17 พ.ค. 2022 เวลา 09:30 • หนังสือ
ในวันที่บริษัทกำลังพินาศ ผู้นำที่ฉลาดจะแก้เกมอย่างไร ?
จากบริษัทเทคที่เจอวิกฤตดอทคอม บริษัทอื่นล้มตายไปมากแต่เขายังพาบริษัทตัวเองให้อยู่รอดได้
เขาทำได้อย่างไร ใช้วิธีไหนบ้าง ?
ข้อคิดที่ได้จาก หนังสือ The Hard Thing About Hard Things เขียนโดย Ben Horowitz #3
.
แม้ว่านักลงทุนหลายๆ คนจะบอกว่า ราคาแพงไป หรือ ขอต่อราคา
Ben จะตอบกลับไปเสมอว่า "ราคาที่คุณเสนอนั้นดีมาก.. แต่ผมจะขายที่ 14$ เท่านั้น"
.
ในที่สุด ตำนานของ Loudcloud ภายใต้การบริหารของ Ben ก็จบลง
ด้วยการขายหุ้น ในราคาหุ้นละ 14.25$ เยอะกว่าราคาที่ตั้งไว้
การซื้อ-ขายครั้งนั้นมีมูลค่าสูงถึง 1,650 ล้านดอลล่าสหรัฐ
กลายเป็นประวัติศาสตร์การเข้าซื้อกิจการเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดหลังฟองสบู่ดอทคอมเลยทีเดียว
.
แม้จะแอบคิดถึง Loudcloud บริษัทเจ้ากรรมที่ต้องอดทนล้มลุกคลุกคลานกับมันมา 8 ปี
แต่มันก็แฝงความภูมิใจของ Ben เอาไว้อย่างมาก
"ผมสามารถสร้างสิ่งบางอย่างจาก 0 แล้วกลับมา 0 อีกครั้ง จนกลายมาเป็น 1,650 ล้านดอลล่าสหรัฐ ด้วยมือของตนเอง"
สำหรับคนธรรมดาคนหนึ่งแล้ว มันยอดเยี่ยมจนเกินจะบรรยายได้ มันยิ่งกว่าปาฏิหาริย์เสียอีก
.
แม้การซื้อ-ขายจะจบลงได้สวยงาม แต่อีกหนึ่งข้อคิดก่อนจะจากหนังสือเล่มนี้ไป
ขอพูดถึงเหตุการณ์หนึ่งเป็นข้อคิดที่ดีและเป็นหนึ่งในท่าไม้ตายที่มีแต่ผู้นำเท่านั้นที่จะทำได้คือ
.
ข้อคิดที่ 3 ดิ้นรนจนเฮือกสุดท้าย โชว์สปิริตของผู้นำออกมา!!!
.
เหตุการณ์นี้ เป็นเรื่องราวในช่วงที่ Loudcloud กำลังหาวิธีเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน
เพื่อให้หลุดจากกลุ่มหุ้น Penny ที่ ณ ขณะนั้น ราคา 0.35$
.
นอกจากการขายบางส่วนของ Loudcloud ให้กับ EDS แล้ว
Ben และ Andreessen ประธานบริษัท ต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงินให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น
จึงไปปรึกษาคนในทีม และได้ข้อสรุปว่า "ต้องออกเดินสายหาพาร์ทเนอร์ร่วมลงทุนให้ราคาหุ้นขึ้น"
.
นับว่าเป็นความที่บ้าบิ่นอย่างมาก หากวิเคราะห์จากสถานการณ์ตอนนั้น
ลองนึกภาพว่า บริษัทเทคอื่นตายกันเป็นแถว กองทุนที่ลงทุนกับบริษัทเทคเหล่านั้นก็บาดเจ็บยับเยิน
แต่ CEO กับประธานบริษัทที่กำลังจะตาย 2 คน กลับวางแผนจะออกไปหาพาร์ทเนอร์ร่วมลงทุนในช่วงเวลาแบบนี้
ฟังดูเป็นเรื่องตลกที่ใครได้ยินก็คงจะคิดว่า บ้าไปแล้ว!!
.
สำหรับ CEO คนอื่นในช่วงที่วิกฤตแบบนี้ อาจจะหา Exit Plan ขายทิ้งไปเลยง่ายๆ และทิ้งพนักงานไว้เบื้องหลัง
เพราะการออกเดินสายแบบนี้ ไม่ต่างจากอะไรจากขอทาน ที่ไปขอให้คนอื่นมาลงทุนกับตัวเอง
มันมีแต่ความอับอาย และเสียเวลาเปล่า
แม้จะคิดเพียงใด ก็นึกภาพไม่ออกว่า ใครจะกล้ามาลงทุนกับบริษัทที่เปราะบาง และพร้อมตายได้ทุกเมื่อแบบนี้
.
อย่างไรก็ตามทั้ง 2 คนไม่ได้มองว่า มันน่าอาย น่าขัน หรือเสียเวลา
เพราะพวกเขาต้องการให้บริษัทอยู่รอด และปกป้องพนักงานของเขา
ในวันที่มรสุมชีวิตกำลังโหมกระหน่ำใส่ตัวพวกเขา
แม้จะต้องอับอายแค่ไหน เพื่อให้บริษัทไปต่อได้ 2 คนนี้ทำได้หมด
.
พวกเขาออกเดินสายหาผู้ร่วมทุนอย่างมุ่งมั่น โดยไม่ความลังเลใดๆ
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบ Angel Investor ที่น่าจะพอช่วงเหลือเขาได้บ้าง
.
เมื่อได้มีโอกาสพบกับเจ้าของกองทุนนี้..
Ben และ Andreessen ได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าไปกับการโฆษณาบริษัทของตัวเอง
พูดทั้งเรื่องราคาหุ้นขณะนี้ต่ำกว่ามูลค่ามาก เงินสดก็พอมีบ้าง รวมทั้งแผนการในอนาคต ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่มุ่งมั่น
"ราคา Loudcloud ควรจะสูงกว่านี้" Ben และ Andreessen กล่าวย้ำกับนักลงทุนผู้นั้น
.
แม้จะมั่นใจในมูลค่าที่แท้จริงของ Loudcloud
แต่กับคนนอกที่ไม่ได้คลุกคลีกับ Loudcloud ก็อาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้
ความหวั่นใจของทั้ง Ben และ Andreessen ถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วง จนเกินที่ผู้บริหารวัยรุ่นคนหนึ่งจะรับไหว
การถูกปฏิเสธ "กลับออกไปได้แล้ว ผมไม่ซื้อหุ้น Penny หรอก" เป็นสิ่งที่ Ben และ Andreessen หวั่นกลัวที่สุด
.
แม้จะไม่ได้บอกว่า จะซื้อ หรือ ไม่ซื้อ
แต่ 2-3 เดือนถัดมา กองทุนนี้ได้ซื้อหุ้นของ Loudcloud
นักลงทุนคนนั้นที่นั่งฟัง Ben และ Andreessen โฆษณาก็ใช้เงินตัวเองลงทุนเพิ่มเติมด้วย
ลูกค้าของกองทุนนี้ก็ลงทุนด้วยเช่นกัน จนเกือบกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลักของ Loudcloud
.
ไม่น่าเชื่อว่า การออกเดินสายหาพาร์ทเนอร์ในช่วงเวลาดังกล่าวจะสำเร็จ
มันกลายเป็นเรื่องตลกที่ทำให้ 2 คนนั้น หัวเราะทุกครั้งที่กล่าวถึงมัน
โลกนี้มันเป็นของผู้ที่มีความพยายามจริงๆ
.
การซื้อหุ้นอย่างถล่มทลายครั้งนั้น ทำให้หุ้นของ Loudclouds หลุดจากกลุ่ม Penny
จาก 0.35$ ไปถึง 3$ ภายในเวลาไม่กี่เดือน
.
ด้วยความดีใจและสงสัย Ben ได้โทรไปขอบคุณนักลงทุนคนนั้น
และถามถึงสาเหตุที่เข้าซื้อหุ้นของ Loudcloud
ตอนแรก Ben คิดว่าเป็นเพราะ นักลงทุนคนนี้อ่านเทรนด์ในอนาคตได้ และเข้าใจวงการเทคเป็นอย่างดี
.
แต่ในความเป็นจริง
"ผมไม่เข้าใจธุรกิจของพวกคุณหรอก" นักลงทุนคนนั้นตอบมา ทำเอา Ben อึ้งไปพักหนึ่ง
"ที่ผมกล้าลงทุน เพราะผมเห็นผู้ชาย 2 คน เป็น CEO และประธานบริษัท มาพร้อมกับความมุ่งมั่นและความมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่กว่า CEO และประธานทั่วไป"
"การลงทุนในความกล้าและความมุ่งมั่นเป็นเรื่องที่ตัดสินใจง่ายสำหรับผม" นักลงทุนผู้นั้นกล่าว
.
ความมุ่งมั่น ความมั่นใจ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้นำควรจะมี และอาจจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดด้วย
เมื่อถ่ายทอดพลังเหล่านั้นให้กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในทีม กระทั่งนักลงทุน
สิ่งนี้จะทัชใจพวกเขาและพวกเขาจะสัมผัสได้
.
พนักงานจะทำงานกับคุณด้วยความซื่อสัตย์ ทุ่มเท เต็มใจ
นักลงทุนจะมั่นใจในตัวคุณ แม้เจอปัญหาหรือวิกฤต พร้อมจะเข้าใจและช่วยเหลือคุณ
.
เมื่อมันหล่อหลอมรวมกัน พลังบางอย่างจะเกิดขึ้น พลังที่มิอาจอธิบายในทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์
พลังที่มีแค่ผู้นำที่เพรียบพร้อมเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้
พลังนั้นทำให้ไม่ว่าจะเจอวิกฤตมรสุมมากมายก็ผ่านไปได้
พลังนั้นนำไปสู่ ปลายทางคือความสำเร็จ
ดังประสบการณ์ของอดีต CEO ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ Ben Horowitz
.
ทั้งหมดคือข้อคิดที่ได้จากหนังสือ The Hard Thing About Hard Things เขียนโดย Ben Horowitz
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านบทความนี้จนจบ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน
ถ้าชอบผลงาน ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
เจอกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ
#รีวิวหนังสือ #TheHardThingAboutHardThings #TheHardThingAboutHardThingsรีวิว
โฆษณา