22 พ.ค. 2022 เวลา 11:00 • ธุรกิจ
ช่วงนี้ ที่ทำงานของผมมีความเปลี่ยนแปลงอย่างนึงอย่างเห็นได้ชัด พนักงานเรามีผลงานโดยรวมดีขึ้น สาเหตุหลักเพราะเรามีการเปลี่ยนระบบการโปรโมทพนักงานใหม่
แนวคิดของโครงการนี้ธรรมดามากครับ มันเกิดจากคำถามที่ว่าทำไมเราต้องรอปีละครั้งกับการประเมินพนักงานทั้งบริษัท เพื่อจะให้รางวัลกับพนักงานสักคนที่ผลงานดี?
ทำไมการให้รางวัลคนเก่งคนดีมันจึงดูยากเย็นนัก?
เราสามารถทำอะไรได้บ้างไหมโดยไม่จำเป็นต้องรอ?
ผมเป็นคนที่ไม่เห็นด้วยกับระบบประเมินปีละครั้งมานานแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันนานเกินไป จึงพยายามผลักดันแนวคิดการ "โปรโมทเมื่อพนักงานพร้อม" จนออกมาเป็นรูปธรรม
แนวคิดคือ พนักงานคนไหนมีผลงานดีต่อเนื่องเป็นที่ประจักษ์กับเพื่อนร่วมงานทุกคนที่ทำงานร่วมด้วย ถ้าทุกคนเห็นว่าพนักงานพร้อมที่จะได้รับการโปรโมท เราก็จะโปรโมทเลยโดยไม่จำเป็นต้องรอสิ้นปีเหมือนที่เคยทำมาตลอด
ผลตอบรับออกมาดีมากครับ
ตั้งแต่ต้นปี 65 มาจนถึงปัจจุบัน เราโปรโมทพนักงานไปแล้ว 12 คน (จากจำนวน 500 คน) และคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่เรายังมีพนักงานที่มีผลงานดีต่อเนื่องให้เห็น บรรยากาศรวมของการทำงานดีมาก เราลดอัตราการลาออกของพนักงานได้เกินครึ่งโดยเฉพาะพนักงานที่ฉายแววและเราอยากส่งเสริม แต่ที่ผ่านมาพนักงานกลุ่มนี้ จะลาออกไปก่อนเพราะได้งานใหม่ (คนเก่ง หางานใหม่ได้ง่ายอยู่แล้ว)
แต่ถ้าถามว่า เราใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาบ้างล่ะ
เรื่องหลักแน่นอนคือผลงานในหน้าที่หลักของพนักงาน ที่ต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้
เราประเมินกันโดยให้น้ำหนักกับความคืบหน้าของงานเป็นหลัก เพราะเราเชื่อว่าถ้าความคืบหน้าดี ผลลัพธ์ก็จะออกมาดี ถ้าตกหล่นที่ผลลัพธ์ไปบ้างก็จะมีเหตุผลมาอธิบายได้
แต่น้ำหนักตรงนี้ เราให้ประมาณ 50% เองนะครับ
ที่เหลืออีก 50% เราให้จากงานนอกเหนือหน้าที่ หรืองานในสถานการณ์พิเศษ
เราดูว่าพนักงานจะมีทัศนคติอย่างไร และความสามารถในการจัดการกับงานนอกเหนือจากหน้าที่ปกติได้ดีแค่ไหน
คนที่จะมีผลงานดีในกรณีนี้ ต้องมี 2 ดี
ทัศนคติที่ดี และฝีมือดี
1. ทัศนคติดี จะช่วยให้เรามีความรู้สึกเป็นบวกกับการเจอปัญหา มองว่านั่นคือโอกาส ไม่ใช่ภาระ
2. ฝีมือดี จะช่วยให้จัดการกับปัญหาได้เรียบร้อย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่คุ้นเคย
เราเชื่อว่าคนที่เก่งกว่าคนอื่นคือคนที่ทำอะไรได้เกินคนอื่น
วิธีที่เราใช้ทดสอบพนักงานว่าพร้อมจะได้รับการโปรโมทหรือยัง คือการส่งเหตุการณ์จริงไปทดสอบ
1. มอบหมายให้ไปทำงานแปลกๆ
งานแปลก งานประหลาด เป็นงานที่ไม่ค่อยมีใครอยากทำ เพราะไม่รู้ว่าทำยังไง ทำไปทำไมและทำแล้วจะได้อะไร
ใครที่ถูกมอบหมายให้ทำงานแปลก ผมบอกให้เลยว่าคุณกำลังถูกทดสอบความสามารถ
คนมีทัศนคติดี จะมองว่านี่คือโอกาสได้ลองทำอะไรใหม่ เป็นความท้าทายของตัวเอง
คนที่มีทัศนคติด้านลบจะมองว่า ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองต้องทำ
นอกนั้นก็เป็นเรื่องของฝีมือละครับ ว่าจะทำได้ออกมาดีแค่ไหน
2. ส่งคนไปให้ช่วยสอนงานมากขึ้น
หรือในทางกลับกันด้วย
คนจะก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าคน 1 ในทักษะและหน้าที่เพิ่มที่ต้องมี คือการสอนงาน
คนที่ยังสอนงานคนอื่นไม่ได้ เก่งแค่ไหนก็ได้รับการโปรโมทยากครับ นี่คือความจริง
คนที่ทัศนคติดี จะมองว่านี่คือโอกาสที่จะได้ช่วยคนให้เก่งขึ้น
คนที่มีทัศนคติด้านลบจะมองว่าบริษัทเอาภาระมาให้ ทำไมไม่เอาคนเป็นงานแล้วมาช่วยจะได้ไม่ต้องสอน
3. เชิญเข้าประชุมที่ต้องมีการแสดงความเห็น ใช้ความคิดวางแผนและตัดสินใจมากขึ้น
การรับตำแหน่งที่สูงขึ้น หมายถึงการทำงานที่เปลี่ยนไป จากเน้นการปฏิบัติมาเป็นการคิดเชิงวางแผนมากขึ้น
คนที่สามารถแสดงให้เห็นถึงการมีความคิดที่เป็นระบบ เรียบเรียงและถ่ายทอดสิ่งที่คิดออกมาได้ดี และที่สำคัญคือเต็มใจแสดงความคิดเห็นและไม่รู้สึกหงุดหงิด หมดกำลังใจที่ความคิดของตัวเองไม่ถูกเลือกนำไปใช้งาน
4. ได้รับการ feedback แบบตรงไปตรงมามากขึ้น
การให้ feedback กับพนักงานในตำแหน่งสูง จะไม่อ้อมค้อม มีการวัดผลชัดเจนและแน่นอนว่าความตรงไปตรงมานั้นบางครั้ง พนักงานบางคนก็รับไม่ได้ มีออกอาการชักสีหน้า เถียงกลับ ฯลฯ
มันเป็นเรื่องปกติครับที่เราจะมีโต้แย้งและถกเถียงกันในเรื่องการประเมินและให้ feed back แต่สิ่งสำคัญที่อยู่เบื้องหลังของการให้feedback แบบนี้คือ การมีวุฒิภาวะและความสามารถในการรับแรงกดดัน
5. ให้ทำงานบางอย่างคนเดียว
ข้อนี้เป็นบททดสอบที่ปราบเซียน ผ่านยากที่สุด
ถ้าใครผ่านได้แปลว่ามีความพร้อมที่ก้าวขึ้นตำแหน่งที่สูงขึ้นแน่นอน
พนักงานจะถูกมอบหมายให้ทำงานบางอย่างคนเดียว ไม่มีลูกทีมคอยช่วยเหลือ เพื่อเป็นการประเมินว่าพนักงานสามารถทำงานโดยลำพัง ไม่ต้องพึ่งคนอื่นได้หรือไม่ รวมถึงจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเองได้อย่างดี
คนที่ทัศนคติดี จะมองว่านี่คือโอกาสที่ดีมากที่จะได้พิสูจน์ความสามารถของตนเอง
คนที่ทัศนคติไม่ดีจะมองว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้ง
จากที่เล่ามา อยากย้ำทุกคนอีกครั้งว่า ทัศนคติของเรานั้นสำคัญมากจริงๆ
เราจะก้าวหน้าในงานหรือไม่
ขึ้นอยู่กับว่าเรามีทัศนคติแบบไหน
ถ้าเรามีทัศนคติที่ดีกับการทำงาน พร้อมรับงานยาก ยินดีเรียนรู้สิ่งใหม่ และพร้อมช่วยเหลือผู้อื่นในงานที่นอกเหนือจากหน้าที่ของตัว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะได้รับโอกาสและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากกว่าคนที่มีทัศนคติไม่ดี
ใครเจองานเพิ่ม งานยาก แล้วทำหน้าเซ็งเป็ดเหมือนแมวในภาพ คิดว่าธุระไม่ใช่ ทำไมตัวเองต้องมาทำ ความคิดแบบนี้คือตัวฉุดรั้งเราไว้ที่เดิม ยากจะได้รับการส่งเสริมจากองค์กร
ทุกสิ่งที่อ่านมาคือความจริง
ไม่ว่าบริษัทไหนในโลก ก็คิดและทำแบบนี้ครับ
#trickofthetrade #selfdevelopment

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา