11 พ.ค. 2022 เวลา 01:08 • ประวัติศาสตร์
ประว้ติความเป็นมาของเงินตราในประเทศไทย
ก่อนที่เราจะมีธนบัตรและเหรียญมาใช้ในระบบเงินตราในปัจจุบัน ไทยเราได้ใช้หอยเบี้ย ประกับ คือดินเผาที่มีตราประทับ เงินพดด้วง และปี้จากบ่อนการพนัน มาใช้ในการแลกเปลี่ยนมาก่อน
ประวัติเงินตราในประเทศไทย
ในสมัยกรุงสุโขทัย ที่มีการค้าขายกว้างขวางกับอาณาจักรในลุ่มแม่น้ำเพระยาแล้ว ทางด้านเหนือยังไปถึงล้านช้าง ยูนนาน และน่านเจ้า ส่วนทางทะเลไปถึงจีน อินเดีย เปอร์เซีย และอาหรับ โดยผลิตเงินตราขึ้นมาใช้ในระบบเศรษฐกิจ คือ เงินพดด้วง และใช้หอยเบี้ยเป็นเงินปลีกสำหรับซื้อขายสินค้าราคาต่ำ
เงินพดด้วง ทำจากแท่งเงินทุบปลายให้งอเข้าหากัน แล้วตอกประทับตราประจำแผ่นดิน เนื่องจากมีรูปร่างกลมคล้ายตัวด้วง จึงเรียกกันว่าเงินพดด้วง เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนเงินตราสกุลใดในโลก ซึ่งใช้กันในย่านนี้มาก่อนกรุงสุโขทัยแล้ว และใช้ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
เงินพดด้วง
เงินพดด้วงในสมัยกรุงสุโขทัย มีตราประทับอย่างน้อย 2 ดวง เป็นรูปสัตว์ชั้นสูง เช่น วัว ควาย กระต่าย หอยสังข์ และราชสีห์ เป็นต้น
เงินพดด้วงในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีลักษณะคล้ายของกรุงสุโขทัย แต่ตรงปลายที่งอจดกันไม่แหลมเหมือนของกรุงสุโขทัย ตราที่ประทับส่วนใหญ่จะเป็นตราจักรและตราประจำรัชกาล เช่น ครุฑ ช้าง ราชวัตร พุ่มข้าวบิณฑ์ เป็นต้น
ในกรุงธนบุรี ยังคงใช้เงินพดด้วงของกรุงศรีอยุธยา และผลิตขึ้นใช้เอง ๒ ชนิด คือประทับตราตรีศูล และตราทวีวุธ
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ยังคงใช้เงินพดด้วงต่อมา โดยประทับตราจักร ซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดิน พร้อมกับตราประจำรัชกาล คือรัชกาลที่ ๑ เป็นตราบัวอุณาโลม รัชกาลที่ ๒ เป็นตราครุฑ รัชกาลที่ ๓ เป็นตราปราสาท รัชกาลที่ ๔ เป็นตรามงกุฎ รัชกาลที่ ๕ เป็นตราพระเกี้ยว
พดด้วงสมัยกรุงธนบุรี
ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อมีการเปิดประเทศด้วยสนธิสัญญาเบาริ่ง ทำให้การค้าขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พ่อค้าต่างประเทศได้นำเงินเหรียญของตนมาแลกเงินพดด้วงกับรัฐบาล เพื่อเอาไปซื้อสินค้าจากประชาชน จนเงินพดด้วงซึ่งต้องผลิตด้วยมือไม่พอใช้ เกิดความไม่สะดวกในการค้าขึ้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระราชดำริที่จะทำเงินเหรียญขึ้นมาใช้แทนเงินพดด้วง
ใน พ.ศ. 2400 โปรดเกล้าฯให้คณะทูตไทยไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักอังกฤษ สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียได้จัดเครื่องทำเหรียญเงินขนาดเล็กเข้ามาถวายเป็นราชบรรณาการ จึงโปรดเกล้าฯให้ทำเหรียญกษาปณ์จากเครื่องนี้ขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกว่า “เหรียญเงินบรรณาการ”
เหรียญเงินบรรณาการ
ขณะเดียวกันคณะทูตก็ได้สั่งซื้อเครื่องจักรทำเหรียญเงินจากบริษัทในอังกฤษเข้ามาในปลายปี พ.ศ. 2401. จึงโปรดฯให้ตั้งโรงงานผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติ ในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานนามว่า “โรงกระสาปน์สิทธิการ” จึงถือว่ามีการใช้เงินเหรียญแบบสากลขึ้นป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้ประกาศเลิกใช้เงินพดด้วง เพียงแต่ไม่ทำเพิ่มขึ้นอีก
โรงกระสาปน์สิทธิการ
เหรียญกษาปณ์ที่ผลิตเป็นครั้งแรกนี้ เป็นเหรียญตราพระมหามงกุฎและช้างในวงจักร มี 5 ชนิดราคา คือ บาท กึ่งบาท สลึง เฟื้อง และกึ่งเฟื้อง ประกาศใช้เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2403
เหรียญตราพระมหามงกุฎและช้างในวงจักร
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงินครั้งสำคัญ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า มาตราการเงินของไทยที่ใช้อยู่ในขณะนั้น คือ ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง เป็นระบบที่ยากต่อการคำนวณและจัดทำบัญชี จึงโปรดเกล้าฯให้ปรับปรุงใหม่เป็น บาทและสตางค์ คือ 1 บาท มี 100 สตางค์
ตั้งแต่ พ.ศ.2441 เป็นต้นมา.
เหรียญกษาปณ์ ในสมัย ร.5
นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯให้นำพระบรมรูปของพระองค์และตราแผ่นดินประทับลงบนเหรียญ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการนำพระบรมรูปของกษัตริย์ประทับลงบนเหรียญกษาปณ์ไทย ทรงสั่งเครื่องจักรผลิตเหรียญแบบที่ใช้เครื่องจักรไอน้ำเข้ามา เพื่อผลิตให้พอกับความต้องการ และสร้างโรงกษาปณ์ใหม่เป็นตึกใหญ่โอ่อ่าสถาปัตยกรรมตะวันตก ปัจุบันก็คือตึกพิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
พิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
หลังจากมีการพิมพ์เป็นธนบัตรขึ้นใช้แล้ว จึงโปรดเกล้าฯให้ประกาศเลิกใช้เงินพดด้วงตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2447 เป็นต้นมา
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ในช่วงต้นรัชกาลยังคงใช้เหรียญที่ผลิตในสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาใน พ.ศ.2456 จึงโปรดเกล้าฯผลิตเหรียญเงิน 1 บาทประจำรัชกาล เป็นเหรียญตราพระบรมรูปและไอราพต
เหรียญกษาปณ์ ในสมัย ร.6
ในรัชกาลที่ 7 ไม่มีการผลิตเหรียญออกมาใช้มากนักเนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำ เหรียญประจำรัชกาลที่ออกใช้เป็นเหรียญชนิด 50 และ 25สตางค์ ตราพระบรมรูปและช้างทรงเครื่อง
เหรียญกษาปณ์ ในสมัย ร.7
สมัยรัชกาลที่ 8 เหรียญประจำรัชกาลเป็นเหรียญตราพระบรมรูปและพระครุฑพ่าห์ ชนิดราคา 50, 25, 10, 5, และ1 สตางค์
เหรียญกษาปณ์ ในสมัย ร.8
รัชกาลที่ ๙ เหรียญกษาปณ์ที่ใช้หมุนเวียนในรัชกาลนี้ มี 8 ชนิราคา คือ 1, 10, 25, 50 สตางค์ และ 1, 5 และ 10 บาท นอกจากนี้ยังมีการจัดทำเหรียญกสาปณ์ที่ระลึกเพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญอันเกี่ยวกับสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ส่วนธนบัตรหรือเงินกระดาษนั้น เริ่มมาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ซึ่งเงินพดด้วงไม่พอใช้ จึงมีคนทำปลอมขึ้นมามาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าจึงโปรดให้ทำเงินกระดาษขึ้น ประทับตราพระราชสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์จักรีรูปพระแสงจักรและพระราชลัญจกรประจำพระองค์รูปพระมหาพิชัยมงกุฎ เรียกว่า “หมาย” แต่ปรากฏว่าเป็นของใหม่ที่ราษฎรยังไม่รู้จัก จึงไม่มีการใช้อย่างแพร่หลายตามพระราชประสงค์
"หมาย"
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดปัญหาเหรียญกษาปณ์ราคาต่ำที่ทำจากดีบุกและทองแดงขาดตลาด มีคนนำ “ปี้” ที่ใช้แทนเงินในบ่อนการพนันมาใช้แทนเงินตรา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ทำเงินกระดาษชนิดราคาต่ำมาใช้ เรียกว่า “อัฐกระดาษ” ใช้แทนเงินที่ขาดแคลน แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกับหมาย
ปี้ดีบุก
ต่อมาธนาคารต่างประเทศที่มาเปิดสาขาในประเทศไทย 3 ธนาคาร ได้ขออนุญาตนำบัตรธนาคารออกมาใช้แทนเงิน เพื่อให้ทันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ มีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินระหว่างธนาคารกับลูกค้า แม้จะใช้อยู่ในวงแคบ แต่ก็ทำให้คนไทยเคยชินกับการใช้กระดาษแทนเงินได้มากขึ้น และติดปากจนเรียกธนบัตรของรัฐบาลที่ออกมาใช้ในภายหลังว่า “แบงค์” ไปด้วย
รัฐบาลได้พิจารณาเห็นว่า บัตรที่ธนาคารออกมานี้ มีลักษณะเป็นเงินตราที่รัฐบาลน่าจะทำเสียเอง ใน ปี 2433 จึงสั่งให้บริษัทที่เยอรมันพิมพ์มา 8 ชนิดราคา เรียกว่า “เงินกระดาษหลวง” แต่เมื่อส่งมาถึงกรุงเทพในปี 2435 เนื่องจากความไม่พร้อมในการบริหารของรัฐบาล จึงไม่ได้นำเงินกระดาษหลวงออกมาใช้
ธนบัตรที่นำออกมาใช้ครั้งแรกในประเทศไทย
จนกระทั่ง ปี 2445 จึงมีการตราพระราชบัญญัติธนบัตรสยาม ร.ศ.121 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน อีกทั้งจัดตั้ง “กรมธนบัตร” สังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ทำหน้าที่ออกธนบัตร เปิดให้ประชาชนนำเงินตราโลหะมาแลกเป็นธนบัตร จึงทำให้ธนบัตรมีบทบาทในระบบเงินตราของประเทศตั้งแต่นั้นมา
ปัจจุบันการออกธนบัตรเป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีโรงพิมพ์อยู่ที่พุทธมลฑลสาย 7 นครปฐม เปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2550 ส่วนการผลิตเหรียญกษาปณ์ เป็นหน้าที่ของ กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง มีโรงงานอยู่ที่ถนนพหลโยธิน รังสิต จังหวัดปทุมธานี เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2530
นี่ก็เป็นตำนานการเงินของไทย ตั้งแต่ใช้หอยเบี้ย เงินพดด้วง จนถึงธนบัตรและเหรียญในปัจจุบัน
ข้อมูลอ้างอิง : กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ และธนาคารแห่งประเทศไทย
เรียบเรียงใหม่โดย : สยาม siam
โฆษณา