Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
7 Days 7 ways
•
ติดตาม
11 พ.ค. 2022 เวลา 09:15 • ไลฟ์สไตล์
เปิดตำนาน "มะเมี้ย" สาวชาติพันธุ์ผู้รักการผจญภัย....ตามติดชีวิตมะเมี้ยสาวงามทรามเชย.....ดูสิวันๆทำไรกันมั่ง :)
คอลัมน์ : เรื่องเล่า....ของสาวอินดี้
เรื่อง : บันทึกของมะเมี้ยะ
โดย : มะเมี้ย 2022
cr.freepik
9 พฤษภาคม 2555
วันนี้ น่าจะเป็นวันที่มะเมี้ยะมีความสุข เพราะมะเมี้ยะจะได้กลับเชียงใหม่ไปตามหาเจ้าน้อยศุขเกษม แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
มะเมี้ยะออกจากมะละแหม่งแต่เช้า คิดว่าน่าจะถึงบางกอกช่วงบ่าย แต่กาลหาเป็นเช่นนั้น การเดินทางครั้งนี้ทำให้มะเมี้ยะรู้สึกอะไรบางอย่างเยอะแยะมากมายจนต้องบันทึกไว้ เพื่อเป็นการเตือนสติให้ระลึกถึงการเดินทางครั้งนี้ และเมื่อมะเมี้ยรู้สึกท้อแท้กับหลายๆสิ่ง หลายๆอย่างในชีวิต มะเมี๊ยะจะได้มีกำลังใจที่จะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นั้นๆ
เรื่องก็มีอยู่ว่า มะเมี๊ยะต้องนั่งรถตู้สังขละ-กาญจนบุรี ซึ่งเป็นเรื่องปกติทุกครั้งตลอดการทำงาน 3 ปีพอดีที่มะละแหม่ง[1] ทุกๆ ครั้งมะเมี๊ยะก็จะมีผู้ร่วมเดินทางเป็นชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาติมอญ หรือพม่า ในรถตู้คันเดียวกัน กว่าจะถึงตัวเมืองกาญฯ รถตู้จะจอดเป็นระยะๆ ที่ด่านฯเพื่อให้ทหารทั้งหลายตรวจบัตรประชาชน หรือใบอนุญาตเดินทางข้ามเขต
ซึ่งตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้จะต้องหยุดหลายครั้งก็ตาม แต่ทุกครั้งผู้ร่วมเดินทางชาวต่างชาติทั้งหลายก็จะผ่านไปได้ด้วยดี มีการขอดูบัตรฯและถามเล็กๆน้อยๆตามหน้าที่
แต่วันนี้ ตั้งแต่ออกเดินทางมา มีชาวต่างชาติ 5 คน (หมายถึงคนที่ไม่มีบัตรประชาชนไทย) จากจำนวนผู้ร่วมเดินทางทั้งสิ้น 12 คน ถึงด่านฯแรกของพี่ๆทหาร ก็มีการขอตรวจบัตรฯ แล้วก็ซักถามตามธรรมเนียม ด่านที่สองและด่านอื่นๆของพี่ๆทหารก็เช่นเดียวกัน ก็มีการสัมภาษณ์เล็กๆน้อยๆ “จะไปที่ไหน ไปทำอะไร บ้านอยู่ที่ไหน บ้านเลขที่เท่าไหร่”
ซึ่งถ้ามะเมี้ยะหูไม่ฝาด หรือหูยังไม่ดับ มะเมี้ยะเชื่อมั่นว่า ชาวต่างชาติในสายตาคนอื่นนั้น พูดภาษาไทยรู้เรื่องเลยทีเดียว สำเนียงก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปเท่าไรนัก อาจจะมีแปร่งหรือเหน่อบ้าง ซึ่งเป็นลักษณะภาษาไทยของคนเมืองกาญฯ สุพรรณฯ หรือราชบุรี อยู่แล้ว
โดยความคิดเห็นส่วนตัวของมะเมี้ยะ คือ จากการที่มะเมี๊ยะอยู่มะละแหม่งมานาน ทำให้ได้รู้ว่า บางคนเกิดและเติบโตในแผ่นดินสยาม แต่ก็มิได้ชื่อว่าเป็น “คนสยาม” แม้แต่น้อย เนื่องจากพ่อแม่เขาเหล่านั้น หาได้ใส่ใจกับการแจ้งเกิดบุตรหลานของตนไม่ หรือบางคนพ่อแม่ก็ไม่มีบัตร บุตรที่เกิดมาจึงมิได้มีสถานะเป็น “คนสยาม” เยี่ยงผู้อื่น ทำให้เขาเหล่านั้นต้องกลายเป็นชาวต่างชาติไปโดยปริยายในสายตาผู้อื่น
มะเมี้ยะขอกลับมาถึงเรื่องการเดินทางต่อ
และแล้ว เราก็มาถึงด่านฯหนึ่ง ใกล้ๆกับอำเภอไทรโยค เป็นด่านของตำรวจที่ใส่เสื้อว่า “Traffic Police” (ปกติเราไม่เคยต้องหยุดที่ด่านนี้เพื่อตรวจบัตรประชาชนหรือบัตรเดินทางข้ามเขตมาก่อนเลย)
ตำรวจกลุ่มนี้รอดักรถอยู่ทั้งสองฝั่งถนน มะเมี้ยะเองก็เข้าใจว่า เขาอาจจะตรวจใบขับขี่ของพลขับ เพราะเขาขอดูใบขับขี่และไม่ยอมคืน หลังจากนั้น ตำรวจอีก 2 นาย ก็เปิดประตูรถตู้และขอตรวจบัตรฯของทุกคน ผู้ร่วมเดินทางชาวต่างชาติ 5 คน ถูกเรียกลงจากรถ ทั้งๆที่มีใบอนุญาตการเดินทางชัดเจน
แล้วตำรวจนายหนึ่งก็บอกว่า “ขอผู้โดยสารช่วยรอนิดหนึ่ง ไม่นานหรอก” แล้วก็ให้ทั้ง 5 คน ข้ามถนนและเดินไปที่รถตำรวจอีกคันที่จอดอยู่ มะเมี้ยะก็รู้สึกงงๆเล็กน้อยว่าเขาไปทำอะไรกัน แล้วมะเมี้ยะจะไปตามหาเจ้าน้อยศุขเกษมทันไหม
ขณะที่มะเมี้ยะงุนงง ก็มีผู้ร่วมเดินทางชาวสยามนางหนึ่ง หล่อนมาพร้อมกับเด็กหญิงชาย 2 คน (คาดว่าอายุประมาณ 10-11 ขวบ) พูดขึ้นมาว่า “ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่ถามหาส่วยบรรณาการเท่านั้นเอง เป็นเรื่องปกติ” ชาวสยามท่านอื่นๆ ก็พูดกันว่า “อืม ส่งส่วยบรรณาการนิดหน่อยก็ไปได้แล้ว” และทุกคนก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ
นี่แหละ ทำให้มะเมี้ยะรู้สึกหดหู่ใจมิใช่น้อย ทุกคนเห็นว่าการส่งส่วยบรรณาการเป็นเรื่องปกติ มิได้รู้สึกอย่างใดแม้แต่น้อย เด็กหญิงชาย 2 คนที่นั่งติดหน้าต่างก็มองดูว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่ง ทั้ง 5 คน เดินพ้นรถตำรวจออกมาพร้อมกับปิดกระเป๋า บางคนก็เก็บกระเป๋าสตางค์ใส่ในกระเป๋าสะพาย บางคนก็ใส่ในกระเป๋าเสื้อผ้า
แต่ที่แน่ๆ ทุกคนมีอาการอย่างเดียวกัน คือ เก็บกระเป๋าที่ใส่สตางค์กลับเข้าที่เดิม ชาวสยามทั้งหลายก็พูดขึ้นมาว่า “เรียบร้อยแล้ว ส่งส่วยนิดหน่อยก็ไปได้แล้ว เห็นไหม”
แค่เพียงประโยคนี้เท่านั้น มะเมี้ยะน้ำตาคลอเบ้าทันที รู้สึกอะไรบางอย่างที่หดหู่ ผิดหวัง มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกที่ทุกคนต่างลงความเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่เด็กน้อย 2 คนก็ซึมซับเอาคำพูดและการกระทำเช่นนี้ไปแบบไม่รู้ตัว
มะเมี้ยะอยากพูดอะไรบางอย่างแต่พูดไม่ออก กลัวว่าถ้าพูดไปแล้วอาจจะไม่ได้เห็นเจ้าน้อยศุขเกษมของมะเมี้ยะไปชั่วชีวิต
คนสยามนี่เป็นอะไรกัน สิ่งที่ไม่ถูกต้องกลับเห็นว่าปกติ ใครๆ ก็ทำ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขหรือทบทวนความคิดและเปลี่ยนท่าทีใหม่
ทั้ง 5 คน ขึ้นรถมาแล้ว ตำรวจนายที่ยึดใบขับขี่ของพลขับไปก็นำใบขับขี่มาคืน พร้อมกับบอกว่า “เรียบร้อยแล้ว” ก็เป็นอันเข้าใจได้เช่นกันว่า “เรียบร้อยแล้ว” และแล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ
แล้ว 2 ใน 5 คนนั้น ก็ถามพลขับเราว่า “จะไปมหาชัยต้องใช้เงินค่ารถเท่าไร ไม่แน่ใจว่าราคาเพิ่มขึ้นหรือเปล่า” อีกคนจึงถามว่า “แล้วถ้าไปบางกอก ค่ารถจะเป็นเท่าไหร่” พลขับของเราก็บอกราคา พร้อมกับถามว่า “แล้วมีเงินพอที่จะไปถึงไหม” ทั้งห้าคนบอกว่า “ยังพอมีเหลืออยู่”
เท่านั้นแหละ มะเมี้ยะยิ่งรู้สึกหดหู่อย่างรุนแรง จากที่น้ำตาคลอเบ้า มันไหลออกมาโดยไม่ตั้งใจ ยังดีที่ว่ามะเมี้ยะใส่แว่นกันแดด ทำให้คนอื่นมองไม่เห็น แต่เด็กผู้ชายที่นั่งข้างมะเมี้ยะเงยหน้าขึ้นมามอง
เขาคงจะสงสัยว่า “อีป้านี่เป็นอะไร ปาดน้ำตาอยู่นั่นแหละ” ในขณะที่มะเมี้ยะเศร้า มะเมี้ยะสัมผัสได้ว่า บรรยากาศรอบตัวมันชวนหดหู่ ทุกคนนั่งเงียบ ไม่มีใครพูดคุยกัน แม้แต่พลขับที่นั่งฟังเพลงมาตลอดทาง ปิดเสียงเพลงตั้งแต่โดนยึดใบขับขี่ และไม่เปิดอีกเลย บรรยากาศอึมครึมจนกระทั่งถึงเมืองกาญฯ
ตลอดระยะเวลาที่นั่งในรถ มะเมี้ยะไม่เคยรู้สึกว่าหนทางมันยาวไกลเหมือนวันนี้เลย มะเมี้ยะอยากกระโดดออกไปให้พ้นจากรถโดยเร็ว ไม่กล้าหันไปมองหน้าใคร โดยเฉพาะชาวต่างชาติกลุ่มนั้น
มะเมี้ยะคิดในใจว่า “ถ้าเขามีทางเลือก มีหรือที่อยากจะทิ้งถิ่นฐานไปหางานทำในเมือง” มหาชัย เป็นพื้นที่ที่มีชาวมอญเพื่อนร่วมชาติของมะเมี้ยะไปขายแรงงานค่อนข้างมาก
พวกนี้จะมีหนังสือเดินทางออกนอกพื้นที่ที่นายจ้างเป็นผู้รับผิดชอบจัดทำให้ ซึ่งมะเมี้ยะเคยถามว่า “แพงไหม” เขาบอกว่า “ประมาณพันห้าร้อยบาท และใช้เวลา 1-2 อาทิตย์กว่าจะได้”
ซึ่งมะเมี้ยะก็เลยเข้าใจว่า ทำไมเขาถึงมีการตรวจเรียกส่วยกันช่วงนี้ เพราะเพิ่งผ่านพ้นเทศกาลสงกรานต์ ชาวมอญมักจะกลับบ้านเพื่อพบปะญาติพี่น้อง แล้วก็จะเดินทางกลับไปขายแรงงานกันช่วงปลายเมษายนถึงต้นพฤษภาคม
1 ปี ชาวมอญจะกลับบ้านกันแค่ 1 ครั้งเท่านั้น ซึ่งเมื่อเขากลับบ้าน รายได้ที่เก็บกันมาตลอดทั้งปีก็จะใช้จุนเจือครอบครัวและทิ้งไว้ให้กับคนที่อยู่ข้างหลัง
จะมีเงินติดตัวกลับไปไม่มาก เพราะคิดว่า ถึงอย่างไรก็ยังพอมีหนทางหารายได้บ้าง แล้วนี่อะไรกัน ทำไมตำรวจพวกนั้นหาได้มีสามัญสำนึกไม่ ถือว่าเป็นผู้มีอำนาจอยู่ในมือ คิดอยากทำอะไรก็ทำ คนเหล่านั้นเขาก็เป็นคนเหมือนๆกับเรา แล้วทำไมเขาถึงได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้ แล้วทำอย่างไรที่จะไม่ให้เขาต้องเป็นผู้ถูกกระทำจากชาวสยามที่มีอำนาจ
มะเมี้ยะคงไม่สามารถจะไปจัดการสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ แต่อย่างน้อย มะเมี้ยะก็ยังรู้สึกดีใจที่มะเมี้ยะจะเป็นส่วนหนึ่งในการปลูกฝังเด็กมอญของมะเมี้ยะ ให้เขาเป็นคนที่รู้ทั้งสองภาษาสองวัฒนธรรม มีจิตสำนึกรักบ้านเกิด
เมื่อเขาโตขึ้นมาเขาจะภาคภูมิใจในความเป็นคนมอญ และกลับมาพัฒนาบ้านเกิดของเขา ไม่ต้องทิ้งถิ่นฐานไปเหมือนกับคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เขา ไม่ถูกใครเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ข่มเหงหรือถูกเลือกปฏิบัติเหมือนเช่นที่ผ่านมา
บันทึกของมะเมี้ยะฉบับนี้ จะเป็นเครื่องเตือนใจมะเมี้ยะเองด้วยว่า หากวันใดที่มะเมี้ยะท้อ เหนื่อย หรือจิตตก มะเมี้ยะจะกลับมานั่งอ่านและระลึกถึงเหตุการณ์ใน ณ วันนี้ เพื่อเป็นแรงพลังผลักดันให้มะเมี้ยะสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น อดทนกับทุกสิ่งและพยายามช่วยเหลือพี่น้องของมะเมี้ยะเท่าที่สติปัญญาทั้งหมดของมะเมี้ยะจะทำได้
มะเมี้ยะ ณ บางกอก
17.52 น.
[1] มะเมี๊ยะมามะละแหม่งครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2552 เป็นการเริ่มงานครั้งแรกโดยที่ยังไม่เคยรู้ว่าเขาทำอะไรกันที่นี่
ท่องเที่ยว
เรื่องเล่า
สังคม
บันทึก
1
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
คอลัมน์ เรื่องเล่าของสาวอินดี้
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย