11 พ.ค. 2022 เวลา 18:03 • ปรัชญา
เพศบรรพชิต เสพเมถุน และ ตันตระยาน
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคงไม่มีกระแสข่าวใดเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์​เท่ากรณี​ ‘พระพงศกร ปภัสสโร’ หรือ ‘หลวงพี่กาโตะ’ อดีตพระนักเทศน์ชื่อดัง​ลักลอบมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว​กับสีกา อย่างที่ทราบกันดี​ การเสพเมถุนหรือการร่วมเพศของพระสงฆ์ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ส่งผลให้พระภิกษุผู้กระทำผิด อาบัติปาราชิก (พ้นจากสภาพความเป็นพระสงฆ์ทันที) และไม่สามารถลับมาบวชได้อีกตลอดชีวิต
แต่เมื่อค้นคว้าลึกลงไปในเรื่องราวเกี่ยวกับการเสพสังวาสและพุทธศาสนา ก็จะพบรูปแบบพุทธศิลป์ที่พระพุทธรูปหรือพระโพธิสัตว์สวมกอดหญิงสาวในอากัปกริยาเชิงสังวาส พุทธศาสนิกชนชาวไทยบางส่วนตั้งคำถามว่าพุทธศิลป์ที่ปรากฏนี้มีเหมาะสมหรือไม่ เพราะเหมือนเป็นการดูหมิ่นต่อพระพุทธเจ้าอย่างมาก
ในข้อเท็จจริงพุทธ​ศิลป์ลักษณะดังกล่าวถูกสร้างขึ้นตามความเชื่อของพุทธศาสนานิกายตันตระ หรือนิกายมหายานตันตระ ประการแรกต้องทำความเข้าใจว่าพุทธศาสนาได้มีการแบ่งออกเป็น 3 นิกาย ได้แก่ นิกายเถรวาท นิกายมหายาน นิกายตันตระ (นิกายมหายานตันตระ)
จะพบว่าในความรับรู้ถึงเรื่องราวทางพุทธศาสนาในไทยนั้นจะเกี่ยวกับนิกายเถรวาทเป็นหลัก ซึ่งจะยึดการตีความพุทธบัญญัติและธรรมวินัยเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติ​ นิกายเถรวาทส่วนใหญ่พบการนับถือในประเทศไทย พม่า ลาว และศรีลังกา เป็นต้น
ส่วนนิกายมหายาน จะมีความเชื่อว่าสรรพสัตว์นั้นมีเนื้อแท้แห่งความบริสุทธิ์และสามารถบรรลุธรรมได้ จึงให้ความสำคัญกับการนับถือพระโพธิสัตว์ที่ตั้งปณิธานในการช่วยเหลือสัตว์โลกให้เข้าสู่หนทางพ้นทุกข์ ส่วนใหญ่นับถือในประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น เป็นต้น
และนิกายมหายานแบบตันตระ ที่แตกต่างจากพุทธศาสนาทั้งสองสาย มีการผนวกเรื่องราวอิทธิฤทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์ ปาฏิหาริย์ต่างๆ การนับถือส่วนใหญ่พบในประเทศทิเบต ภูฏาน และจีน เป็นต้น
ความเชื่อตามพุทธนิกายตันตระ​ เป็นการผนวกรวมกับลัทธิตันตระ​ จากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในอินเดีย ที่ให้ความสำคัญต่อการเคารพนับถือเทวสตรี​ อันเป็นตัวแทนแห่งการให้กำเนิดและความอุดมสมบูรณ์ทั้งหลาย ​ปรากฏให้เห็นเด่นชัดผ่านการบูชาพระศิวะและพระแม่อุมาเทวีในรูปแบบศิวลึงค์ที่ประกอบอยู่บนฐานโยนี ลัทธิดังกล่าวส่งอิทธิพลถึงพุทธแบบตันตระ
เป็นผลให้รูปแบบทางพุทธศิลป์ที่ปรากฏให้เห็น มีท่าทางของการเสพสังวาสหรือที่เรียกกันว่า ยับ-ยุม (Yab Yum) ในคติของตันตระเชื่อว่าการตรัสรู้​มาจากการรวมกันของปัญญา​ (เพศชาย​)​ และกรุณา​ (เพศหญิง)​ การร่วมเพศจึงเป็นภาพแทนของหนทางสู่การตรัสรู้อย่างสมบูรณ์​ อีกทั้งพุทธตันตระยังเชื่อว่า​ตัณหาต้องดับด้วยตัณหา​ กิเลส​ อันประกอบด้วย ราคะ​ โทสะ​ ​โมหะ สามารถ​ดับได้ด้วยการปฏิบัติจนเบื่อหน่ายไปเอง
ภาพยับยุมจึงไม่ใช่เครื่องกระตุ้นการเกิดกิเลส​ แต่สร้างเพื่อเป็นภาพแสดงแทนคติธรรมที่ว่าด้วยหนทางการตรัสรู้ตามความเชื่อของนิกายนี้ ซึ่งทำให้เห็นถึงความแตกต่างเรื่องคติความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเพศในพุทธศาสนาแต่ละนิกาย
นอกจากภาพยับยุมในพุทธตันตระ​ หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่า พระสงฆ์ในนิกายมหายานสามารถมีครอบครัวได้ โดยเฉพาะภาพจำจากพระสงฆ์ในประเทศญี่ปุ่น จนเกิดความคิดเหมารวมว่าศาสนาพุทธนิกายมหายานมีข้อยกเว้นให้มีครอบครัวได้ จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าตามความรับรู้เรื่องราวพุทธประวัติ เราต่างรู้กันดีว่า พระพุทธในฐานะเจ้าชายสิทธัตถะยอมละทิ้งครอบครัวเพื่อออกแสวงหาหนทางหลุดพ้นจากกิเลสแล้ว
ในกรณีการแต่งงานของพระสงฆ์ในประเทศญี่ปุ่นนั้นเกิดจากข้อยกเว้นที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากบริบททางสังคมและการเมือง​ พุทธศาสนาในสมัย​เมจิของญี่ปุ่นเสื่อมถอย​เนื่องจากหลักคำสอนไม่อำนวยต่อหลักชาตินิยมและศาสนาชินโตเดิม​ จึงได้มีการทำลายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ คัมภีร์ วัดวาอาราม และงานศิลปะ
ต่อมาหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลง เหล่าพระสงฆ์ที่ยังเหลืออยู่จึงต้องลดทอนหลักธรรมวินัยบางข้อเพื่อความอยู่รอดของศาสนา เป็นผลให้มีการละทิ้งข้อจำกัดบางประการออกไป​ รวมทั้งการอนุญาติให้พระสงฆ์สามารถมีครอบครัว​ได้ เพราะพระสงฆ์มีหน้าที่สำคัญในการเผยแพร่ศาสนา​
จึงต้องปรับตัวให้เข้ากับบริบทสังคมมากที่สุดเพื่อดำรงรักษาพุทธศาสนาให้คงอยู่ต่อไป​ เส้นแบ่งระหว่างความเป็นพระและฆารวาสจึงเลือนลางลง​ พระสงฆ์สามารถประกอบกิจกรรมได้อย่างหลากหลาย​ เพื่อเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า​ในรูปแบบต่างๆ​ เช่น​ การนำบทสวดมาผสมผสานกับดนตรีสมัยใหม่ ​เป็นต้น
เรื่องของการเสพสังวาสมีการปรากฎในพุทธศาสนา แต่เป็นไปเพื่อการสั่งสอนธรรม และแม้ว่าในบางพื้นที่มีการอนุญาติให้พระสงฆ์สามารถแต่งงานได้ ทว่าเป็นไปเพื่อการปรับตัวตามบริบทสังคม มากกว่าการตอบสนองของกิเลส ในขณะเดียวกันหากย้อนกลับมามองพุทธศาสนาในประเทศไทย​ เราได้เข้าใจแก่นแท้ของพุทธศาสนามากแค่ไหน​ พระสงฆ์ได้ทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนา​อย่างแท้จริงหรือยัง​
หากการบวชเป็นพระในประเทศไทยเป็นเพียงการทำตามประเพณีต่อๆ กัน​มา​ อีกทั้งคนบางกลุ่มยังมองว่าพระสงฆ์​เองเป็นหนึ่งในอาชีพที่ได้รับผลประโยชน์​จากความเชื่อความศรัทธา​ของญาติโยม​อย่างง่ายดาย​ จนทำให้แก่นแท้ของพุทธศาสนาถูกบิดเบือนให้กลายเป็นเครื่องมือในการหาผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม
อาจจะถึงวันที่เราต้องพิจารณาเรื่องธรรมวินัยที่เคร่งครัด​ ว่ายังสามารถทำให้บรรลุแก่นแท้ของศาสนาได้จริง​ๆ​ หรือเป็นเพียงเปลือกนอกเพื่อรักษาภาพพจน์​วัฒนธรรม​อันดีของชาติไว้
เรื่องโดย: ณัฏฐ์นรี ยลนาวา
พิสูจน์อักษร: ศิริรัตน์ แรงเขตกิจ
โฆษณา