมีศีล
เราก็ไม่แพ้กิเลส ไม่แพ้กิเลสหยาบๆ
ถ้าจิตใจเรามีสมาธิ เราก็มีความพร้อม
มีสติมีสมาธิ เราพร้อมที่จะเจริญปัญญาแล้ว
พร้อมจะเข้าสงครามเอาชนะกิเลสแล้ว
ตรงที่ขั้นเจริญปัญญาคือการทำสงคราม
แล้วก็ชนะกิเลสในที่สุด
พอเราชนะกิเลสนี่เราชนะศัตรูแล้ว
จิตใจไม่มีเครื่องเสียดแทงอีกต่อไปแล้ว
จิตใจก็เข้าถึงสันติสุข
มีความสุขมีความสงบมีอิสรภาพที่แท้จริง
ค่อยฝึกไป วันนี้ยังไม่ถึงแต่วันหน้าก็ถึง ถ้าเราฝึกไม่เลิก
แต่ถ้าเราไม่ฝึกเราก็จมอยู่ในโลกต่อไป
ทุกข์อยู่กับชาวโลกนั้นต่อไป
คนในโลกไม่มีความสุขที่แท้จริงหรอก
ความสุขในโลกนั้นไม่ยั่งยืนสักอย่างเดียว
ฉะนั้นเราหาความสุขที่ยั่งยืนยิ่งกว่านั้นดีกว่า
ความสุขของธรรมะยั่งยืน ค่อยๆ ฝึกเอา. …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์​ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 กุมภาพันธ์ 2565
อ่านการธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา