4 พ.ค. 2022 เวลา 00:09 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ทำไมนักลงทุนทั่วโลก ต้องให้ความสนใจกับผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ
ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา อเมริกันชนมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถยนต์ ข้อตกลงทางธุรกิจ และการใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิต เพราะ “เงินเฟ้อ”
นี่คือคีย์เวิร์ดหลักที่นักลงทุนทั่วโลกต้องให้ความสนใจกับผลการประชุมนโยบายทางการเงินในเวลาตี 01.00 ของวันที่ 5 พ.ค. ที่จะถึงนี้
ซึ่งจะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง เทคฮีไร่จะสรุปให้ฟัง
1. การระบาดของโควิด-19 ทำให้โลกเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ สำหรับประเทศสหรัฐ เมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจแทบทุกอย่างหยุดชะงักลง สิ่งที่ตามมาคือไม่มีเงินไหลเวียน ธนาคารกลางของประเทศเลยออกนโยบายด้วยมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าในระบบ เช่น QE หรือ “มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ” ซึ่งช่วงครึ่งแรกของปี 2021 ที่ผ่านมา Fed อัดฉีด QE หรือเข้าใจง่ายๆ คือพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่ม โดยอัดฉีดเพิ่มเดือนละ 1.2 แสนล้านเหรียญต่อเดือนเลยทีเดียว
2. นอกจากพิมพ์เงินเพิ่ม อีกมาตรการที่ Fed ดำเนินก็คือ ลดอัตราดอกเบี้ยจนมาอยู่ที่ 0.25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยให้ผู้กู้มีภาระค่าใช้จ่ายน้อยลง แต่ในขณะเดียวกันผู้ออมก็ได้รับผลตอบแทนน้อยลง นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อมีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยทีไร นักลงทุนจะให้ความสนใจในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเช่นทองคำ หรือพันธบัตรรัฐบาลแทน มันจึงเป็นเหตุผลที่ตอบคำถามได้ดีว่าช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นเพราะอะไร
3. ผลเสียของการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าในระบบของ Fed ทำให้เกิด “เงินเฟ้อ” กล่าวคือ อเมริกันชนตาดำๆ ต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อขนมปัง 1 ก้อนในราคาที่มากกว่าเดิม ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อสหรัฐอยูที่ 5.4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดในรอบ 40 ปี
4. แน่นอนว่าอัตราเงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบหลายศตวรรษไม่ว่าจะมาจากสาเหตุของวิกฤตโรคระบาดหรือวิกฤตสงครามก็ตามแต่ มันคือแรงกดดันอันหนักหน่วงในการออกนโยบายจัดการอย่างจริงจัง เพื่อควบคุมราคาค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่พุ่งสูงขึ้น สร้างความเสียหายกับภาคครัวเรือนและภาคเอกชน
5. ในช่วงกลางปี 2021 ที่ผ่านมา Fed แก้ปัญหาเงินเฟ้อด้วยมาตรการ Reverse Repo นั่นคือการขายพันธบัตรรัฐบาล เพื่อดึงเงินสดกลับเข้าสู่ธนาคาร ตลอดจนลดปริมาณ QE และสิ่งที่นักลงทุนต่างเฝ้าจับตามองมาตลอดคือการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย โดย Fed ได้มีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย 0.25 เปอร์เซ็นต์ เป็น 0.5 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผลของการประกาศเพิ่มอัตราดอกเบี้ยครั้งนั้นทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น
1
6. ทว่าสิ่งที่น่าสนใจคือการคาดการณ์การประกาศผลการประชุมที่จะเกิดขึ้นในค่ำคืนของวันที่ 5 พ.ค. ที่จะเกิดขึ้น ว่าจะมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยถึง 0.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐอยู่ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ หากเป็นไปตามคาดการณ์นี่คือการขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สหรัฐตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า Fed จะประกาศเพิ่มอัตราดดอกเบี้ยอีกในเดือนกรกฎาคม และอีกหลายครั้งตลอดปี 2022
7. ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการคาดการณ์อีกว่า Fed จะเริ่มทยอยขายพันธบัตรรัฐบาลจำนวนมหาศาล โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ซึ่งมันจะทำให้สินเชื่อตึงตัวขึ้น
8. การใช้ยาแรงสกัดเงินเฟ้อของสหรัฐ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจให้เติบโตต่อไปได้ แต่สิ่งที่น่าห่วงก็คือ ผลกระทบของการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ อาจทำให้เศรษฐกิจก้าวเข้าสู่ภาวะ “ถดถอย” กล่าวคือ ลักษณะของเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตช้า และมีคนว่างงานเป็นจำนวนมาก เพราะดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ภาคเอกชนมีภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้น สิ่งที่ตามมาคือการลดการจ้างงาน ส่งผลให้มีผู้ว่างงานเป็นจำนวนมากขึ้นนั่นเอง
9. รายงานตัวเลขในเดือนเมษายนที่ผ่านมา พบว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเปราะบางเพราะมีการขยายตัวช้าที่สุดในรอบ 2 ปี ท่ามกลางจำนวนแรงงานที่ลาออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า ธนาคารกลางสหรัฐอยู่ภายใต้แรงกดดันอันหนักหน่วงจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 40 ปี นับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 1980 แต่ทว่าการจัดการกกับเงินเฟ้อด้วยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย แม้จะเป็นยาแรงช่วยแก้ปัญหา แต่ผลค้างเคียงจากยาก็น่าห่วงพอสมควร
อย่างไรก็ดี การประชุมธนาคารกลางสหรัฐที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ส่งผลต่อความผันผวนของทุกสินทรัพย์ในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นทองคำ คริปโต หรือสินทรัพย์ชนิดอื่นๆ เพราะสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ คือสกุลเงินสำรองหลักของโลก
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนทั่วโลก ถึงต้องให้ความสนใจนโยบายทางเศรษฐกิจครั้งประวัติศาสตร์นี้..
ติดตาม YouTube ได้ที่ https://youtube.com/channel/UC0jzI2i7IepXEi0mRx6nvPA
โฆษณา