7 พ.ค. 2022 เวลา 01:35 • ปรัชญา
เบื้องหลังของการเกิดขึ้นมาให้มาอาศัยกายมนุษย์ บางคนก็มุ่งหาทรัพย์สมบัติเงินทอง บางคนก็มุ่งหาสิ่งเสเพล เสพของมึนเมา บางคนก็มุ่งเป็นอันธพาล บางคนก็มุ่งฉกฉวย ตักตวงหาประโยชน์ แบ่งพรรคแบ่งพวก บางคนก็มุ่งหาชื่อเสียงเกียรติยศ ให้ยิ่งใหญ่ ให้คนนับหน้าถือตา ให้คนชื่นชม ว่าข้านี้เก่ง ข้านี้เหนือผู้อื่น ทั้งที่กายนี้ก็โตวันโตคืน เปลี่ยนแปลงไปทุกวันเวลา ที่โลกนี้หมุนไปไม่เคยหยุดนิ่ง
ชีวิตของคนเรา ก็หมุนเปลี่ยนแปลง ไปตลอด วันแต่งตัวแบบนี้ เครื่องแต่งกายก็เปลี่ยนไป คนที่ไปพบปะเจอะเจอก็เปลี่ยนแปลง เหมือนเรากินข้าวปลาอาหาร วันนี้ เจออาหารอร่อย ไม่อร่อย รสเผ็ด รสจืด รสจัดจ้าน กินเข้าไปมากๆ ธาตุในร่างกายก็วิปริตท้องเสีย ปวดท้อง มวนท้องไปเสียอีก ร่างกายวิปริต จิตวิปริต ขาดสติสัมปชัญญะในการพิจารณา เหตุผล ในสิ่งที่เราต้องอาศัยกาย ใช้กายนี้ ทั้งเรื่องกินเรื่องนอน เมื่อมีการใช้กายนี้ ไปทำสิ่งใด กายนี้ก็ต้องเหน็ดเหนื่อย ทุกข์มั้ยล่ะ ทุกข์ที่กาย ทุกข์ที่จิต แต่เราก็ไม่เคยใคร่ครวญเรื่องของคำว่าทุกข์จริงๆ ก็ปล่อยชีวิตดำเนินไปจนแก่เฒ่าเจ็บตาย ก็เป็นโมฆะไปชาติหนึ่ง ที่มีกายเป็นมนุษย์ เพียบพร้อมใ้ห้เราได้รู้จัก เรื่องราวของคำว่าจิต กาย กรรม อารมณ์ที่เราอาศัยอยู่เกิดขึ้นในกาย ซึ่งก็มีเรื่องราวที่เราต้องกระทำให้กายกรรมเป็นกายเป็นบุญ ไปจนถึงกายธรรม ที่เกิดจากบุญกุศลบารมีตนเพียรกระทำขึ้น
เมื่อมีชีวิต …ชีวิตที่ต้องใช้กายนี้เคลื่อนที่ไป ใช้วิญญาณหกเคลื่อนที่ไปตามกาย ไปเจอะเจอ พบเห็น เรื่องที่ถูกใจไม่ถูกใจ ไม่ชอบคนนั้น ไม่ชอบคนนี้ คนนี้ไม่ดี คนนั้นไม่ดี วิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิติเตียน ด้วยอารมณ์ของตนที่นำพาไปยึดถือในสิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน จึงเกิดเป็นเรื่องราวมีอารมณ์เกิดขึ้น เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็กลายเป็นนิสัย หงุดหงิด โมโหเกิดขึ้น จิตใจก็เลยร้อนเวรร้อนกรรมด้วยอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาเผาผลาญ ให้กายนี้ร้อนรุ่มด้วยอารมณ์ที่เกิดขึ้น ความทิฐิ อะไรต่างๆเกิดขึ้น เผาผลาญกายอยู่อย่างนั้น
เมื่อไม่สามารถจะบังคับควบคุมกายให้หยุดนิ่ง เพื่อดับไฟที่กำลังเผาผลาญจิต เราจึงเห็นความวิปริตของกายของจิต ที่มีอารมณ์โกรธโมโห ว่ามันน่าเเกลียดมั้ย ในกิริยาของผู้ที่มีอารมณ์นั้นเกิดขึ้น บ้างก็ควบคุมอารมณ์นั้นไม่ได้ มีเหตุนิดหน่อย ก็ยอมกันไม่ได้ ให้อภัยกันไม่ได้ ทำร้ายกัน ต้องห้ำหั่นกัน เยี่ยงอย่างเดรัจฉาน ถึงตายก็มี ก็เนื่องด้วยกรรมที่เคยจองเวรกรรมขนาดหนัก เจอหน้ากันก็ต้องเข่นฆ่ากัน
เรื่องราวเหล่านี้ เมื่อเรามีชีวตมาอาศัยกายมนุษย์ชั่วขณะหนึ่ง เราก็ควรเรียบเรียง เหตุผลให้แก่จิตของตัวเอง หันกลับมาทบทวนตัวเอง ทบทวนสอบสวนพิจารณาในสิ่งที่เราใช้ชีวิต พิจารณาเรื่องราวของการเสาะแสวงหาหาปัจจัยมาหล่อเลี้ยงประทังสังขาร พิจารณาทั้งอารมณ์ต่างๆ ที่เราเผลอสติใช้กายวาจาใจ ทำให้คนนั้นคนนี้เสียใจด้วยการกระทำของเรา เมื่อเรากระทำตาเราเห็นหูเราได้ยิน ย่อมบันทึกเรื่องราวต่างๆเก็บรวบรวมไว้กับธาตุสี่ ที่ประกอบเป็นกาย จะว่าจิตใต้สำนึกก็ได้ ที่เก็บเรื่องราวที่เราทำในสิ่งดีๆ บันทึกเรื่องราวดีให้แก่จิต หากเราไม่กระทำดี ทำแต่เรื่องราวที่ไม่ดี เรื่องราวไม่ดีก็บันทึกไว้กับจิต ว่าเป็นผู้ที่สะสมแต่กรรม กายเราก็จะหมองคล้ำ ปราศจากสง่าราศี ด้วยมีแต่กรรมที่บันทึก
เค้าจึงมีคำว่ากุศล อกุศล ที่เรากระทำเกิดขึ้น แล้วสิ่งเหล่านี้หนุนนำไปหาทุกข์หรือสุข เราก็ใคร่ครวญพิจารณา เหตุผลให้แก่จิตของตัวเอง ในการใคร่ครวญพิจารณาเรียบเรียงเหตุผล เค้าก็ให้นำกายนี้มาอยู่นิ่งๆ ให้กายนี้ เป็นกายนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวไปไหน
เมื่อนำกายมาอยู่นิ่ง เอ้า..กายนี้มีลมหายใจเข้าออก..เราเคยสังเกตลมหายใจเข้าออกบ้างมั้ย ว่ามันเข้าออกอย่างไร..มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างกับลมเข้าออก..เราก็นั่งสังเกตลมหายใจ สังเกตลมหายใจ เมื่อมันก็คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็เอาคำภาวนาพุทโธ มากำกับเกิดขึ้น เพื่อดึงจิตไม่ให้ไปตามอารมณ์ ให้จิตอยู่กับพระ มีพุทโธเป็นที่ยึดเหนี่ยวของจิต เมื่อเราทำไป กายเรานิ่ง จิตเรานิ่งได้แล้ว จึงใคร่ครวญทบทวน สิ่งที่เราต้องใช้กาย ใช้อารมณ์ ใช้วาจา อะไรต่างๆ ใคร่ครวญเรื่องจิตที่อาศัยกายชั่วหนึ่ง กายนี้ต้องเดินทางเปลี่ยนสภาพไปไม่คงที่ แก่เฒ่าชราตาย
1
เราก็ใคร่ครวญให้จิตของเราตื่น สติของเราตื่นขึ้นมา พิจารณาอารมณ์ที่เกิดขึ้น ในพิจารณาเบื้องหลังของอารมณ์นั้นมาจากไหนในกายนี้ พิจารณาไปถึงธาตุทั้งสี่ วิญญาณหก นำพาเรื่องอะไรเข้ามาสู่จิต แต่ก็ยังยากที่จะพิจารณา เพราะจิตเราไม่มีกำลัง ไม่มีความขันติ ที่จะบังคับกายให้นิ่งเฉยได้ อารมณ์นั้นแหละ ที่จะบังคับจิตให้ลุกจากการนำกายมาอยู่นิ่ง ดูลมหายใจเข้าออกของกาย ..จิตน้อยๆอาศัยกายนี้ก็ไม่สามารถกระทำได้เลย ทั้งที่เป็นของง่ายๆ ไม่มีอะไร ทำให้เหน็ดเหนื่อย เรื่องราวทำนองนี้ เราก็สังเกตุได้ด้วยตัวเอง ไปทำอะไรมากมายเหน็ดเหนื่อยกาย แต่มานั่งเฉยๆ ดูลมหายใจเข้าออกแค่นี้ทำไมทำไม่ได้ เป็นเพราะอะไร เราก็ต้องพิจารณา..กระทำให้เกิดเป็นความเพียร เพียรดูลมหายใจของตนเอง ที่บ่งบอกชีวิตจะตายก็อยู่ตรงนี้ มีสติจะรู้จักอารมณ์ก็อยู่ตรงนี้ ขันติรักษาสติดูลมหายใจ เพื่อรักษากายนิ่งจิตนิ่ง
เมื่อเราก็ทำได้ โดยไม่ต้องฝืนมีขันติเป็นบารมีเกิดขึ้น รักษากายนิ่งจิตนิ่งได้ กายเรานั้นก็เปรียบเหมือนต้นไม้ที่นิ่งเฉยๆ แผ่กิ่งก้านสาขา มีใบไม้เกิดขึ้นทางตะวันออกตะวันตก มีลมพัดมาใบไม้ก็สั่นไหว เกิดขึ้น ..ใบไม้ที่ผลิออกมาจากต้น ก็คือ อารมณ์..ทิฐิความคิดเห็น เห็นตนเองดี ไม่มีใครเสมอตรง ความรัก ความใคร่ ความยึดถือ ความโกรธเกลียด อาฆาต พยาบาท จองเวร เจ้ากรรมนายเวร อะไรมากมายที่อยู่ในใบไม้นั้น ..นั้นก็ล้วนเป็นกรรมที่เราเคยกระทำมา ที่เราต้องสะสางให้ ใบไม้นั้นหยุดผลิ..ใบ เหมือนฤดูกาลใบไม้ล่วง มันล่วงแล้วก็ผลิอีก เราต้องทำให้ไปถึง เป็นต้นไม้ตายซาก ..เหลือแต่ตอ เพื่อหยุดเกิด ไม่ผลิใบออกมาเป็นอารมณ์กรรมเกิดขึ้นอีก
แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะทำได้ ได้ทำไปทุกชาติที่เกิดมามีกายเป็นมนุษย์ ขอให้ได้พบศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเตือนสติ ให้สร้างทานบุญกุศลบารมี ให้เดินตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้มีความมั่นคง ความเพียร มีขันติ ให้เกิดเป็นขันติธรรมที่จิต ให้จิตเดินผ่านพ้นทุกข์ ด้วยขันติธรรมชำระสะสางกรรมให้หมดสิ้น เกิดที่ไรมันก็ทุกข์ เกิดตรงไหนมันก็ทุกข์ ไม่เกิดก็ไม่ต้องมาทุกข์อีก
โฆษณา