25 พ.ค. 2022 เวลา 15:55 • ปรัชญา
ถ้าไม่มี"ความทุกข์" แล้ว"ความสุข"จะยังเป็น"ความสุข"อยู่ไหม ?
คำถามนี้ถูกลบ
เราเคยทำความเข้าใจ ในเรื่องเราของจิตคือตัวเราเองที่เป็นนามธรรม เพราะจิตของเรามีกรรมแล้วก็มีบุญ ที่ได้มาอาศัยเรือนกายของคุณบิดามารดา ที่เป็นเสมือนบ้านหลังหนึ่งให้จิตเราอาศัยอยู่ บ้านหลังนี้ ก็มีเรื่องราวที่เราต้องดูแล ต้องรักษา ..ต้องหาอาหาร การกินเข้าไปหล่อเลี้ยงบ้านหลังนี้ หรือ สังขารไม่ให้ผุพัง ภายในบ้าหลังนี้ ก็มีเรืองรางของอารมณ์ ต่างๆ ที่ผุดขึ้นมา มีความโลภ ความโกรธ ความหลงความนึกคิดอะไรต่างๆ
สิ่งที่อยู่ภายในบ้าน มีข้าวของที่เราเก็บๆเข้ามามากมาย เอามายึดถือ เนื่องจากการใช้กายไป..ใช้ตาไปเห็นไปรับรู้ หูก็ได้ยิน..มันก็มีการบันทึกอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่เคย ศึกษาในเรื่องราวเหล่า เราก็ใช้ชีวิตวันหนึ่งคืนหนึ่ง ก็ปล่อยเวลาผ่านไปเรื่อง เรามีอารมณ์นั้นอารมณ์นี้เกิดขึ้น คิดเร่ิองนั้นเรื่องนี้ ไปจนเคยชิน เห็นว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่แท้จริง ..จิตของเรามันไม่รับรู้อะไรเลยเพราะกรรมนั้นปกปิดจิตไม่ให้รับรู้ จิตเราก็รับรู้ไปตามอารมณ์ที่นึกคิดที่เกิดขึ้น มันจึงไม่รู้จักคำว่าจิตของตัวเองเลย จิตเราก็เลยรับรู้ไปตามอารมณ์ ทำไปตามอารมณ์ที่สั่ง
ผู้ที่ที่ท่านรู้จัก..เรื่องราวของอารมณ์ดี ท่านก็ได้แต่บอกว่าสร้างบุญสร้างกุศลขึ้น ให้กายเรามีบุญ จิตเรามีบุญ เราก็ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม ได้รู้จักเรื่องของอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในกายนี้ เป็นอย่างไร อารมณ์นั้นเป็นลักษณะที่ว่าเหมือนไฟ นั้นเป็นอย่างไร แล้วที่มาที่ไปของอารมณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนกายนี้มาจาดตรงไหนบ้าง มองไปแอบอยู่ตรงบ้าง เค้าก็ปฏิบัติธรรม ชำระล้าง สิ่งที่ติดอยู่ในเรือนกายนี้ออก
ในการที่จะเอาสิ่งนี้ออกไป มันก็เหมือนเราลอกแผ่นยางมะตอย ที่ติดอยู่กับเนื้อหนังเราออก เราจึงต้องค่อย..ลอกเค้าออก..ไปทีละนิดๆ ก็คือสะสมบุญกุศลไปเรื่อยๆ เราไปทำเอาเค้าทีเดียวไม่ไหวหรอก เหมือนกับเนื้อหนังมีหลุดออกมา ก็คือร่างกายเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก จิตของเราก็ทนไม่ไหว คือ..จิตไม่สามารถอดทนมีขันติประพฤติปฏิบัติธรรม ไปจนทำให้กายนิ่ง จิตนั้นนิ่งได้
เพราะมันต้องมีความเพียร ความขันติในการทำให้กายนิ่งจิตนิ่ง เพื่อที่จะถึงจุดของปัญญา ..ปัญญาที่จะสลัดละเรื่องราวต่างที่ไหลออกมาจากธาตุทั้งสี่ ที่บันทึกกรรมของเราไว้
กานนิ่งได้ จิตนิ่งได้ ก็มีสิ่งหนึ่ง ที่เรียกว่าแสงรัตนะ ส่องมาละลาย สิ่งที่ติดอยู่กับธาตุทั้งสี่นั้นออกไป เหมือนเราได้เก็บได้ขนสิ่งที่ไม่ดีนั้นออกไป ซึ่งเรี่ยวราวเหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยกาย นั้นมาสร้างบุญกุศลบารมีให้เกิดขึ้น
ถ้าหากเราไม่สร้างบุญสร้างกุศล บารมี จิตก็ไม่สามารถ เข้าไปศึกษาเรื่องราวของกรรม กรรมที่ต้องชำระสะสางกัน กรรมที่เกิดขึ้น ..ให้กายนี้เจ็บ..ป่วย ที่เราต้องศึกษาให้รู้จัก ว่าเจ็บป่วยนั้นมาจากกรรม เรื่องราวอะไรที่เรากระทำไว้ เราจะได้รู้จักกรรม แล้วไม่สร้างกรรมต่อไปอีก เพื่อที่จะช่วนเหล่อจิตของตนไปสู่สถานที่มีความสุข ไม่ใช่สถานที่มีแต่ทุกข์เป็นไฟนรกเผาผลาญจิตตลอดเวลา
ซึ่งเรื่องราวพวกนี้ จิตเราไม่สามารถเข้าไปศึกษาได้เลย ถ้าไม่เพียรสะสมบุญกุศลบารมีให้เป็นนิจสิน แล้วเราก็อยู่กับอารมณ์นึกคิด ที่แอบอิงด้วยความโลภโกรธหลง เป็นสุขที่มีทรัพย์สินเงินทอง ยศฐานบรรดาศักดิ์ ที่หลอกให้จิตเราหลง จิตมันก็เลยใช้..ใช้อารมณ์เล่านี้ ไปเสาะแสวงหาวัตถุปัจจัย มีลักษณะเป็นทาสของอารมณ์ จึงเกิดเป็นหนี้ เป็นกรรมเกิดขึ้นที่หลงใช้อารมณ์
คราวนี้..เมื่อจิตเรา..ไม่มีอารมณ์มาพัวพัน จิตเรามันก็เบา กายเบาจิตเบา..กายสะสมแต่เรื่องราวของบุญ จิตก็มีสุข ที่อาศัยในกายที่เป็นบุญ มิใช่กายของมีกรรม ซึ่งผู้ที่สามารถกระทำได้ ก็เป็นเหมือนเรื่องราวคำว่า ปัจจัตตัง ที่จะรู้ได้ว่าจิตเป็นสุข นั้นเป็นอย่างไร นั้นเป็นเรื่องราวของผู้ที่สร้างบุญกุศลบารมี หนีกรรม ..ไม่ใช่สร้างบุญกุศลให้จิตนั้นจมอยู่กับกรรม
เรื่องราวของคำว่า บุญกุศลนี้ มันฟังเข้าใจยาก ..แต่มันก็ไม่ยาก ถ้าผู้นั้นหมั่นการสะสมบุญกุศลให้เกิดขึ้น ด้วยกายวาจาใจ สร้างบุญกุศลด้วยความเต็มใจ ให้เกิดเป็นความบริสุทธิ์เกิดขึ้น บุญที่บริสุทธิ์ ก็จะหนุนนำให้จิตรู้จักความสุข สุขที่มีธรรมหล่อเลี้ยงจิต ไม่ใช่สุขลุกลี้ลุกลนที่เปเหมือนไฟเผาผลาญ ต้องดิ้นไปตรงนั้นตรงนี้ว่าเป็นสุข
โฆษณา