16 พ.ค. 2022 เวลา 17:51 • หุ้น & เศรษฐกิจ
(บทความที่ 09)
Passive Income สวรรค์ที่ทุกคนใฝ่หา
1
คงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย หากเราไม่ต้องลงแรงทำงาน แต่ยังมีรายได้ที่เป็นกระแสเงินสดเข้ามาเป็นประจำ ว่าแต่มีรายได้แบบนั้นด้วยหรือ?
2
Passive Income เป็นรายได้ที่สร้างกระแสเงินสดกลับเข้ามาให้เราได้เรื่อย ๆ สามารถสร้างผลตอบแทนให้เราได้ในระยะยาว ซึ่งจะแตกต่างจากรายได้ประเภท Active Income
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักความหมายของ Active Income และ Passive Income กันก่อน เพื่อให้เข้าใจถึงความแตกต่างของรายได้ทั้งสองประเภทนี้ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
Active Income เป็นรายได้ที่เกิดขึ้นจากที่เราลงทุน ลงแรง ประกอบอาชีพและได้รับค่าตอบแทนกลับมา เช่น รายได้จากเงินเดือน ค่าคอมมิชชั่น การรับจ้าง ค้าขาย หรือประกอบธุรกิจส่วนตัว รายได้ที่เกิดขึ้นจากการทำงานในประเภทนี้ จึงเป็นรายได้ที่เรียกว่า Active Income หากเราหยุดทำงานเมื่อไร ก็จะไม่มีรายได้เกิดขึ้น
ส่วน Passive Income เป็นรายได้ที่เกิดจากการลงแรงทำงานหรือลงทุนแค่เพียงในช่วงแรก หลังจากนั้นจะมีรายได้กลับเข้ามาให้เราอย่างต่อเนื่อง แบ่งเป็น ...
Passive Income ที่มาจากการลงแรงทำงานในช่วงแรก ได้แก่ รายได้ค่าลิขสิทธิ์ต่าง ๆ เช่น การเขียนหนังสือขายให้กับสำนักพิมพ์ เมื่อสำนักพิมพ์ขายหนังสือได้ ก็จะแบ่งรายได้ให้กับเราเรื่อย ๆ จนกว่าหนังสือจะขายไม่ได้อีก หรือรายได้จากการที่เราทำคลิปวีดีโอลงใน Youtube เมื่อมีผู้เข้าชมครบตามเกณฑ์ที่กำหนด ก็จะได้รับค่าส่วนแบ่งโฆษณา
หรือรายได้ที่มาจากการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เช่น คอร์สเรียนออนไลน์ให้ผู้ที่สนใจสมัครใช้บริการเป็นรายเดือนหรือรายปี การสร้างแพลตฟอร์มให้บริการพื้นที่ขายของโดยเก็บค่าส่วนแบ่งจากผู้ที่นำสินค้ามาลงขาย ก็ถือเป็น Passive Income ที่มาจากการลงแรงทำงานในช่วงแรกเช่นกัน
Passive Income ที่มาจากการนำเงินออมที่ได้จากเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าคอมมิชชั่น (Acitive Income) ไปลงทุนในทรัพย์สินประเภทต่าง ๆ เช่น เงินฝากธนาคารในระยะยาวเพื่อสร้างอัตราดอกเบี้ยทบต้น การลงทุนในตราสารหนี้ (หุ้นกู้เอกชน หรือ พันธบัตรรัฐบาล) ตราสารทุน (หุ้น) หรือ การซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า เป็นต้น
สรุปสั้น ๆ ก็คือ อะไรที่เราลงแรง ลงทุนไปแล้ว สามารถสร้างกระแสเงินสดในระยะยาวให้เรา เราจะเรียกมันเท่ ๆ ว่า Passive Income
(แล้วจะให้อ่านยาว ๆ ทำไม??????)
บทความนี้ จะกล่าวเฉพาะ Passive Income ที่เกิดจากการนำเงินออมไปลงทุน เพื่อสร้างกระแสเงินสดในอนาคต โดยที่เราไม่ต้องลงแรงทำงานมากเท่าวิธีอื่นนัก
นักออมเงินที่ผันตัวเป็นนักลงทุน ส่วนใหญ่ก็จะลงทุนสร้าง Passive Income ในทรัพย์สิน 4 ประเภท ดังนี้
(ไม่ขอกล่าวถึงสลากออมสินนะ เพราะกล่าวไปแล้วในบทความที่ 07)
1. Passive Income ที่มาจากการนำเงินออมไปฝากที่สถาบันการเงิน หรือ สหกรณ์ออมทรัพย์ เพื่อสร้างดอกเบี้ยทบต้น
การลงทุนในทรัพย์สินประเภทนี้ โดยส่วนมากจะมีความเสี่ยงอยู่ในระดับที่ต่ำ และมีสภาพคล่องสูง กล่าวคือ สามารถเปลี่ยนเป็นเงินฝากธนาคารให้เป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว อัตราผลตอบแทนจึงไม่สูงมากนัก อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงเสมอ ดังนั้น ควรพิจารณาสถานะทางการเงินของสถาบันการเงินหรือสหกรณ์ออมทรัพย์ที่เราต้องการนำเงินไปฝากด้วย
ตัวอย่าง
นาย ก. นำเงินออม จำนวน 200,000 บาท ไปฝากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.40% ต่อปี
ในปีแรก นาย ก. จะได้รับดอกเบี้ย 800 บาท จากนั้นผลตอบแทนจากดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่ฝากเงินไว้ เมื่อระยะเวลาผ่านไป 10 ปี ...
นาย ก. จะได้รับผลตอบแทนรวมจากดอกเบี้ยตั้งแต่ปีที่ 1 - 10 เป็นเงิน 8,145.55 บาท
เมื่อสิ้นปีที่ 10 นาย ก. จะมีเงินทั้งหมด 208,145.55 บาท
2. Passive Income ที่มาจากการนำเงินออมไปซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า
อสังหาริมทรัพย์เป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องที่ต่ำ กล่าวคือ ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย เพราะหากต้องการขายเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสด จะต้องรอผู้ที่สนใจในทรัพย์นั้น ๆ พิจารณาและตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนเนื่องจากมีมูลค่าที่สูง
การลงทุนในทรัพย์สินประเภทนี้ โดยส่วนมากจะเป็นการลงทุนเพื่อคาดหวังการสร้างกระแสเงินสดจากรายได้ค่าเช่าทุกเดือน เช่น การนำเงินออมไปซื้อบ้าน หรือห้องชุด ไว้สำหรับบุคคลอื่นเช่า
ตัวอย่าง
นาย ก. นำเงินสด 500,000 บาท ไปลงทุนซื้อห้องชุดพักอาศัย ให้บุคคลอื่นเช่าในราคาเดือนละ 3,000 บาท
หากมีผู้เช่า จำนวน 1 ปี จะทำให้นาย ก. มีรายได้จากค่าเช่า เป็นเงิน 36,000 บาท (3,000 x 12)
คิดเป็นอัตราผลตอบแทนขั้นต้นต่อปี ร้อยละ 7.2 คำนวณจาก (36,000/500,000) x 100
หมายเหตุ ผลตอบแทนขั้นต้น เป็นผลตอบแทนก่อนค่าใช้จ่าย ภาษีเงินได้ และภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ การลงทุนในทรัพย์สินประเภทนี้ ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมห้องชุดที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงภาษีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้หากช่วงที่ไม่มีผู้เช่าเป็นเวลานาน อสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดกระแสเงินสดให้กับผู้ลงทุนแล้ว ยังมีโอกาสขาดทุนจากภาระค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่เกิดขึ้นด้วย
3. Passive Income ที่มาจากการนำเงินออมไปลงทุนในตราสารหนี้ (พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน) หรือกองทุนตราสารหนี้
ตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ การลงทุนในทรัพย์สินประเภทนี้ เป็นการลงทุนตั้งแต่ระยะสั้น – ระยะยาว จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย พื้นฐานกิจการของผู้ออกตราสาร วันครบกำหนดที่ผู้ออกตราสารจะทำการไถ่ถอนคืน และรายละเอียดอื่นที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่าง
บริษัท เริ่มออมเงินและเรียนรู้การลงทุน จำกัด เสนอขายตราสารหนี้ (หุ้นกู้) มีอายุ 3 ปี อัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยที่ 6% ต่อปี
หากนาย ก. มีเงินออม 2 แสนบาท และนำเงินออมดังกล่าวไปลงทุนซื้อหุ้นกู้ที่ออกโดย บริษัท เริ่มออมเงินและเรียนรู้การลงทุน จำกัด
ในแต่ละปี นาย ก. จะได้รับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่ระบุไว้ เป็นเงิน 12,000 บาท (200,000 x 6%)
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% เป็นเงิน 12,000 x 15% = 1,800 บาท (หากนาย ก. มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องชำระภาษีจะสามารถขอคืนภาษีที่หัก ณ ที่จ่ายไว้ได้)
ทุก ๆ ปี ที่ถือครองหุ้นกู้ของบริษัทฯ นาย ก. จะมีกระแสเงินสดจากผลตอบแทนดอกเบี้ยจากการถือหุ้นกู้ในแต่ละปี เป็นเงิน 12,000 – 1,800 = 10,200 บาท และจะได้รับเงินต้น 200,000 บาท คืน ณ วันที่ครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้
อย่างไรก็ตาม หากบริษัท เริ่มออมเงินและเรียนรู้การลงทุน จำกัด (ผู้ออกตราสาร) มีสถานะทางการเงินที่ไม่ดี ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด จะทำให้นาย ก. ไม่ได้รับชำระเงินต้นตรงตามกำหนดเวลาหรือมีโอกาสสูญเสียเงินต้นทั้งหมดหากผู้ออกตราสารไม่สามารถชำระเงินเพื่อไถ่ถอนหุ้นกู้ได้
ผู้ที่สนใจลงทุนในทรัพย์สินประเภทนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบของการดำเนินธุรกิจและพื้นฐานของกิจการที่เราไปลงทุน ความเสี่ยงของกิจการ ความเข้าใจเกี่ยวกับงบการเงิน (จะกล่าวเพิ่มเติมในบทความที่เกี่ยวกับการลงทุนในตราสารหนี้)
4. การนำเงินออมไปลงทุนในตราสารทุน (หุ้นส่วน หรือ สิทธิในความเป็นเจ้าของในกิจการ)
ตราสารทุน โดยปกติหากเป็นบริษัท ห้าง ร้านทั่วไปจะเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องต่ำ แต่หากเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูง การลงทุนในทรัพย์สินประเภทนี้ โดยส่วนมากจะเป็นการลงทุนเพื่อคาดหวังผลตอบแทนสูงสุด เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนประเภทอื่นที่ได้กล่าวมาทั้งหมด
ผู้ที่สนใจลงทุนในทรัพย์สินประเภทนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบของการดำเนินธุรกิจและพื้นฐานของกิจการที่เราไปลงทุน ความเสี่ยงของกิจการ ความเข้าใจเกี่ยวกับงบการเงิน อัตราการจ่ายปันผลของบริษัท ฯลฯ (จะกล่าวเพิ่มเติมในบทความที่เกี่ยวกับการลงทุนในตราสารทุน)
ตัวอย่าง นาย ก. นำเงิน 200,000 บาท ไปซื้อหุ้น บริษัท เริ่มออมเงินและเรียนรู้การลงทุน จำกัด ในอัตราหุ้นละ 100 บาท จำนวน 2,000 หุ้น
ปีต่อมา บริษัท เริ่มออมเงินและเรียนรู้การลงทุน จำกัด มีผลกำไรที่ดี และอนุมัติการจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 20 บาท
นาย ก. จะได้รับเงินส่วนแบ่งจากผลกำไร (เงินปันผล) เป็นเงิน 40,000 บาท (20 บาท x 2,000 หุ้น)
คิดเป็นอัตราผลตอบแทนร้อยละ 20 คำนวณจาก (40,000/200,000) x 100
นาย ก. จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% เป็นเงิน 4,000 บาท (40,000 x 10%)
(หากนาย ก. มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องชำระภาษีจะสามารถขอคืนภาษีที่หัก ณ ที่จ่ายไว้ได้)
เมื่อถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย จะทำให้นาย ก. จะมีกระแสเงินสดจากการลงทุนในปีดังกล่าวเป็นเงิน 36,000 บาท คำนวณจาก (40,000 – 10%)
นอกจากเงินปันผลแล้ว นาย ก. ยังมีโอกาสได้รับเงินกำไรส่วนต่างจากราคาหุ้นเมื่อนาย ก. ต้องการขายหุ้นในราคาที่สูงกว่าต้นทุนด้วย (จะกล่าวเพิ่มเติมในบทความที่เกี่ยวกับการลงทุนในตราสารทุน)
ถ้าต้องการสร้าง Passive Income จะต้องใช้เงินเท่าไร?
การคำนวณเงินลงทุนเพื่อสร้าง Passive Income ที่เราต้องการ มีสูตรคำนวณง่าย ๆ ดังนี้
รายได้ Passive Income ที่ต้องการต่อปี หารด้วย อัตราผลเฉลี่ยตอบแทนต่อปี (%)
หมายเหตุ เป็นเพียงการยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ โดยไม่นำอัตราเงินเฟ้อ
ค่าเสียโอกาส หรือความเสี่ยงอื่นใดมารวมคำนวณด้วย
ตัวอย่าง
นาย ก. ต้องการสร้าง Passive Income ปีละ 300,000 บาท
อัตราผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่นาย ก. คาดหวังที่ 6%
นาย ก. ต้องนำเงินมาลงทุน = 5,000,000 บาท (คำนวณจาก 300,000 / 0.06)
การสร้าง Passive Income ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป แต่ก็ไม่ง่ายเหมือนการปลอกกล้วยที่เคยทำมา
สิ่งสำคัญที่สุดของการลงทุนเพื่อสร้าง Passive Income คือ ความรู้ความเข้าใจในทรัพย์สินหรือผลิตภัณฑ์ที่เราจะลงทุน และต้องมีระยะเวลาที่ยาวนานมากพอ ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไร เมื่อรวมกับความรู้ ความเข้าใจและประสบการณ์ในการลงทุน จะช่วยให้เราสามารถสร้างกระแสเงินสดได้มากขึ้น โดยไม่ต้องลงแรงทำงาน
ดังนั้น คงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกนัก หากขอกล่าวอีกครั้งว่า ....“Passive Income สวรรค์ที่ทุกคนใฝ่หา”
บทความต่อไป : วิถีคนโสดควรออมเงินอย่างไร ?
โฆษณา