27 เม.ย. 2022 เวลา 12:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ความต่างของการลงทุนแบบ DCA 🆚 VA
หนึ่งในวิธีลงทุนที่หลายคนนิยมใช้ คงหนีไม่พ้นการลงทุนแบบ DCA แต่รู้มั้ยว่ายังมีการลงทุนอีกแบบที่ช่วยให้เราลงทุนได้สม่ำเสมอเหมือน DCA อยู่ แต่ต่างกันที่วิธีใส่เงินลงทุนเข้าไปในแต่ละงวด
การลงทุนแบบหลังที่กำลังพูดถึง เรียกว่า วิธีลงทุนแบบ VA วันนี้เลยจะมาเปรียบเทียบให้ดู แบบหมัดต่อหมัดไปเลยว่าการลงทุนทั้ง 2 แบบต่างกันยังไงบ้างครับ
🎯 การลงทุนแบบ DCA
ในความเป็นจริงการจับจังหวะตลาด เพื่อเข้าลงทุนในราคาต่ำสุดเป็นเรื่องที่ยาก นักลงทุนหลายคนเลยหันไปเลือกใช้วิธีลงทุนแบบ DCA แทน
อธิบายง่าย ๆ DCA หรือ Dollar Cost Averaging คือ การทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์ลงทุนเป็นงวด ๆ โดยไม่สนว่าราคาสินทรัพย์ตอนนั้นจะถูกหรือแพง
เช่น กำหนดว่าจะลงทุนในกองทุนรวม A เดือนละ 2,000 บาท ทุกวันที่ 1 ของเดือน เมื่อถึงวันที่ 1 เราก็ต้องลงทุนในกองทุนรวมนี้เพิ่ม 2,000 บาท โดยการลงทุนแบบนี้จะช่วยให้เรามีวินัยในการลงทุน และยังช่วยควบคุมไม่ให้เราตัดสินใจลงทุน จากความโลภหรือความกลัวที่มี แต่การลงทุนแบบ DCA ก็ยังมีข้อจำกัด ตรงที่เราจะเสียโอกาสทำกำไรจากการขึ้นลงของตลาด เพราะไม่ว่าราคาสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้น/ลดลง เงินลงทุนที่เราใส่เข้าไปในแต่ละงวดก็ยังคงเท่าเดิม
🎯 การลงทุนแบบ VA
เพราะการลงทุนแบบ DCA มีข้อจำกัด ทำให้ตอนที่ราคาสินทรัพย์ถูกลงมามาก ๆ อยากซื้อเพิ่มก็ไม่ได้ หรือตอนที่ราคาสินทรัพย์แพงเกินไปอยากซื้อน้อยลงก็ทำไม่ได้เหมือนกัน เลยมีกลยุทธ์ลงทุนอีกแบบที่เรียกว่า VA หรือ Value Averaging เกิดขึ้นมาเป็นทางเลือกให้นักลงทุนอย่างเรา
การลงทุนแบบ VA จะคล้ายกับแบบ DCA ตรงที่ยังลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เป็นงวด ๆ อยู่ แต่ความต่างหลัก คือ DCA จะใส่เงินลงทุนจำนวนเท่ากันทุกงวด ส่วน VA จะเปลี่ยนไปเพิ่ม/ลดเงินลงทุน โดยอิงตามขนาดพอร์ตในแต่ละงวดแทน
เช่น กำหนดว่าอยากให้พอร์ตลงทุนโตเดือนละ 2,000 บาท (2,000 4,000 6,000 …) และเดือนแรกลงทุนในกองทุนรวม A 2,000 บาท ถ้าต่อมากองทุนรวมนี้เกิดขาดทุน จนให้มูลค่าพอร์ตในเดือนต่อมาของเราเหลือเพียง 1,000 บาท แปลว่าเราจะต้องเพิ่มเงินลงทุนเข้าไป 3,000 บาท ตรงกันข้ามถ้ากองทุนรวมนี้เกิดกำไร จนทำให้มูลค่าพอร์ตในเดือนต่อมาของเราโตเป็น 3,000 บาท เงินลงทุนที่เราต้องใส่เพิ่มจะเหลือเพียง 1,000 บาท
แต่การลงทุนแบบ VA ก็ยังมีข้อจำกัด ในช่วงตลาดขาลงที่ราคาสินทรัพย์ลดลงมาเรื่อย ๆ จนทำให้มูลค่าพอร์ตลงทุนของเราลดลงตาม ถ้าเรายึดการลงทุนแบบ VA เราจะต้องเติมเงินลงทุนเข้าไปมากขึ้น แล้วเกิดตอนนั้นเราดันมีเงินลงทุนไม่พอที่จะเพิ่มเข้าไป การลงทุนแบบ VA ของเรา ก็จะไม่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
ก่อนจบอยากทิ้งท้ายไว้ว่า ทุกวันนี้ก็มีกลยุทธ์ลงทุนหลายแบบให้นักลงทุนอย่างเราได้เลือกใช้ แต่ละแบบก็มีข้อดี/ข้อจำกัดที่ต่างกันไป เลยอยากให้ทุกคนเปิดใจเรียนรู้กลยุทธ์ลงทุนหลาย ๆ แบบเอาไว้ และเลือกใช้ให้เหมาะกับตัวเองมากที่สุดครับ
"เพราะการเงินเป็นเรื่องของทุกคน"
พวกเรากลุ่มคนที่รักเรื่องราวของการเงินการลงทุนเป็นชีวิตจิตใจ จึงก่อตั้งเพจ Dime! (ไดม์!) ขึ้น
Dime! แปลว่าเหรียญ 10 เซนต์ (ประมาณ 3 บาท) สื่อถึงความตั้งใจของเราที่จะทำให้การเงินการลงทุนเป็นเรื่องที่คุณเข้าถึงได้ เข้าใจง่าย และนำไปประยุกต์ใช้ต่อได้จริง เหมือนกับเงิน 1 ไดม์ ที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงได้
หากทุกคนมีความรู้ทางการเงินที่แข็งแรง
สังคมของเราก็จะดีขึ้นตามไปด้วย
โฆษณา