11 พ.ค. 2022 เวลา 00:09 • ไลฟ์สไตล์
WFH Addict เมื่อเหล่าพนักงานทั่วโลกกำลังเสพติดการทำงานแบบ Work From Home
1
ได้กลายเป็นเรื่องท้าทายที่สำคัญขององค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกไปเสียแล้วนะครับ สำหรับนโยบาย Work From Home หรือ Remote Working ที่ได้กลายเป็นมารตฐานใหม่ของการทำงานหลังจากโลกเราต้องประสบพบเจอกับไวรัส COVID-19
4
WFH Addict เมื่อเหล่าพนักงานทั่วโลกกำลังเสพติดการทำงานแบบ Work From Home (CR:Getty Image)
โดยเฉพาะเหล่าพนักงานที่สามารถทำงานแบบ Remote ได้ 100% ซึ่งก็ต้องบอกว่าหลากหลายอาชีพมาก ๆ ทั้ง โปรแกรมเมอร์ วิศวกรในสาขาต่างๆ พนักงานบัญชี พนักงานด้านการตลาด ฝ่ายบุคคล หรือ ข้าราชการในบางหน่วยงานที่เรียกได้ว่า แทบไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิสอีกต่อไป
เมื่อการแพร่ระบาดเริ่มซาลง เราจะได้เห็นหน่วยงานองค์กรต่าง ๆ เริ่มกลับมาปรับนโยบายให้กลับมาทำงานที่ออฟฟิสมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple ที่เริ่มเรียกตัวพนักงานกลับให้มาทำงานแบบไฮบริด ซึ่งกำหนดให้พนักงานในองค์กรต้องกลับมาที่สำนักงานสัปดาห์ละ 3 วัน ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้
2
ซึ่งก็ต้องบอกว่า ปัญหานี้คงไม่ได้เกิดเพียงแต่องค์กรยักษ์ใหญ่อย่าง Apple เท่านั้น มันกำลังสร้างปัญหากับองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก พนักงานส่วนใหญ่ทำงานจากที่บ้านมาเป็นเวลาสองปีแล้ว คุ้นเคยกับการไม่ต้องเดินทาง ซึ่งบางเมืองอย่างกรุงเทพเรียกได้ว่าเสียเวลาไปมากโขในการเดินทางในแต่ละวัน
1
ปัญหานี้ทำให้ หากบริษัทใดเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบาย ทำให้เหล่าพนักงานเริ่มที่จะลังเลที่จะกลับไปทำงานในสำนักงานเหมือนเดิม และมีแนวโน้มที่จะย้ายงานไปหาที่ใหม่ที่มีนโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่นมากกว่า
6
มันอาจจะทำให้องค์กรต้องเสียพนักงานหัวกะทิได้เลย เช่น Ian Goodfellow ผู้อำนวยการด้าน Machine Learning ซึ่งทำงานกับ Apple มาตั้งแต่ต้นปี 2019 ถึงกับลาออกเนื่องจากนโยบายการบังคับให้กลับมาทำงานของบริษัท
7
การ Work From Home ทำให้เกิดปัญหาสมองไหล
สิ่งที่สร้างผลกระทบอีกอย่างนึงต้องบอกว่าน่าสนใจมาก ๆ นั่นก็คือปัญหาสมองไหลที่ได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะ COVID ทำให้โลกการทำงานของมนุษย์เรานั้นเปลี่ยนไปมาก ๆ
ผู้คนเริ่มคุ้นชินกับพฤติกรรมใหม่ ในการไม่ต้องเดินทางไปทำงาน ที่ทำให้การ Work From Home กลายเป็นเรื่องปรกติ ทุกคนสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ซึ่งในงานหลาย ๆ อย่างก็คงดำเนินแบบนี้ต่อไปแม้การแพร่ระบาดจะหยุดไปแล้วก็ตาม
2
แต่มันก็ได้เกิดปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันเริ่มแบ่งเวลางาน และเวลาส่วนตัวไม่ได้ บางองค์กร นั้นใช้งานกันจนแยกเวลาไม่ออกระหว่างเวลาทำงานและเวลาส่วนตัว เพราะมันได้หลอมรวมกันเป็นเวลาเดียวกันไปแล้ว
2
นั่นเองก็กลายเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ทำให้มีพนักงานลาออกเพิ่มมากยิ่งขึ้น
กำแพงขวางกั้นพนักงานที่ถูกทลายลง
1
ผมวิเคราะห์อีกประเด็นหนึ่งที่หลายคนอาจะคิดไม่ถึง นั่นก็คือ กำแพงสำคัญที่ขวางกั้นการย้ายงานของพนักงาน ก็คือ การหาช่วงเวลาในการไปสัมภาษณ์งานที่อื่นนั่นเอง
การเปลี่ยนมาทำงานแบบ Work From Home มันมีข้อยืดหยุ่นก็จริง แต่มันก็ทำให้เหล่าพนักงาน สามารถร่อน Resume เพื่อสัมภาษณ์งานได้อย่างอิสระ และหาเวลาไปสัมภาษณ์ตอนไหนก็ได้ อย่างเสรี เพราะตอนนี้ การสัมภาษณ์งานก็เน้นไปที่การสัมภาษณ์แบบ Remote ไปหมดแล้วใช่กัน
4
ซึ่งส่วนนี้มันสำคัญมาก เพราะหลาย ๆ อาชีพ มีการแย่งตัวพนักงานเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะสายไอที น่าจะโดนหนักสุด การมีตัวเลือกเยอะ ๆ ผ่านการสัมภาษณ์หลาย ๆ แห่ง ทำให้พนักงานมีโอกาสได้เลือก และเปรียบเทียบสูงมากกว่าในยุคก่อน ที่คงยากที่จะสัมภาษณ์งานหลายๆ แห่งในขณะที่ตัวเองทำงานประจำอยู่
2
การตัดสินใจรับพนักงานในยุคปัจจุบัน อาจจะแทบไม่ต้องมาคุยกันต่อหน้าต่อตา เพื่อตัดสินใจรับเข้าทำงานอีกต่อไป องค์กรต่าง ๆ สามารถเลือกช็อปปิ้งพนักงานมากมาย ที่พร้อมจะมาสัมภาษณ์งานกับบริษัทเพื่อย้ายงาน
1
กำแพงในอดีต หากต้องเข้างานแบบ full time ทำให้มันเป็นเรื่องยากที่จะปลีกตัวไปสัมภาษณ์งานที่อื่นได้แบบมาราธอน เหมือนในยุคปัจจุบัน ซึ่งอาจจะต้องลางานเพื่อไปสัมภาษณ์ แต่ตอนนี้มันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
2
ซึ่งผมว่าตอนนี้ การเปลี่ยนงานจะเป็นเรื่องง่ายมาก ๆ เพราะมีตัวเลือกให้เลือกเยอะ สามารถตัดสินใจที่ให้ผลประโยชน์ที่ดีที่สุดให้กับตัวเองได้ง่ายมากขึ้ัน เมื่อกำแพงเรื่องเวลา และ การต้องปลีกตัว หรือ ลางานไปสัมภาษณ์งานที่อื่น มันไม่มีอีกต่อไป
6
นั่นเอง ที่ทำให้อัตรา turn over ของพนักงานในยุคการแพร่ระบาดสูงมาก ๆ ตาม ข้อมูลจากสหรัฐอเมริกาก็สอดคล้องกับแนวโน้มนี้เช่นเดียวกัน และผมคิดว่าองค์กรในไทยก็เจอปัญหาเดียวกันอย่างแน่นอน
บทสรุป
สถานการณ์ตอนนี้ได้พลิกผัน จากเดิมที่องค์กรนั้นเป็นฝ่ายเลือกพนักงาน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นพนักงานต่างหากที่กลายเป็นฝ่ายเลือกองค์กรที่จะเข้าทำงานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเทรนด์นี้จะเป็นแบบนี้ต่อไปแม้การแพร่ระบาดของ COVID-19 จะหมดไปก็ตาม
3
เพราะเมื่อคนสามารถทำงานได้จากทุกที่ และสามารถที่สัมภาษณ์งานที่ไหนก็ได้ตลอดเวลา พวกเขาก็จะมองหาองค์กรที่ให้ผลประโยชน์กับพวกเขาสูงสุด มีความสมดุลสูงที่สุด (Work-Life Balance) ระหว่างชีวิตส่วนตัวกับชีวิตในการทำงานนั่นเองครับผม
1
Credit Image : Getty Images
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
2
The original article appeared here https://www.tharadhol.com/work-from-home-addict/
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
อย่าลืมเข้าไปพูดคุยกันในกลุ่มสำหรับ Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
คลิกเลย --> https://bit.ly/3E2DdM8
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา