14 พ.ค. 2022 เวลา 05:00 • อาหาร
น้ำพริกถ้วยเก่า...
น้ำพริกถ้วยเก่า...
ตั้งแต่จำความได้ “น้ำพริกกะปิ” มักจะเป็นถ้วยเครื่องจิ้มที่ปักหลักแน่นหนาอยู่บนโต๊ะกินข้าวของเรา และแน่นอนน้ำพริกกะปิทุกถ้วยล้วนมาจากฝีมือของแม่ ไม่หนืดข้นจนเกินไป แต่ก็ไม่ใสเป็นน้ำล้างจาน พวกเรากินน้ำพริกกะปิกับกับข้าวแทบจะทุกอย่าง ผัดผัก ผักสด ขาหมูพะโล้ ไข่ต้ม หรือแม้แต่คลุกข้าวเปล่า ๆ หรือไข่ดาวซักฟอง ก็พอบรรเทาความหิวให้ลูก ๆ หรือคนงานในบ้านได้รอดพ้นไปอีกมื้อแล้ว
อาหารรสเผ็ดชนิดแรกที่ผมทานเป็นก็คงเป็น “น้ำพริกกะปิ” ของแม่ อาจเพราะเห็นป๊า แม่ พี่ชายกินกันอย่างออกรสเลยอยากกินตามบ้าง จากแค่กินก็เริ่มอยากเห็นวิธีการทำของแม่ แม่ไม่ใช่แม่ครัวใหญ่ที่เรียนจบโรงเรียนสอนทำอาหารอันโด่งดัง วิธีการและส่วนผสมของแม่ช่างง่ายดาย กระเทียมกลีบเล็ก พริกขี้หนู กะปิฝาชมพูที่หาได้ทั่วไปตามร้านขายของชำ น้ำปลา มะนาว และ... น้ำล้างครก
ใช่ครับ คุณฟังไม่ผิด แม่จะเริ่มจากกะปริมาณกระเทียมไทยที่ปอกเปลือกแล้วลงในครก ราว 1 ส่วน พริกขี้หนูเม็ดเล็กเด็ดขั้ว 2 ส่วน ตำให้แหลกแต่ไม่เละเป็นน้ำ ตามด้วยใช้ช้อนกินข้าวควักกะปิลงไปซักช้อน น้ำตาลปีบอีกนิด ใช้สากคลึง ๆ ให้เข้ากัน ตามด้วยน้ำปลา มะนาว ตักขึ้นใส่ถ้วย
จากนั้นแม่จะใช้น้ำเปล่าใส่ลงไปล้างครก ใช้สาก ช้อนที่ใช้ตำน้ำพริกลงล้าง แล้วเทน้ำที่ได้ซ้ำลงในถ้วยอีกที ใช้ช้อนเคล้าให้เข้ากันเป็นอันเสร็จ พร้อมส่งไปอวดโฉมบนโต๊ะอาหาร ให้อยู่ได้นานเท่าที่มันจะอยู่ได้
หลายครั้งเมื่อป๊าเมาได้ที่ มักจะขอให้แม่ตำน้ำพริกกะปิให้ ซึ่งแน่นอนเมื่อป๊าเมาได้ที่ ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ เพราะป๊าจะบ่น พร่ำไปเรื่อย ๆ จนเราหลายคนระอาใจจะฟัง และบางครั้งแม่จะขอให้ผมเป็นคนไปตำน้ำพริกกะปิให้พ่อแทน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ป๊าซึ่งเมาได้ที่ ได้ลองชิมน้ำพริกกะปิของผม แล้วส่ายหน้าพร้อมบ่นพึมพำว่า
“ไม่อร่อย ไม่เหมือนเดิม” แล้วหลับคาเก้าอี้ไป พร้อม ๆ กับใจของคนทำที่แหลกสลายไปด้วย ซึ่งหลัง ๆ ผมเริ่มอิดออดที่จะตำน้ำพริกกะปิให้พ่อ เพราะรู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร
แต่ทุกครั้งแม่จะคอยบอกว่า “ลองเถอะ ไม่ลองจะรู้ได้ยังไง ว่าเมื่อไหร่มันจะพอดี” ประโยคนี้ของแม่ช่วยผมได้เสมอ...
1 2 3 ท่องและทำตามขั้นตอนที่แม่เคยสอน ... “ดี รสนี้อร่อยแล้ว” คำ ๆ นี้ไม่ได้ออกจากปากคนเมาประจำบ้าน แต่มาจากปากของป๊าที่ไม่ได้เมา ใจผมฟูจนเหมือนจะหลุดออกมาข้างนอกอกเสียให้ได้ นึกสงสัยว่า เพราะอะไร ทำไมคราวนี้น้ำพริกกะปิที่ผมตำถึงถูกปากป๊า เพราะปรุงดีขึ้นหรือที่แท้คือเพราะป๊าไม่เมากันแน่
จนแม่ได้มาเฉลยเอาตอนสุดท้ายว่า น้ำพริกกะปิที่ป๊าชอบ ต้องรสเปรี้ยวเค็มเสมอกัน หวานตามมาปลาย ๆ ไม่ข้น ไม่ใส ชิมให้ได้ 3 รส เพราะป๊าชอบกินน้ำพริกกะปิกับกับข้าวทุกอย่าง เพราะฉะนั้นรสชาติของน้ำพริกต้องไปได้กับอาหารทุกอย่างบนโต๊ะและทุกมื้ออีกด้วย
หลังจากนั้น หน้าที่ในการบรรณาการน้ำพริกกะปิสู่โต๊ะอาหารของบ้าน กลายเป็นหน้าที่ของผมโดยบริบูรณ์ จนหลัง ๆ แม่แซวว่า “เดี๋ยวนี้เก่งแล้ว ตำเก่งกว่าแม่อีก”
จนผมเติบโต เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผมร้างลาหน้าที่นี้ไปโดยปริยายเพราะต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เดินทางจากปลายพื้นที่เพชรเกษมจรดนครปฐม เดินทางผ่านเมืองไปเรียนที่สวนสุนันทา ซึ่งใช้เวลาราว 3 ชม.ของทุกเช้าเนื่องจากรอรถเมลที่แน่ขนัดและการจราจรที่เลวร้าย เรียน ซ้อมละคร ทำกิจกรรม กว่าจะถึงบ้านก็ล่วงเลยไป 4-5 ทุ่ม ซึ่งมีเพียงแม่ที่ลงมารับผมเข้าบ้าน เมื่อผมเปิดประตูม้วนบานใหญ่เสียงดังเข้ามา
“กินอะไรมารึยังลูก”
“ไม่ไหวอ่ะแม่ เหนื่อย ขอนอนนะ” ผมพูดพลางเดินขึ้นชั้น 2 ไป เหตุการณ์วนซ้ำแบบนั้น ทั้งเช้าและค่ำไปเรื่อย ๆ จนความเหนื่อยล้ามันสะสมมากขึ้น และมากขึ้น จนอยากจะถอดใจเลิกเรียน แต่ผมรู้ตัวดีว่า ผมแบกความหวังของแม่ไว้ แม่อยากมีลูกสักคนที่เรียนจบปริญญาตรีให้แม่ เพื่อที่แม่จะได้ภูมิใจ และแน่นอนว่าความหวังนั้นอยู่ที่ผม ลูกคนที่ 4 จาก 5 คนของแม่
“กินอะไรหน่อยไหม วันนี้มีน้ำพริกกะปิกับผัดผักนะลูก” แม่พูดประโยคนี้ ด้วยความรู้สึกที่เหมือนพร้อมจะรับคำปฏิเสธของผม ที่กำลังนั่งก้มหน้าถอดรองเท้าที่ตีนบันไดก่อนขึ้นบ้าน แต่คราวนี้ต่างออกไป มือผมชะงัด หยุดนิ่ง ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าเงยหน้าสบตาแม่ เพราะตาทั้ง 2 ข้างกำลังเอ่อด้วยน้ำตา...
“เป็นไรรึเปล่า”
“เหนื่อยอ่ะแม่ เหนื่อยมาก” ผมกลั้นน้ำตาและก้อนสะอื้นไว้ไม่อยู่ และเริ่มพูดคำว่าเหนื่อยแบบไม่เป็นภาษา ยิ่งแม่เดินเข้ามาลูบหัวใกล้ ๆ แบบไม่คาดคั้น เร่งเร้าและบีบคั้น ผมยิ่งร้องหนักขึ้น และหนักขึ้น ...
“ไม่เป็นไรลูก เหนื่อยก็พอนะ ไม่ต้องฝืน”แม่พูดแค่นั้น แต่ผมรู้ดีว่า ในใจแม่ไม่ได้คิดแบบนั้น แม่ยังคงหวังว่าผมจะทำให้แม่ภูมิใจและไม่ถอดใจกับเรื่องเรียน ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังจะขอเลิกเรียนเพราะเหนื่อย แต่มันอาจเป็นเพราะผมอยากบอกให้ใครซักคนรู้ถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น ... เพียงเท่านั้น
5 นาทีที่แม่ลูบหัวผมอยู่อย่างนั้น ผมไม่แปลกใจที่ความเหนื่อยล้า ท้อแท้มลายหายไปหมด ผมตัดสินใจลุกขึ้นแล้วบอกแม่ว่า
“ไปแม่ หิวข้าวจัง อยากกินน้ำพริกฝีมือแม่ ไม่ได้กินนานแล้ว”
ผมเดินนำแม่ไปที่โต๊ะอาหารที่มืดสนิทนั้น ตักข้าว เปิดฝาชี โดยมีแม่กุลีกุจอคอยถามว่า เอาอะไรเพิ่มไหม แม่ทำให้...และนั่งเฝ้าผมกินข้าวคลุกน้ำพริกของแม่อยู่ใกล้ ๆ อยู่ข้าง ๆ ผมแบบนั้น ผมกลืนข้าวพร้อมก้อนสะอื้น และฝืนยิ้มเพื่อให้แม่สบายใจว่าผมดีขึ้นแล้ว
เมื่อกินเสร็จผมก็เตรียมล้างจานเพื่อขึ้นไปอายน้ำ พักผ่อน แต่แม่ก็ห้ามไว้และบอกว่า
“วางไว้เถอะ เดี๋ยวแม่เก็บเองลูก”
ผมตัดสินใจวางจานไว้ที่อ่างล้างจาน เพราะรู้ดีว่า เถียงแม่ไปก็ไม่ชนะ
“งั้นไปนอนนะแม่ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า ไม่ต้องตื่นมาส่งก็ได้ แม่นอนเถอะ”
ผมเดินขึ้นบันได ไปพร้อมกับสายน้ำตาอีกครั้ง แต่เป็นสายน้ำตาที่ไม่ได้มาจากความเหนื่อยล้าหรือหมดแรง แต่มันมาจากความเข้มแข็งที่เพิ่มมากขึ้น และรู้ว่าผมยอมแพ้แค่นี้ไม่ได้
แน่นอนผมสู้จนจบปริญญาตรีให้แม่ พร้อมกับได้งานทำตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ผมส่งเงินกลับมาให้แม่เพื่อจุนเจือที่บ้าน ใช้หนี้ตลอดจนสร้างบ้านใหม่ แม่รู้ว่าผมเหนื่อยมากขนาดไหนกับการต่อสู้ในโลกความเป็นจริงนี้ ต่างกันเพียงวันนี้ผมไม่มีโอกาสนั้นแล้ว
โอกาสที่แม่จะลูบหัว พร้อมยอมรับความศิโรราบของผม แต่ผมรู้ดีว่าแม่คงส่งกำลังใจช่วยผมจากที่ไหนสักแห่งที่ห่างไกลมาก ๆ ที่ ๆ วันหนึ่ง ผมจะกลับไปเป็นเด็กตัวน้อย ๆ ของแม่ และเราจะได้พบกันอีกครั้ง ......
โฆษณา