13 เม.ย. 2022 เวลา 14:17 • กีฬา
Cold Therapy ศาสตร์รักษา-ฟื้นฟูร่างกายที่มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 | Main Stand
ลองนึกทบทวนกันไว ๆ ก่อนว่า เรามีวิธีการจัดการกับความเจ็บปวดหลังจากการออกกำลังกายอย่างไรกันบ้าง ? ไล่มาตั้งแต่การยืดเส้นคลายกล้ามเนื้อ ทายาบรรเทาอาการปวดพร้อมการนวด หรือบางทีหากปวดมาก ๆ ก็อาจจะต้องพึ่งยาแก้ปวดเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามยังมีอีกหนึ่งวิธีที่ค่อนข้างทำได้ง่ายและได้ผลค่อนข้างดี นั่นคือการใช้ "ความเย็น" เข้าสู้ ซึ่งเป็นวิธีที่สุดแสนจะเบสิกและทำได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการประคบเย็น การแช่เย็น ฉีดสเปรย์เย็น แม้กระทั่งการอาบน้ำเย็นก็สามารถให้ประโยชน์แก่ร่างกายและนับเป็นหนึ่งในแขนงของความเย็นบำบัดได้เช่นเดียวกัน
Cold Therapy หรือ การบำบัดด้วยความเย็น มีวิธีการอย่างไร ?​ แบบไหนที่เป็นที่นิยมและมีประโยชน์อย่างไร ?​ มาร่วมทำความรู้จักกับวิธีการดังกล่าวต้อนรับหน้าร้อนอันเดือดระอุให้มากขึ้นไปพร้อม ๆ กับ Main Stand
[เย็นเพื่อการบรรเทา]
เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า วิธีการใช้ "ความเย็นบำบัด" ไม่ว่าจะเป็นการประคบเย็นทันหลังจากที่เราได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุที่ทำให้เกิดอาการซ้น การแช่ในอ่างน้ำเย็นที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งแบบที่นักกีฬามืออาชีพชอบทำกัน หรือแม้กระทั่งการเข้าตู้บำบัดด้วยไอเย็น วิธีการเหล่านี้มาจากไหน ?​ มีที่มาอย่างไร ?​ และทำไมถึงได้รับความนิยม
การบรรเทาอาการเจ็บด้วยความเย็นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามสามารถเรียกรวม ๆ ได้ว่า "ความเย็นบำบัด" หรือในภาษาอังกฤษที่เรียกว่า "Cold Therapy" หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "Cryotherapy" เป็นคำที่ถูกนำจับมารวมกันระหว่างคำว่า "Cryo" ในภาษากรีกที่แปลว่า ความเย็น และคำว่า "Therapea" ที่แปลว่าการบำบัดหรือการรักษา เป็นวิธีการที่นำความเย็นไปใช้ให้เกิดปฏิกิริยาต่อกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดอาการชาบริเวณที่ปวดหรือทำให้หลอดเลือดหดตัวลงเพื่อลดการไหลเวียนโลหิตไปยังบริเวณที่เป็นแผลได้
2
ความเย็นบำบัดเป็นวิธีการบรรเทาอาการเจ็บของร่างกายที่เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ยุคโบราณ อย่างในอารยธรรมอียิปต์ที่มีการระบุถึงการใช้ความเย็นเพื่อการบรรเทาอาการระคายเคืองของผิวหนังในตำราทางการแพทย์จากกระดาษปาปิรุสที่ "เอ็ดวิน สมิธ" นักอียิปต์วิทยาได้ซื้อมาเก็บไว้และตั้งชื่อว่า "Edwin Smith Papyrus" จนภายหลังเป็นที่รู้จักกันในฐานะตำราการผ่าตัดที่เก่าแก่ที่สุด หรือในยุคกรีกเมื่อ "ฮิปโปเครตีส" แพทย์ที่มีชื่อเสียงได้เผยแพร่วิธีการใช้ความเย็นบรรเทาอาการบาดเจ็บด้วยการนำน้ำแข็งหรือหิมะมาห้ามเลือดหรือดื่มน้ำเย็นเพื่อบรรเทาไข้
2
วิธีการของฮิปโปเครตีสยังมีอิทธิพลต่อ "เกเลน" แพทย์ชาวกรีกอีกหนึ่งคนที่ได้ลองผิดลองถูกกับการใช้ความเย็นบำบัดเช่นกัน อย่างการทำ "ครีมเย็น" (Cold Cream) ที่ปัจจุบันมักจะรู้จักกันในฐานะครีมเพื่อความสวยความงาม แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นครีมที่ทาเพื่อลดไข้ มีการสันนิษฐานกันว่าครีมเย็นที่ว่านี้มีส่วนผสมของน้ำมันมะกอก น้ำ และขี้ผึ้งเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามความเย็นบำบัดเริ่มเป็นที่สนใจในวงการแพทย์สมัยใหม่จริง ๆ ก็เมื่อตอนที่เริ่มมีการใช้น้ำเย็น "อาบ" และก่อนที่มันจะถูกรับรู้ว่ามีประโยชน์และช่วยฟื้นฟูร่างกายได้ เดิมทีจุดประสงค์ของมันก็มีไว้เพื่อการผ่อนคลายล้วน ๆ
[เย็นเพื่อการผ่อนคลาย]
ความเย็นบำบัดในการแพทย์สมัยใหม่เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 17 ผ่านบทความการศึกษาประโยชน์และสุขอนามัยของการใช้น้ำร้อนและน้ำเย็นที่ชื่อ "An Enquiry into the Right Use and Abuses of the Hot, Cold, and Temperate Baths in England" ที่ถูกเขียนขึ้นโดยแพทย์ชาวอังกฤษ "จอห์น ฟลอยเยอร์" ที่พบว่าการแช่น้ำเย็นทำให้เขารู้สึกสุขภาพดีขึ้นและผ่อนคลายมากขึ้นอย่างน่าสนใจ
ในเวลาต่อมาช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 การแช่น้ำเย็นได้เข้ามามีบทบาทในฐานะวิธีการระงับไข้และการคลายกล้ามเนื้ออย่างจริงจังมากขึ้น นายแพทย์ชาวสกอตแลนด์ชื่อ "วิลเลียม คัลเลน" เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ส่งเสริมการอาบน้ำเย็นในช่วงแรก เพราะเขามองว่ามันมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย คัลเลนอธิบายว่า การอาบน้ำเย็น สามารถช่วยเป็นตัวกระตุ้นให้แก่ร่างกายได้ รวมถึงมีส่วนช่วยในเรื่องของระบบไหลเวียนโลหิตของร่างกาย แต่ในทางกลับกันความเย็นแบบเฉียบพลันก็อาจทำให้ล้มป่วยจากการเป็นไข้ได้ด้วย
ปัจจุบัน การอาบน้ำเย็น เป็นวิธีใช้ความเย็นบำบัดในแบบที่เราทำได้เอง พร้อมกับยังได้ชื่อว่าเป็นวิธีการที่มีประโยชน์อย่างมาก ในการคลายความเครียด เพราะตอนที่เราโดนน้ำเย็นร่างกายของเราจะรู้สึกเหมือนกับโดนช็อตด้วยไฟฟ้าอ่อน ๆ แล้วส่งแรงกระตุ้นไปยังสมองเพื่อเพิ่มความตื่นตัวและอาจช่วยกระตุ้นการการหลั่งฮอร์โมนเอ็นโดรฟิน อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญ เพราะเนื้อเยื่อไขมันสีน้ำตาล (Brown Fat) ของร่างกายเราจะถูกกระตุ้นด้วยอุณหภูมิที่เย็น
1
การอาบน้ำเย็นยังมีส่วนช่วยในการปรับระบบไหลเวียนโลหิตให้เป็นปกติ เพราะการอาบน้ำเย็นที่เย็นกว่าอุณหภูมิของร่างกายจะช่วยทำให้ร่างกายของเราทำงานหนักขึ้น เพื่อรักษาอุณหภูมิแกนกลางเอาไว้และอาจมีผลทำให้ผิวพรรณของเราดีขึ้นได้อีกด้วย
การใช้ความเย็นอย่างเหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดี อาจดูตัวอย่างได้จากนักกีฬา
[เย็นเพื่อการฟื้นฟู]
สำหรับในวงการกีฬา ความเย็น ถือเป็นสิ่งที่นักกีฬามักจะคุ้นเคยอยู่เสมอ เป็นอาวุธลับของนักกีฬาที่มักจะถูกงัดออกมาใช้เสมอหลังจากใช้ร่างกายมาอย่างหนักเพื่อลดอาการบวม อาการเมื่อยล้า ลดความเสียหายของกล้ามเนื้อ ป้องกันกล้ามเนื้อกระตุก โดยอุณหภูมิความเย็นที่เหมาะแก่การฟื้นฟูร่างกายจะอยู่ที่ราว ๆ 15 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการประคบเย็นนานประมาณ 15 นาที
อีกวิธีที่ได้รับความนิยมคือ "การแช่เย็น" ที่ต้องเติมน้ำแข็งจำนวนมากก่อนลงไปแช่ และต้องแช่ประมาณ 10 นาที เป็นวิธีที่นักกีฬาตั้งแต่วงการวิ่ง อเมริกันฟุตบอล ฟุตบอล บาสเกตบอล หรือกีฬาที่ใช้ร่างกายหนัก ๆ นิยมใช้กัน เพื่อหยุดความเสียหายของกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว เพราะหลังจากที่พวกเขาเหล่านี้ขึ้นมาจากการแช่เย็น เนื้อเยื่อที่อยู่ภายใต้ผิวหนังจะอุ่นขึ้นและเริ่มทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดกลับมาถ่ายเทได้เร็วขึ้นด้วย ถือเป็นวิธีที่ฮาร์ดคอที่สุดแต่ก็ได้ผลดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
3
การแช่เย็น ไม่เพียงแต่จะเป็นที่นิยมใช้กับนักกีฬาชื่อดังอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เลบรอน เจมส์ หรือ นาโอมิ โอซากะ แต่มันยังเหมาะกับคนที่ใช้ร่างกายหนัก ๆ เช่น นักร้องหรือนักเต้นด้วย เพราะนี่เป็นวิธีที่ศิลปินอย่าง "เลดี้ กาก้า" มักจะทำเป็นประจำทุกครั้งหลังจากจบการแสดงคอนเสิร์ต
การบำบัดด้วยความเย็นในปัจจุบันไปไกลถึงการเข้าตู้แช่เย็นกันแล้วตามสถาบันการดูแลสุขภาพ และถูกยกให้เป็น "สปา" อีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้เพื่อการผ่อนคลายหรือการฟื้นฟูร่างกายก็ได้ทั้งสิ้น แต่ก็แน่นอนว่าอะไรที่มากไปก็ไม่ดี การอาบน้ำเย็น แช่เย็น หรือการใช้ความเย็นบำบัด ก็ควรทำในปริมาณที่เหมาะสมและทำเป็นระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำทุกวันเช้าเย็น
การใช้ความเย็นกับร่างกายที่ดีควรใช้ให้ถูกจุดประสงค์ และเราในฐานะผู้ใช้ก็ควรรู้ข้อจำกัดของตัวเอง อีกทั้งยังต้องอาศัยความคุ้นชินเพื่อให้ร่างกายของเราสามารถรับสภาพตามได้ด้วย เพราะอย่าลืมว่านี่เป็นเพียงทางเลือกเสริมที่เข้ามาช่วย "บรรเทา" ร่างกายและจิตใจ หาใช่ยาวิเศษที่สามารถรักษาทุกอย่างได้แบบครอบจักรวาล
1
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา