16 พ.ค. 2022 เวลา 00:40 • ความคิดเห็น
คำแนะนำทางการเงินสำหรับลูกชายที่เพิ่งลืมตาดูโลก
Morgan Housel ผู้เขียนหนังสือ The Psychology of Money เคยเขียนบทความชื่อ Financial Advice for My New Son ลงใน The Motley Fool เมื่อวันที่ 13 October 2015
ผมเห็นว่ามีประโยชน์มากจึงขอนำมาแปลไว้ตรงนี้นะครับ
-----
ภรรยากับผมเพิ่งต้อนรับลูกชายสู่โลกใบนี้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มันคือประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ใครคนหนึ่งจะมีได้
1
ตอนนี้สิ่งเดียวที่ลูกชายผมสนใจคือการไม่ยอมให้พวกเราได้นอนเลยตลอด 24x7
แต่วันหนึ่งในอนาคตอันยาวไกล ลูกจะหันมาสนใจเรื่องการเงิน และเมื่อถึงวันนั้น นี่คือสิ่งที่ผมอยากแนะนำ
.
1. ลูกอาจจะคิดว่าลูกอยากได้รถแพงๆ นาฬิกาหรูๆ และบ้านหลังใหญ่ แต่พ่อขอบอกลูกไว้เลยว่าลูกไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านั้นหรอก สิ่งที่ลูกต้องการคือความเคารพและความชื่นชมจากคนรอบตัว และลูกก็คิดไปเองว่าการมีของแพงๆ จะทำให้ได้สิ่งเหล่านั้นมา แต่ความเป็นจริงแล้วมันแทบไม่เคยนำพาสิ่งเหล่านั้นมาให้เลย โดยเฉพาะจากคนที่ลูกอยากให้เคารพและชื่นชมลูก
7
เวลาลูกเห็นคนขับรถเท่ๆ ลูกคงแทบไม่เคยคิดว่า "โห พี่คนนั้นเท่จังเลย" แต่ลูกจะคิดว่า "โห ถ้าเราได้ขับรถคันนั้นเราคงเท่น่าดู" เห็นความย้อนแย้งนี้มั้ย? ไม่มีใครสนใจคนที่นั่งอยู่ในรถหรอกนะ
3
จะซื้อของดีๆ มาใช้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ขอให้รู้ไว้ว่าสิ่งที่คนเราแสวงหานั้นคือความเคารพนับถือ และความอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นจะสร้างความนับถือได้มากกว่าความจองหอง
9
.
2. เป็นเรื่องธรรมดาที่ลูกจะคิดว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวทางการเงินเป็นสิ่งที่สมควรกับแต่ละคนแล้ว แต่มันเป็นความจริงถึงแค่จุดหนึ่งเท่านั้น
2
เพราะชีวิตคนเป็นเพียงภาพสะท้อนของประสบการณ์ที่เขาได้รับและผู้คนที่เขาได้พบ ซึ่งหลายครั้งก็เกิดจากโชค อุบัติเหตุ หรือความบังเอิญ
1
บางคนเกิดมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญเรื่องการศึกษา ขณะที่บางคนเกิดในครอบครัวที่ไม่ได้สนับสนุนเรื่องนี้ บางคนได้เกิดมาในประเทศที่เศรษฐกิจกำลังไปได้สวยและเต็มไปด้วยผู้ประกอบการ ขณะที่บางคนเกิดในประเทศที่มีสงครามและความแร้นแค้น
1
พ่ออยากให้ลูกประสบความสำเร็จ และอยากให้ลูกได้มันมาอย่างคู่ควร แต่ขอให้เข้าใจว่าไม่ใช่ทุกความสำเร็จที่เกิดจากการทำงานหนัก และไม่ใช่ทุกความยากจนที่เกิดจากความเกียจคร้าน ขอให้ระลึกถึงความจริงข้อนี้ทุกครั้งก่อนจะตัดสินใคร-รวมถึงตัวลูกเองด้วย
6
.
3. ข้อนี้อาจจะฟังดูแรงหน่อย แต่พ่อหวังว่าลูกจะมีช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีตังค์บ้าง
2
ไม่ถึงกับขนาดต้องดิ้นรนหรือทนทุกข์หรอกนะ แต่ไม่มีทางเลยที่ลูกจะได้เรียนรู้คุณค่าของเงินจนกว่าลูกจะเจอกับความขาดแคลนของมันด้วยตัวเอง
มันจะสอนให้ลูกเข้าใจความแตกต่างระหว่างสิ่งที่จำเป็นกับสิ่งที่อยากได้ มันจะบังคับให้ลูกต้องวางแผนการใช้เงินให้ดีๆ มันจะสอนให้ลูกมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ลูกจะได้เรียนรู้การซ่อมของที่เสียนิดหน่อยและซื้อของโดยมองที่ความคุ้มค่า ทุกอย่างนี้เป็นทักษะสำคัญเพื่อการอยู่รอดทั้งนั้น
5
หากลูกรู้จักการอยู่อย่างคนจนที่มีศักดิ์ศรี ลูกจะรับมือกับช่วงเวลาที่มีเงินและช่วงที่ไม่มีเงินได้โดยไม่ลำบากเกินไปนัก
.
4. เมื่อลูกโตขึ้น ถ้าลูกเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ ลูกจะมักคิดว่า "พอเรามีเงินเดือน/เงินเก็บถึง $X แล้ว ทุกอย่างก็จะเพอร์เฟ็กต์"
แล้วพอลูกมีเงินถึง $X ลูกก็จะเขยิบเป้าออกไป แล้วลูกก็จะเริ่มวิ่งไล่งับหางตัวเองอีกครั้ง มันคือวงจรที่น่าสงสารมาก
1
การเก็บออมและความก้าวหน้าเป็นเรื่องดี แต่ขอให้เข้าใจว่าลูกจะปรับตัวเข้ากับความสะดวกสบายใหม่ๆ ได้เร็วกว่าที่ลูกคิด และเป้าหมายในชีวิตไม่ควรจะมีแต่เรื่องเงิน
.
5. อย่าทนทำงานที่ตัวเองเกลียดเพียงเพราะว่าลูกเลือกเรียนผิดคณะตอนอายุ 18
3
พ่อได้แต่ส่ายหัวเวลาเห็นเด็กปีหนึ่งต้องเลือกวิชาเอกที่มักจะกำหนดการทำงานของเขาไปทั้งชีวิต
เวลาคนเราอายุเท่านั้นแทบไม่มีใครรู้หรอกนะว่าตัวเองอยากทำอะไร บางคนขนาดอายุมากกว่านั้นสองเท่ายังไม่รู้ด้วยซ้ำ
4
.
6. ถ้าจำเป็นก็เปลี่ยนใจได้ (Change your mind when you need to.)
พ่อสังเกตว่าคนเรามักจะคิดว่าตัวเองเป็นเซียนการลงทุนตั้งแต่ตอนหนุ่มสาว พวกเขาจะเริ่มลงทุนตอนอายุ 18 แล้วพออายุ 19 ก็คิดว่าตัวเองเข้าใจทุกอย่างแล้ว ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
1
ความมั่นอกมั่นใจนั้นพุ่งเร็วกว่าความสามารถเสมอ โดยเฉพาะในคนหนุ่ม ดังนั้นจงเรียนรู้ทักษะการเปลี่ยนใจ กล้าทิ้งความเชื่อเดิมๆ และแทนที่มันด้วยความจริงชุดใหม่ๆ บ้าง
3
มันยากนะ แต่มันก็จำเป็น ไม่ต้องไปรู้สึกแย่ เพราะความสามารถในการเปลี่ยนใจเวลาที่รู้ว่าตัวเองผิดคือสัญญาณของคนฉลาด
2
.
7. สิ่งที่ดีที่สุดที่เงินจะซื้อให้ลูกได้คือการได้เป็นนายของเวลา มันจะทำให้ลูกมีทางเลือกและปลดแอกลูกจากเรื่องสำคัญของคนอื่น วันหนึ่งลูกจะเข้าใจว่าอิสรภาพเช่นนี้แหละที่จะทำให้ลูกมีความสุขได้อย่างแท้จริง
.
8. ถนนแห่งโศกนาฎกรรมทางการเงินนั้นถูกปูด้วยหนี้สิน-แล้วก็พวกเซลส์ที่มาขายของด้วย-แต่ส่วนใหญ่ถนนเส้นนี้ถูกปูด้วยหนี้สิน
ลูกจะตกใจว่ามีปัญหาด้านการเงินมากมายแค่ไหนที่เกิดจากการกู้ยืม การเป็นหนี้จะพรากอนาคตจากลูกไปเพียงเพราะลูกอยากได้ของบางอย่างตอนนี้เลย-ของบางอย่างที่ลูกก็จะชินกับมันอยู่ดี
แน่นอนว่าลูกคงต้องมีหนี้สินอย่างการกู้บ้าน อันนั้นไม่เป็นไร แต่พ่ออยากให้ลูกระแวดระวัง เพราะหนี้ส่วนใหญ่นั้นไม่ต่างอะไรกับยาเสพติดที่ช่วยให้ลูกรู้สึกดีขึ้นแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่ฉุดชีวิตลูกอยู่ได้อยู่เป็นปีๆ มันทำให้ลูกไร้ซึ่งทางเลือกเพราะถูกอดีตผูกมัดเอาไว้
.
9. ลูกจะมีเงินเก็บมากแค่ไหนไม่ค่อยเกี่ยวกับรายได้ แต่เกี่ยวกับรายจ่ายเป็นหลัก
2
พ่อรู้จักทันตแพทย์ที่ใช้เงินเดือนชนเดือนและใช้ชีวิตอยู่บนเส้นด้ายทางการเงิน และพ่อก็รู้จักคนที่รายได้เดือนละไม่กี่หมื่นที่มีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ ความแตกต่างนี้เกิดจากนิสัยการใช้เงินล้วนๆ
รายได้ไม่ใช่ตัวกำหนดว่าลูกจะมีเงินเก็บเท่าไหร่ และเงินเก็บที่ลูกมีก็ไม่ใช่ตัวกำหนดว่าลูกจำเป็นต้องมีอะไร
1
(How much you make doesn't determine how much you have. And how much you have doesn't determine how much you need.)
3
พ่อไม่ได้บอกให้ลูกต้องเป็นคนตระหนี่และเอาแต่เก็บเงินหรอกนะ แต่ขอให้รู้ว่าการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตแบบไม่ต้องใช้เงินเยอะนั้นคือทางที่ง่ายที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดในการสร้างอนาคตทางการเงินของลูก
4
.
10. ถ้าลูกไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พ่อเขียนก็ไม่ต้องเชื่อพ่อ เพราะทุกคนล้วนต่างกัน โลกที่จะลูกจะเติบโตขึ้นมานั้นย่อมแตกต่างจากโลกที่พ่อรู้จักทั้งในเรื่องของโอกาสและชุดความคิด
2
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือลูกจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อลูกไม่เห็นด้วยกับใครบางคนและจำเป็นต้องเรียนรู้มันด้วยตัวเอง (แต่พ่อแนะนำว่าลูกควรเชื่อฟังแม่เสมอนะ)
1
เอาล่ะลูก ทีนี้ก็ปล่อยให้พ่อไปนอนได้แล้ว
ขอบคุณเนื้อหาจาก Morgan Housel: Financial Advice for My New Son
โฆษณา