5 เม.ย. 2022 เวลา 11:04 • นิยาย เรื่องสั้น
การทำดี บางครั้งก็ไม่ได้ดีเสมอไป
บางที เราก็ต้องมองดู และเอาใจใา่กับสิ่งต่างๆ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเช่นกัน
นิทานปรัมปราของชายตาบอด : เทพธิดาแห่งโรคระบาด
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ได้มีโรคระบาดเกิดขึ้นครั้งใหญ่
ในเมืองที่มีใต้สะพาน
เทพธิดาองค์หนึ่งบนสรวงสวรรค์ได้มองมายังโลกมนุษย์
ภาพผู้คนร้องโหยหวน ทรุดโทรมไร้เรี่ยวแรง ความทรมานจากอาการป่วย
การต่อสู้ฆ่าฟันเพื่อหาอาหารยังชีพ หรือกระทั่งการสังหารผู้ป่วยจนศพไม่มีที่ตะเผา
"ท่านไม่ต้องไปดูหรอก ยิ่งดูยิ่งสับสน โรคระบาดใหญ่ในครั้งนี้ มติสวรรค์ไม่ให้เราเข้าไปยุ่งเพราะมันเป็นสิ่งที่มนุษย์ก่อขึ้นมาเอง" เทพอายีรักก้าที่เกี่ยวข้องและข้องแวะกับมนุษย์มากที่สุดพูดเตือน มองเทพธิดา พร้อมกับถอนหายใจ
"แต่ก็นะ เหล่าทวยเทพล้วนทำอะไรแล้วแต่ใจ สุดท้ายก็แล้วแต่ตัวเจ้า หากเกิดอะไรขึ้น จะไม่มีใครยื่นมือเข้าไปยุ่งแน่นอน" พูดจบ เทพอายีรักก้าก็เดินจากไป
เทพธิดาได้ยินดังนั้น จึงปรากฏกายเนื้อที่โลกมนุษย์
เธอเดินด้วยขาของกายเนื้ออันสั่นเทา
เซบ้าง ล้มบ้าง และค่อยๆ เดินเข้าไปในตัวเมือง
ในเมืองหากไม่ไร้เสียง ก็จะมีเสียงคนทะเลาะกัน เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด และเสียงร่ำไห้
เธอเดินตรงไปยังกลุ่มคนป่วยที่จับกลุ่มกันอยู่รอความตายเพราะไร้หนทางรักษา
เธอจับมือคนป่วยเหล่านั้น และใช้พลังของเทพธิดา
แสงเรืองรองสองสว่างปรากฏออกมาจากผิวหนัง มันจากเจิดจ้า แต่อ่อนโยน
มันอบอุ่น แต่ชุ่มฉ่ำดังหยาดฝน
ในไม่ช้า สีหน้าของผู้ป่วยค่อยๆ ดีขึ้น
ความเจ็บปวดและทรมานบนใบหน้าหายไปหมดสิ้น
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างให้เทพธิดาช่วยรักษาให้
เธอรักษาผู้คนเหล่านั้นด้วยจิตใจเมตตา
เมื่อผู้คนยากลำบาก ทุกคนก็รู้สึกว่าทุกสิ่งมันขัดข้องไปหมด
ผู้ป่วยคนอื่นๆ อีกมากมายเริ่มรอไม่ไหว
พวกเขาเริ่มพลัก ดัน และเอื้อมมือไปหาเทพธิดา
คนที่อยู่ด้านหน้าก็พลัก คนอื่นๆ ที่มาเห็นเหตุการณ์ เมื่อรู้ว่าเทพธิดารักษาโรคได้ ต่างก็กรูกันเข้ามามากกว่าเดิม
จากการพลัก ดึง กระชาก
กลายเป็นการเตะ ต่อย ตีด้วยไม้ ทุบด้วยหิน
เทพธิดาที่เห็นเหตุการณ์วุ่นวายนั้นก็พยายามห้ามปราม
ก้อนหินลอยมากระแทกที่หัวของเธอ
เลือดสีแดงไหลยาวหยดลงกับพื้น
คนป่วยบางคนรีบก้มไปแตะเลือดแล้วเอามาทาตามตัว บางคนเริ่มดึงแขนของเธอ บางคนกระชากผม
เธอตัดสินใช้ใช้พลัง ทำให้ทุกคนชะงัก และดันคนออก พร้อมกับโผบินขึ้นท้องฟ้า
เธอบินหลบหนีมายังบ้านร้างแห่งหนึ่ง
ในเมืองตอนนี้กลับวุ่นวายกว่าเดิม
ทั้งคนที่ป่วย คนที่แข็งแรงดี หรือทหาร ต่างก็ออกตามหาเทพธิดา
การใช้กำลังปราบปรามความวุ่นวายอันน่ากลัว
เธอมองภาพเหล่านั้นด้วยร่างอันสั่นเทา
ความเจ็บปวดที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เธอแตะที่แผลของเธอ เลือดสีแดงกลายเป็นของเหลวข้นๆ สีดำ
ในเศษกระจกที่แตกๆ บนหน้าอันขาสผ่องของเธอ มีผิวหนังที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ ลุกลามออกจากปากแผล
เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ในคอ เธอสำลักเลือดออกมา
หรือว่าตัวเธอเองบัดนี้ก็ถูกโรคระบาด
เธอใช้พลังของเธอเพื่อรักษาตนเอง
แสว่งสว่างขาวเจิดจ้ากลืนกินทุกอย่างในห้อง
เมื่อทุกสิ่งกลับมาเป็นเหมือนเดิม เธอส่องกระจกอีกครั้ง แผลเธอดีขึ้น แต่ส่วนที่ดำไม่หายไป
เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันใดนั้น ก็มีเสียงโลหะหนักๆ ดังมาจากข้างหลัง
เหล่าองครักษ์ในชุดเกราะนับ 10 คนเดินมาคุกเข่า
"โปรดไปกับพวกเราเถิดท่านผู้เยียวยา
เราจะปกป้องท่าน เพื่อให้ท่านรักษาคนอื่นๆ ได้"
เธอสัมผัสถึงกลิ่นอายของความคิดร้ายที่ติดมากับทหารเหล่านี้ แต่หากเธอหนีไป ผู้คนก็จะล้มตาย
เธอตัดสินใจตามทหารองครักษ์ไป
และค่อยรักษาคนที่บ้านของเทศมนตรี
เธอรักษาคนทุกวัน
ไม่ว่าขุนนางจากแดนไกล สตรีผู้สูงศักดิ์ หรือเชื้อพระวงศ์ แต่เธอกลับไม่เคยเจอชาวบ้านแม้แต่ครั้งเดียว
"ทำไมเจ้าไม่ให้ชาวบ้านมารักษาบ้าง
พวกเขาก็เป็นคนเหมือนกันนะ" เธอบอกเทศมนตรี
"คนสำคัญจะทำให้เมืองอยู่รอดได้ ค่าของคนนั้นมันไม่ได้เท่ากัน
ท่านเทพธิดาคงไม่เข้าใจหรอก" เขาตอบเสร็จก็ให้ทหารองครักษ์พาเธอไปที่ห้อง
ตอนนี้เธอเหมือนนกในกรง เหมือนนักโทษที่มีคนคอยคุมและคอยออกคำสั่งตลอดเวลา
เธอเริ่มรู้สึกว่าพลังของเธออ่อนแรงลงเล็กน้อย รอยดำบนหน้าผากก็ค่อยๆ ลามออกมาถึงปลายผม
คืนนั้นเธอแอบหนีออกมา เพื่อรักษาผู้คน
เธอไปหาคนกลุ่มเล็กๆ หรือคนที่อยู่คนเดียว แอบรักษา แล้วก็กลับมา
เธอทำเช่นนี้ทุกคืน
นานวันไป รอยสีดำเริ่มลามไปตามคอ มันลามออกเป็นเส้นดั่งเส้นเลือดที่แพร่กระจายน้ำหมึกลงผิวขาวๆ
รอยจางๆ ที่เหมือนหมึกละลายน้ำ เริ่มปรากฏไปทั่วร่างกาย
บางวัน เธอต้องอยู่ที่บ้านรัฐมนตรีทั้งวันโดยไม่ได้รักษาใคร เห็นแต่รัฐมนตรีที่นั่งนับเหรียญทองอย่างมีความสุข
วันหนึ่ง เธอหนีออกมารักษาคน ช่วงกลางวัน
สภาพเธอตอนนี้ ผิวมีแต่รอยดำๆ
ไม่สว่างผ่องใสเหมือนเมื่อก่อน
คนป่วยที่ป่วยไม่มาก ทันทีที่เห็นเธอก็หลีกหนีด้วยความหวดกลัว
เธอรักษาคนได้น้อยลง และใช้เวลานานขึ้น
"ทำไมกัน ทั้งๆ ที่เราก็รักษาคนไปแล้วตั้งมากมาย ทำไม่คนป่วยไม่ลดลงเลย" เธอเริ่มไอออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง
คนที่พบเห็นตกใจ จึงบอกกับทหารองครักษ์
เมื่อทหารพบ เธอก็ถูกพาตัวไปทันที
"เจ้าไปไหนมา ชักช้าจริง ราชอาคันตุกะรอให้เจ้ารักษาอยู่เนี่ย"
รัฐมนตรีรีบเชิญแขกให้เทพธิดารักษา
ราชอาคันตุกะเมื่อเห็นเธอก็ตกใจในรูปลักษณ์
ผมสีดำสลับขาวเป็นหย่อมๆ ผิวที่มีจุดดำเป็นจ้ำๆ แม้จะกล้าๆ กลัวๆ แต่เขาก็ให้เทพธิดารักษา
เธอใช้พลังอีกครั้งหนึ่ง ร่างกายที่มีรอยดำค่อยๆ เปล่งแสงเรือๆ
ในเวลาไม่นาน แสงนั้นก็หายไป
"ข้ารักษาให้ท่านไม่ได้"
"ว่าไงนะ!!!" รัฐมนตรีตกใจเสียงดัง
แต่หลังจากนั้นเสียงราชอาคันตุกะดังกว่า
เท่าที่จับใจความได้ รัฐมนตรีเอาเงินจากราชอาคันตุกะมามากมาย
"เจ้ามันโจรชั่ว นอกจากจะให้ข้าต้องเดินทางมาไกล ให้ทรัพย์สมบัติมหาศาลแก่เจ้า ยังจะให้ผู้หญิงสกปรกที่ไหนไม่รู้มาแกล้งทำเป็นผู้รักษาอีก
เจ้าได้เห็นดีกันแน่" พูดจบราชอาคันตุกะก็เดินออกไปด้วยความโมโห
รัฐมนตรีโกรธเทพธิดามาก จึงดึงแขนนาง
"เพราะ​เจ้ามัวแต่รักษาเจ้าพวกหนูสกปรกน่ะสิ เจ้าเลยกลายเป็นแบบนี้
ข้าจะไม่ยอมเดือดร้อนไปคนเดียวหรอก"
รัฐมนตรีลากนางมาจนถึงจะตุรัสกลางเมือง
" ชาวบ้านทุกคนฟังทางนี้
ที่โรคร้ายไม่หายไปจากเมืองนั้น มันเป็นเรื่องที่แปลกๆ อยู่แล้ว
ไม่ว่าพวกเจ้าหรือข้าจะรักษาคนกันไปเท่าไร คนก็กลับมาป่วยอีก
โรคที่น่าจะไม่มีก็กลับมาไหม
รู้ไหมเพราะอะไร
เพราะนางคือเทพธิดาแห่งโรคระบาด
นางไม่ได้มารักษา แต่แกล้งทำเป็นรักษาเพื่อให้แน่ใจว่า
โรคระบาดนี้จะยังอยู่ต่อไป
หากเรากำจัดนาง โรคนี้ก็จะหายไป"
ผู้คนที่ได้ฟังต่างก็สับสน แต่คนบางคนที่ได้รับการรักษาให้หายแล้ว กลับมาป่วยเป็นเรื่องจริง
"ไม่ใช่อย่างที่รัฐมนตรีพูด ข้าตั้งใจมาเพื่อรักษาพวกเจ้าจริงๆ นะ"
"อ้าๆ ท่านเทพธิดายังจะเล่นละครแล้วหาข้อแก้ตัวอีก
อ๊ะ!!! แต่นางคือโรคระบาด
เราจะกำจัดโรคยังไงกันดี"
ชาวบ้านบางคนที่เคยพยามยามจะให้เทพธิดารักษาเริ่มส่งเสียง
"เผาฆ่าเชื้อ" ความโกรธเกรี้ยวที่ถูกเมินเฉย กับการรู้สึกว่าถูกทรยศ ทำให้คนพูดสิ่งเลวร้ายออกมาได้
"เอานางไปเผา"
"ใช่เอานางไปเผา"
" เผานังปีศาจนั่นซะ" ชาวบ้านบางคนหยิบไหน้ำมันปาไปที่เทพธิดา
"ได้เวลาจุดไฟแล้วสินะ" รัฐมนตรีแสยะยิ้ม คว้าคบเพลิงและเหวี่ยงลงที่พื้น
ไฟจากน้ำมันลามอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นลมปะทุ
รางของเธอถูกห้อมล้อมไปด้วยเปลวไป
"อ๊าาาาา!!!" เธอร้อง และพยายามเอามือตบไฟตามร่างกายของเธอ
"ทำไมทำกับข้าอย่างนี้
ข้าไม่ได้ทำอะไรที่ผิดเลยกับพวกเจ้า
พวกมนุษย์ เจ้าพวกมนุษย์" จู่ๆ ปลายเสียงก็เธอก็เปลี่ยนราวกับสัตว์ร้ายคลุ้มคลั่ง
ผู้คนต่างโยนไหน้ำมันลงไปสุมไฟเพิ่ม
"ข้าขอสาป แช่งเจ้า ขอสาป... " ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ จู่ๆ ไฟก็ดับ
แรงดันลมมหาศาลพุ่งออกมาจากตรงเทพธิดา
"เจ้าก็ช่างฝืนทำอะไรที่ไม่สมควร" ตรงกลางลานปรากฏร่างชายหนุ่มที่ห้อยนาฬิกา ผมสีทอง เสื้อคลุมแขนกุด
"ต่อแต่นี้ ไป พวกเจ้าก็หาทางรอดกันเอาเองละกัน คงไม่มีใครจะมาช่วยพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ" ทันทีที่เขาพูดจบประโยค ทั้งคู่ก็หายไป
หลังจากนั้น โรคระบาดก็กลับมาระบาดหนักกว่าเดิม
เพราะไม่ได้มีการคัดแยกป้องกันคนป่วยกับคนหายแล้วให้ดี
สุดท้าย สิ่งที่เทพธิดาทำมาก็สูญเปล่า
และไม่รู้ว่า ความเจ็บปวดและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในใจจะถูกเยียวยารักษาหรือไม่
ไม่แน่ เธออาจจะกลายเป็นเทพธิดาแห่งโรคระบาดจริงๆ ก็ได้...
เหมือนความเป็นจริงในปัจจุบันนี้
.
.
.
ถ้าใครพอจะรู้จักตัวละครลับท้ายเรื่อง ผมก็ดีใจมากเลย
บางทีชีวิตเราก็เหมือนเทพธิดา
ไปช่วย แล้วกลับแย่ลง
แย่ลงไม่พอ เราก็แย่ไปด้วย
บางครั้งคนที่ช่วย ก็กลับแว้งกัดเราอีก
และบางครั้ง มันก็ทำให้เรากลายเป็นคนชั่วไปด้วย
ไม่ผิดที่สงสาร อยากช่วย
แต่ผิดที่ไม่ได้ประเมิน
พวกเขาทำตัวเองกันไหม
จัดการอะไรกันดีหรือยัง
ผลกระทบอื่นๆ หรือสิ่งที่เกี่ยวข้อง
ถ้าคิดว่าไม่รู้ หรือคิดว่าข้อมูลไม่พอ
การปล่อยไว้อาจจะดีกว่าก็ได้
แม้จะเป็นคนกำลังจะเป็นจะตายก็ตามน่ะเหรอ
ผมเองก็เคยช่วยคนจะเป็นจะตาย
จริงไหม ไม่รู้
แต่ช่วยมานานแล้ว ยังช่วยต่อๆ ไป
เราไม่รู้ว่า เขาไปต่อไม่ได้เพราะสุดๆ จริงๆ
หรือเพราะ​เราช่วยจนเคยชิน
เขาจะเปลี่ยนเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า ผมก็คงตอบไม่ได้
นิทานเรื่องนี้มันยังไม่จบ
แล้วถ้าพวกคุณเจอ
จะตัดสินใจกันยังไงดี
คอมเมนต์ไว้ให้อ่านทีนะครับ
Martin Zen
#นิทานปรัมปราของชายตาบอด #โรคระบาด #นิทาน #ช่วยเหลือ #เมตตา #เห็นแก่ตัว
โฆษณา