โพสนี้เราจะพาทุกคนผจญภัยแบบล่องแก่งทะลุถ้ำลอด เซบั้งไฟที่ใหญ่และยาว
ที่สุดในโลกตามรอย National Geographic กัน
ถ้ำลอดเซบั้งไฟ (Xe Bang Fai River Cave) เป็นถ้ำที่อยู่ระหว่างชายแดน
ลาว-เวียดนาม โดยเซบั้งไฟเป็นแม่น้ำในประเทศลาว ไหลผ่านแขวงคำม่วนและแขวงสุวรรณเขต ถือว่าเป็น Unseen ลาวกลาง สุดด้วยความสวยงามของวิวแม่น้ำอันอลังการตลอดเส้นทาง ที่ซึ่งในถ้ำเต็มไปด้วยความดึกดำบรรพ์หาดูได้ยาก เกิดจากการกัดกร่อนและสะสมสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาหลายล้านปี
ที่นี่มีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลระดับโลก เพราะถูกจับตามองและเผยแพร่เรื่องราวโดยการสำรวจจาก National Geographic ซึ่งเราชื่นชอบการเดินทางของพวกเขามานานแล้ว และอยากจะเห็นอยากจะได้ทำเหมือนที่พวกเขาทำ จึงลองออกผจญภัยตามรอย National Geographic สักครั้ง ในทริปสำรวจของทีม
Green Discovery Laos ที่กำลังผลักดันให้เส้นทางนี้ได้รับความนิยมในระดับนานาชาติ ไม่เป็นเพียงสถานที่ Unseen ที่น้อยคนจะได้เข้ามาสัมผัส
เราใช้เวลาในการล่องแก่ง 4 วัน 3 คืนเข้าปากถ้ำทางหนึ่งไปทะลุอีกทางหนึ่งแม้ระยะทางล่องแก่งภายนอกจะแค่ 16 กิโลเมตร แต่ก็ใช้เวลาตั้ง 2 วันกว่าจะถึงหลังถ้ำ เพราะต้องผ่านแก่งแต่ละแก่งที่ยากพอสมควร ร่วมกับชมธรรมชาติชายแดนลาว-เวียดนาม ซึ่งเป็นเส้นทางที่ไม่คิดว่าลาวกลางจะสวยขนาดนี้ ปกติเที่ยวลาวเหนือกับลาวใต้เสียส่วนใหญ่ ต่อไปคงต้องมาเที่ยวลาวกลางบ่อยๆ ซะแล้ว
เรียกได้ว่าควักกล้องถ่ายรูปไม่หยุดจริงๆ 55 ภายในถ้ำเราต้องล่องแก่งกันทั้งวันและสำรวจความงามใต้พิภพนี้ ตอนแรกคิดว่าในถ้ำจะอึดอัด แต่ไม่เลยอากาศถ่ายเทมาก กว้างมาก บวกกับความยาวของถ้ำเกือบ 10 กิโลเมตร ทำให้เราอยู่ในถ้ำจนลืมแสงอาทิตย์กันเลยทีเดียว สิ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับทริปนี้ก็คืออุปกรณ์กันน้ำและอุปกรณ์ให้แสงสว่าง พวกเราพกไฟฉาย 1000 ลูเมนกันไปหลายตัว
ป้องกันเหตุฉุกเฉินเพราะไฟจะดับไม่ได้แสงสว่างต้องมีตลอด เนื่องจากเราอยู่ในถ้ำที่ใหญ่และมืดมากอีกทั้งยังต้องล่องแก่งในถ้ำอีกหนึ่งซึ่งค่อนข้างยากพอสมควรถ้าไม่มีแสงสว่างนำทาง
แผนการเดินทาง
วันที่ 1
เราเดินทางเข้าลาวผ่านด่านนครพนมไปยังแขวงคำม่วน แล้วก็เดินทางทั้งวันไปจนถึงแคมป์เพื่อเตรียมตัวล่องแก่งในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยสัมภาระทั้งหมดแบกใส่รถโฟวิล ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยทางลูกรังฝุ่นแดงตลบอบอวน มีหลุมบ่อเยอะ แต่วิวข้างทางเต็มไปด้วยภูเขาสูงใหญ่มากกกกกกกก สวยแบบชนบทที่แท้จริง
การเดินทางไม่ได้สิ้นสุดแค่ทางรถเพราะเราต้องเดินเท้าต่อไปกันไปอีกสักระยะหนึ่งเนื่องจากรถไม่สามารถไปต่อได้ ด้วยสภาพของถนน กว่าจะถึงแคมป์ริมน้ำก็ค่ำแล้วเตรียมตัวแจวมะแจวจ้ำจึกกันพรุ่งนี้เลย
วันที่ 2
เป็นวันแรกที่เราเริ่มล่องแก่งกัน ผ่านแก่งเล็กแก่งใหญ่ตลอดทางวัน วิวโดยรอบก็ยังคงสวยเช่นเคย อากาศเย็นสบาย น้ำเป็นสีเขียวสีฟ้าสวยมาก เดี๋ยวเปียกเดี๋ยวแห้งกันทั้งวันเลยย และที่สำคัญตลอดการเดินทางล่องแก่งนี้ พวกเราต้องแบกสัมภาระทั้งหมดลงเรือ โดยเรือลำหนึ่งนั่งได้มากสุดแค่ 2 คน ก็จับคู่ช่วยกันพายไปลำละ 2 คนบ้าง 1 คนบ้าง
ตกเย็นก็แคมป์ปิ้งกันที่ชายหาดริมน้ำ(ยังไม่ถึงถ้ำอี้กกกกกกกกก) เราต้องล่องแก่งไป 2 วันถึงจะไปเจอหลังถ้ำแล้ววันที่ 3 ถึงจะเข้าถ้ำได้ ช่างเป็นระยะทางที่แสนยาวไกลต้องฟิตกล้ามมากกว่านี้ เพราะแก่งภายนอกหรือจะสู้ความแรงของแก่งภายในถ้ำที่เราไม่รู้ว่าจะเจอดีตอนไหน ภายใต้ความมืดมิดที่รอยู่ข้างหน้า
วันที่ 3
วันนี้เป็นวันที่เราจะได้ล่องเข้าถ้ำสักที และแน่นอนต้องล่องแก่งไปอีกสักพักกว่าจะถึงปากทางเข้าถ้ำ ความยากลำบากก่อนเข้าถ้ำก็มาเยือน เพราะต้องขนเรือขึ้นบก ซึ่งบนบกก็คือหินที่ชันสลับซับซ้อน และเรือก็หนักมากๆ เพื่อที่จะขนเข้าไปในถ้ำและล่องแก่งในถ้ำอีกที
วันนี้ที่รอคอยก็มาถึงแล้ว และแน่นอนมันเป็นวันที่โหดที่สุดเพราะเราจะไม่ได้ล่องแก่งกลางแจ้งแล้วแต่เป็นการล่องแก่งภายในถ้ำที่โคตรใหญ่ และมืดมากกก
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไฟฉาย ไฟฉายจะดับไม่ได้แสงสว่างต้องเพียงพอไฟสำรองอะไรต้องเตรียมพร้อมอย่างดี เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เพราะการล่องแก่งภายในถ้ำนั้นอันตรายมาก แต่ความงามรออยู่ข้างใน โอเค ไปกันค่ะ!!
เราใช้เวลาทั้งวันในการล่องแก่งภายในถ้ำ และทานอาหารกลางวันในนั้น ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งอร่อยยิ่งเจอความดึกดำบรรพ์ภายในถ้ำเท่าไหร่ก็ยิ่งอยากสำรวจต่อไปเรื่อยๆ แต่ด้วยเวลาที่จำกัด เราจึงต้องรีบสำรวจและออกจากถ้ำก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
และก่อนที่แสงสว่างของไฟฉายจะหมดลง เพราะการอยู่ในถ้ำที่มีเพดานสูงมากและใหญ่มากจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟฉายที่ลูเมนสูงมากๆ ถึง 1000 ลูเมนขึ้นไป ถึงจะมีแสงสว่างเพียงพอในการนำทาง
ภายในถ้ำมืดมากกกกก ด้วยเพดานที่สูงและห้องโถงที่กว้างใหญ่ ด้านล่างเป็นน้ำ การพายเรือเป็นไปด้วยความยากลำบาก แม้ใจจะตุ้มๆ ต่อมๆ แค่ไหน ก็อดมองถ้ำที่มีลวดลายวิจิตรได้พอให้คลายความตื่นเต้นบ้าง 55 ความรู้สึกเหมือนตอนได้ออกจากถ้ำมันก็จะโล่งเลยโล่งใจที่รอดชีวิตมาได้ แม้อยู่ในถ้ำมาตั้งนานไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่รู้ว่ากลางวันหรือกลางคืน
หลังจากที่ล่องแก่งในถ้ำทั้งวัน เราก็ทะลุออกมาด้านหน้าถ้ำจนได้และตั้งแคมป์ริมน้ำชมความงามยามค่ำคืน ดาวที่นี่สวยมากกกก เยอะสุดๆ ไปเลย อากาศก็ดีมาก ความเหน็ดเหนื่อยสะสมมาตลอดหลายวัน ได้ถูกปลดปล่อยออกเป็นความโล่งใจ ภูมิใจ ทำได้แล้วนะ :)
วันที่ 4
ภารกิจสำรวจล่องแก่งทะลุถ้ำลอดเซบั้งไฟได้เสร็จสิ้นลง แล้วเราก็เดินทางกลับไทยเส้นเดิมทางแขวงคำม่วนเข้าสู่ด่านนครพนม ฝุ่นตลบเช่นเดิมแต่แน่นอนรอดแล้วจ้าอะไรๆ ก็ง่ายไปหมดไม่รู้สึกถึงความลำบากเลย 55 ล่องแก่งในตำนานชายแดนลาว-เวียดนาม เซบั้งไฟ ทะลุถ้ำลอดที่ใหญ่ที่สุดในโลกมันส์สุดๆ ระทึกตลอดสวยงามตามท้องเรือ 4 วัน 3 คืน คงอยู่ในความทรงจำของเราไปอีกนานแสนนาน
ติดตามเรื่องราวการเดินทางของเราได้เรื่อยๆ เลยน๊า
สัญญาว่าจะมีสถานที่ใหม่ๆ มาลงเรื่อยๆ เลยจ้า
โฆษณา