19 พ.ค. 2022 เวลา 13:01 • ธุรกิจ
หนังสือ 5 เล่มที่ควรอ่านเพื่อการพัฒนาตัวเองในปี 2022
.
คนที่ประสบความสำเร็จอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยเผยความลับว่าเค้าอ่านหนังสือวันละ 500 หน้า ทุกวัน เพื่อเพิ่มความรู้ ช่วงต้นปีแบบนี้ถ้าใครมี New Year Resolution ว่าอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรืออยากอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น
ลองใช้เวลาอ่านหนังสือ 5 เล่มนี้เพื่อการพัฒนาตัวเองในปี 2022
.
1. ‘Thirteen Things Mentally Strong People Don’t Do’ by Amy Morin (2014)
เล่มนี้อธิบายถึงการพัฒนาจิตใจให้แข็งแกร่ง ควบคุมอารมณ์ ความคิด และ การกระทำของเรา ด้วยข้อคิด ตัวอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจ และ วิธีแก้ปัญหาที่ใช้ได้จริงและ หนังสือเล่มนี้จะทำให้เราเอาชนะความกลัวและใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่
.
Key message หลักของหนังสือเล่มนี้คือ คนที่มีสภาพจิตใจเข้มแข็งจะแทนที่ความรู้สึกสงสารตัวเองด้วยความรู้สึกขอบคุณตัวเองที่สามารถผ่านช่วงเวลายากลำบากเหล่านั้นมาได้
ตัวอย่างที่ในหนังสือเล่าไว้ คือ เรื่องของนักวิ่งมาราธอน Marla Runyan เธอมีโรคทางพันธุกรรมเกี่ยวกับความผิดปกติเกี่ยวกับจอประสาทตา (Stargardt’s disease) ทำให้เธอมองเห็นภาพที่ไกลกว่า 200 เมตรไม่ชัดตั้งแต่อายุ 9 ขวบ แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคที่ขัดขวางเธอในการวิ่งมาราธอนซึ่งเธอได้เหรียญทองและสร้างสถิติโลกจากการวิ่งพาราลิมปิกปี 1992 และ ปี 1996 เธอยังเขียนหนังสือ และ เรียนจบปริญญาโทอีกด้วย
เธอไม่เคยรู้สึกว่าความผิดปกติทางสายตาของเธอเป็นข้อด้อย และ ข้อจำกัดในการทำอะไรเลย เธอบอกว่าแทนที่นั่งคร่ำครวญในโชคชะตาที่เกิดขึ้น เธอกลับขอบคุณสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเธอมากกว่า เพราะสิ่งนี้เป็นแรงผลักดันให้เธอมีกำลังใจ ฮึดสู้ และไม่ยอมแพ้
.
2. ‘How Will You Measure Your Life?’ by Clayton M. Christensen, James Allworth and Karen Dillon (2012)
ข้อคิดการใช้ชีวิตโดยอาจารย์ Clayton M. Christensen ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจและเคยต่อสู้กับโรคมะเร็งมาแล้ว ได้ให้แง่คิดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตที่สร้างความสมดุลทั้งงานที่ประสบความสำเร็จควบคู่ไปกับความสุขที่แท้จริงในชีวิต
ในเล่มนี้พูดถึงหลายแง่มุมของชีวิต ตั้งแต่ การสร้างแรงจูงใจและวิธีที่ทำให้แรงจูงใจที่เราสร้างขึ้นมาไม่มอดไป กลยุทธ์ที่เหมาะกับการนำไปพัฒนาในอาชีพที่เราทำอยู่ การสร้างความสัมพันธ์กับคนที่เรารักให้แน่นแฟ้นขึ้น และ สร้างความรักและเข้าใจกันในครอบครัว
Key Message คือ
- ‘เงิน’ จะไม่ใช่สิ่งสำคัญถ้าเรามีความพอใจในอาชีพของเรา
-โอกาสที่เราทั้งได้รับและไม่ได้รับคือกลยุทธ์ที่ดีสำหรับการมีอาชีพที่ดี
-ชีวิตเราก็เหมือนการทำธุรกิจ ถ้าเราอยากจัดการชีวิตให้ดีต้องรู้ว่าเรามีข้อดีข้อเสีย จุดเด่นจุดด้อย และมีความรู้ทางด้านไหนบ้าง เพื่อนำมาใช้ในชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพ
-ความสุขที่แท้จริงคือความรักและความสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัว
-ความอ่อนน้อมถ่อมตนคือสิ่งล้ำค่า
เล่มนี้ เป็นหนังสือที่หยิบมาอ่านได้บ่อยๆ ครับ อย่างน้อย 2-3 ปี ผมจะหยิบกลับมาอ่าน และจะได้อะไรใหม่ทุกครั้ง ถือเป็นเล่มที่ต้องมีติดบ้านจริงๆ
.
3. ‘Finding Your Element’ by Sir Ken Robinson (2013)
หนังสือที่แนะนำวิธีการค้นหาความชอบและความสามารถที่แท้จริงในตัวเรา เพื่อนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
.
Key Message คือ เริ่มจากการชื่นชมในความเป็นตัวของตัวเอง ทุกคนบนโลกมีความแตกต่างและมีความพิเศษในตัวเองที่แตกต่างกัน และ เชื่อว่าเรามีทั้ง skill ในตัวเองที่ยังไม่เคยรู้ว่าเราทำได้ และskill ที่เราถนัดจากความรู้ สังคม และ สภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมเราขึ้นมา
ในหนังสือยังแนะนำอีกว่าให้ลองหยุดการวางแผนระยะยาว และ ยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันในชีวิต ซึ่งเราอาจจะเจอกับโอกาสใหม่จากการเปลี่ยนแปลงนี้ที่ทำให้เราถึงเป้าหมายได้เช่นกัน
Sir Ken Robinson ยังมี TED TALK เรื่อง Do School Kills Creativity? ที่ติดอันดับ หัวข้อ Top 10 ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลกอีกด้วย
.
4. ‘Emotional Intelligence’ by Daniel Goleman (1995)
หนังสือที่อธิบายเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ที่มีอิทธิพลกับเราในหลายๆ ด้านของชีวิต และอธิบายแนวทางการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ของตัวเอง ให้เรารู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง
.
Key Message ‘ตอนนี้เรามีความรู้สึกอะไรอยู่’ ให้ลองถามตัวเองด้วยคำถามนี้เพื่อให้เรารู้ทันอารมณ์ของตัวเอง
บางคนจะคิดว่าอารมณ์ คือ สิ่งที่เรารู้สึกไม่ว่าจะโกรธ เศร้า ดีใจ แต่ที่จริงแล้วอารมณ์อยู่กับเราในทุกๆ ความคิดและการตัดสินใจ และยังช่วยให้เราเข้าใจโลกและการมีปฏิสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นๆ ในสังคม
ในหนังสือยังอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้อารมณ์ของเราเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีในแต่ละวันและหลีกเลี่ยงการสร้างพฤติกรรมที่ดูจะทำอันตรายกับตัวเรา
หนังสือเล่าอีกด้วยว่า ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ยังช่วยทำให้สมองซีกซ้ายและขวาทำงานร่วมกันอย่างสมดุลและมีประสิทธิภาพ พร้อมกับตอบคำถามของคนที่สงสัยว่าความฉลาดทางอารมณ์จะช่วยพัฒนาตัวตนและนำไปสู่การพัฒนาสังคมได้อย่างไร
เพราะบางครั้งคนเราจะสำเร็จหรือล้มเหลว มันตัดสินกันเพียงช่วงอารมณ์เดียวเท่านั้นจริงๆ
.
5. ‘How to Stop Worrying and Start Living’ by Dale Carnegie (1948)
เป็นหนังสือคลาสสิกที่สุดที่อธิบายให้เราเข้าใจง่ายๆ ว่าเราจะจัดการความกังวลทิ้งไปได้อย่างไร
Key Message อาชีพที่สร้างความเครียด และกังวลมากๆ ให้เรา คือ สิ่งที่แย่ที่สุดต่อสุขภาพร่างกาย ความสับสนก็เป็นบ่อเกิดของความกังวล คำว่า ‘จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว’ นั่นก็หมายถึงเมื่อเรารู้สึกสับสน เครียด กังวล และ หดหู่ในชีวิต หรือ มีเหตุการณ์ร้ายๆ มากระทบจิตใจของเราเมื่อไหร่ ก็จะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเราได้แทบจะทันที ทั้งโรคหัวใจ โรคกระเพาะ ความดันสูง
1
Dale Carnegie จึงแนะนำให้ หาต้นเหตุของความกังวลนั้น ยอมรับมัน และลงมือหาทางจัดการโดยที่เมื่อตัดสินใจลงมือทำแล้วจะไม่เสียใจหรือมองย้อนกลับไปอีก ‘เรามีชีวิตอยู่เพื่อวันนี้ จงสลัดความกังวลในอดีตและอนาคตออกไป’
หากใครคิดว่าไม่มีเวลาอ่านหรือยังไม่อยากซื้อ เริ่มต้นจากการหารีวิวสรุปอ่านดูก่อนก็ได้
ขอแค่อ่านแล้วเริ่มต้นทำสิ่งที่หนังสือแนะนำ เราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก inc
#trickofthetrade #bookreview #หนังสือน่าอ่าน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา