26 พ.ค. 2022 เวลา 22:23 • ปรัชญา
“การละสังโยชน์ ๓ สำหรับพระโสดาบัน”
สังโยชน์ ๑๐ นี้คือเครื่องพันธนาการจิตใจให้ติดอยู่ในคุกตะรางของสังสารวัฏ ของไตรภพ ผู้ที่ต้องการจะหลุดออกจากความทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด ออกจากวัฏสงสารนี้ ต้องทำลายพันธนาการ ๑๐ ประการนี้ คือสังโยชน์ ๑๐ ถึงจะได้หลุดออกไปสู่พระนิพพานได้
ทีนี้สังโยชน์ ๑๐ นี้ ท่านก็มีแบ่งไว้เป็น ๒ ระดับ ระดับล่างกับระดับบน เรียกว่าสังโยชน์เบื้องต่ำ กับสังโยชน์เบื้องสูง สังโยชนฺเบื้องต่ำก็มี ๕ ข้อ ข้อแรกคือ ๑. สักกายทิฏฐิ ๒. วิจิกิจฉา ๓. สีลัพพตปรามาส ๔. กามราคะ และ ๕. ปฏิฆะ นี่คือสังโยชน์เบื้องต่ำ เบื้องล่าง
และสังโยชน์เบื้องบนก็คืออีก ๕ ข้อ ได้แก่ ๑. รูปราคะ ๒. อรูปราคะ ๓. อุทธัจจะ ๔. มานะ และ ๕. อวิชชา อันนี้ไม่ได้แปลความหมายให้ เพียงแต่พูดคร่าวๆ ให้ฟังก่อน เดี๋ยวจะค่อยมาเล่าทีละประเด็น นี่ก็คือขั้นตอนในการบรรลุพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ นั่นเอง
พระอริยบุคคลนี้จะไปถึงขั้นพระอรหันต์ได้นี่ ต้องละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการ ทั้งเบื้องต่ำและเบื้องสูง เบื้องล่างกับเบื้องบน สำหรับผู้ที่จะบรรลุเป็นพระโสดาบันได้ จะต้องทำลายพันธนาการ ๓ ข้อด้วยกัน
คือ ๑. สักกายทิฏฐิ คือความเห็นว่าขันธ์ ๕ คือร่างกายและจิตใจนี้เป็นเรา มีตัวตน มีเราเป็นขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ เป็นเรา เช่น พวกเราทุกคนเห็นว่าร่างกายนี้เป็นเรา แล้วความรู้สึกนึกคิดคือจิตใจก็เป็นเรา เราเป็นร่างกาย ร่างกายเป็นเรา ความรู้สึกนึกคิดเป็นเรา เราเป็นร่างกาย
แต่ตามความเห็นของผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรม คือพระพุทธเจ้านี้ จะเห็นว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นธรรมชาติ เป็นสภาวธรรม เหมือนกับลมพัด ฝนตกอย่างนี้ เป็นสภาวธรรมที่ไม่มีตัวตน แต่มีการเคลื่อนไหว ฝนมันตกได้ ลมมันพัดได้ แต่ไม่มีใครพัดลม ไม่มีใครทำให้ฝนตก มันเป็นเหตุเป็นปัจจัย ลมพัดเพราะมีเหตุปัจจัยทำให้ลมพัด ฝนตกก็มีเหตุปัจจัยทำให้ฝนตก ขันธ์ ๕ ก็เช่นเดียวกัน ขันธ์ ๕ ก็เป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
รูปนี้ก็คือร่างกาย ที่เราเห็นนี่ ที่เรามีกันทุกคน เรียกว่ารูป รูปขันธ์ ส่วนทางจิตใจก็มีอยู่ ๔ คือ ความรู้สึกนึกคิด ได้แก่ เวทนา เวทนาก็คือความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ แล้วก็ความนึกคิดก็คือ สังขารกับสัญญา
สังขารก็คือความคิดปรุงแต่ง สัญญาคือการจำได้หมายรู้ ละวิญญาณคือการรับรู้รูปเสียงกลิ่นรส ที่มาสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ธรรมชาติเหล่านี้ไม่มีตัวตน เป็นธรรมชาติ ร่างกายนี้เป็นธรรมชาติที่ประกอบขึ้นด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุ ๔ ส่วนจิตใจนี้เป็นธาตุรู้ ที่มีอาการ ๔ ประการอยู่ในจิตใจนี้ แต่ไม่มีตัวตนในธรรมชาติทั้งหมดนี้
ร่างกายก็เป็นเพียงการเจริญเติบโตของดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนต้นไม้ ต้นไม้ก็มีดิน น้ำ ลม ไฟ ทำให้เจริญเติบโต เวลามีดิน เราปลูกเมล็ดพืชลงไปในดิน แล้วใส่น้ำลงไป ให้มีอากาศหายใจ มีความร้อนพอสมควร ต้นไม้พืชพันธุ์ต่างๆ ก็เจริญงอกงามขึ้นมา ร่างกายของมนุษย์เราก็เช่นเดียวกัน
มีการรวมตัวของธาตุทั้ง ๔ ในครรภ์ของมารดา คือธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็ได้รับการสนับสนุนจากธาตุ ๔ ที่มารดารับประทานเข้าไปในร่างกาย แล้วก็ไปหล่อเลี้ยงทำให้ร่างกายที่อยู่ในครรภ์นี้เจริญเติบโตขึ้นมาตามลำดับ พอเจริญเต็มที่ อาการครบ ๓๒ ก็คลอดออกมา พอคลอดออกมา ร่างกายนี้ก็เริ่มเติม ดิน น้ำ ลม ไฟ ด้วยตนเอง
เด็กคลอดออกมา สิ่งแรกที่ทำคืออะไร ก็หายใจเอง เอาธาตุลมเข้าไป แล้วก็ร้องหิวน้ำ หิวนม ก็เอาธาตุน้ำ ลมก็มีธาตุดินผสมอยู่ด้วย แล้วก็อาศัยความร้อนของอุณหภูมิของที่อยู่อาศัย ของบ้านที่ได้มาจากแสงแดด เป็นการเติมธาตุ ๔ ให้แก่ร่างกาย
ถ้ามีการเติมธาตุ ๔ ให้แก่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง ร่างกายก็เจริญเติบโตขึ้นมาตามลำดับ จากเด็กเล็กก็เป็นเด็กโต จากเด็กโตก็เป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็เป็นคนชรา เป็นคนชราแล้วก็เป็นคนเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วในที่สุดก็เป็นคนตาย เป็นการสิ้นสุดของวงจรของร่างกายนี้ ร่างกายนี้เป็นธรรมชาติที่มีวงจรของตน มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย พอตาย ธาตุทั้ง ๔ ที่รวมกันในร่างกายนี้ก็แยกออกจากกัน
ถ้าคุณหมอดูศพนี้ สมมุติว่าไม่มีการทำอะไรกับศพนี้ สิ่งที่จะออกจากร่างกายสิ่งแรกก็คือลม คือลมไม่เข้า ไม่หายใจ มีแต่ลมออก ลมที่เรอออกมาเป็นกลิ่นนี่ก็เป็นธาตุลม ต่อมาก็น้ำต่างๆ ในร่างกายก็จะไหลออกจากทวารต่างๆ แล้วทิ้งต่อไปเรื่อยๆ
ต่อไปร่างกายก็จะแห้งกรอบ แล้วทิ้งต่อไปก็จะผุพังกลายเป็นดินไป ธาตุลมออกไปก่อน ตามด้วยธาตุไฟ ร่างกายก็เย็น ธรรมดาร่างกายของคนที่ไม่ตายนี้จะไม่เย็น จะมีอุณหภูมิ พอหยุดหายใจ หยุดทำงานปั๊บ ธาตุไฟก็ออกจากร่างกายไป เย็นเฉียบ แล้วต่อมาธาตุน้ำก็ไหลออกมาตามทวารต่างๆ
ส่วนที่เหลือก็คือธาตุดิน ทิ้งไว้มันก็จะผุพังกลายเป็นดินไป อันนี้คือธรรมชาติ ไม่มีตัวตนในร่างกายนี้ ผู้ที่รู้นี้ท่านพิจารณาเห็นอย่างชัดเจนมาก ร่างกายนี้ไม่มีเรา เราคือผู้รู้ผู้คิดที่อยู่ในจิตใจ ออกมาจากจิตใจ ออกมาจากความคิดปรุงแต่ง เป็นสมมุติ
ใจนี้สมมุติตัวเองว่าเป็นตัวตน สมมุติว่าร่างกายนี้เป็นตัวตน ตัวของร่างกาย ของใจอีกทีหนึ่ง แล้วใจก็เลยไปยึดติดกับร่างกาย พอไปยึดติดกับร่างกาย ใจก็ทุกข์ เพราะใจเมื่อไปยึดติดกับอะไรก็อยากให้สิ่งที่ตนเองยึดติดนั้นดี อยากให้อยู่ไปนานๆ อยากให้ทำหน้าที่ที่ใจต้องการให้ทำ
คือหารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะมาให้ใจได้เสพอยู่เรื่อยๆ แต่เนื่องจากร่างกายนี้เขามีวงจรของเขา เขาถึงวัยที่เขาไม่สามารถที่จะทำหน้าที่ได้ ใจก็ทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ ความตายของร่างกาย แต่ถ้าใจรู้ว่าร่างกายนี้เป็นสิ่งที่เป็นของชั่วคราว พึ่งได้เพียงชั่วคราว พอถึงเวลาก็ต้องปล่อย
ถ้าปล่อยได้ใจก็จะไม่ทุกข์ แต่ที่ปล่อยไม่ได้ ก็เพราะว่าใจต้องอาศัยร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุข ทุกวันนี้เราใช้ร่างกายพาเราไปดูไปฟังไปกินไปดื่ม ไปลิ้มรสไปเที่ยวไปทำอะไรต่างๆ เราใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุข เราจึงทิ้งร่างกายไม่ได้ เพราะถ้าทิ้งแล้วเราไม่มีวิธีหาความสุข เราก็จะทุกข์กัน
พระพุทธเจ้าจึงทรงค้นพบวิธีใหม่ที่ทำให้เราทิ้งร่างกายได้ ก็คือการหาความสุขภายในใจเอง ด้วยการทำสมาธิ ทำใจให้สงบ พอใจสงบ ใจก็จะมีความสุข มีความสุขก็ทำให้ไม่ต้องอาศัยร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุขต่างๆ
ร่างกายจะแก่จะเจ็บจะตายก็ไม่เดือดร้อน ปล่อยมันแก่มันเจ็บมันตายได้ ไม่ทุกข์ อันนี้ก็คือเรื่องของใจกับร่างกายที่เกี่ยวพันกัน ใจทุกข์กับร่างกายก็เพราะใจอาศัยร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุข แล้วก็หลงไปคิดว่าร่างกายเป็นใจ เป็นตนเอง พอร่างกายเป็นอะไรก็คิดว่าตนเองจะเป็นไปกับร่างกาย แต่ใจนี้ไม่ได้ตาย ไม่ได้แก่ ไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย เพียงแต่ขาดปัญญา ไม่ได้เจริญวิปัสสนา ไม่ได้แยกแยะด้วยสมาธิ
ถ้าปฏิบัติสมาธินี้ ใจจะแยกออกจากร่างกายชั่วคราว ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าใจเป็นผู้รู้ผู้คิด ส่วนร่างกายนี้เป็นผู้ทำหน้าที่รับรูปเสียงกลิ่นรส ที่เข้ามาทางตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วส่งมาที่ใจอีกทีหนึ่ง
ผู้ที่ปฏิบัติต้องการละสังโยชน์นี้ เบื้องต้นต้องมีสมาธิก่อน ถึงจะสามารถละได้ เพราะถ้าไม่มีสมาธินี้จะไม่สามารถที่จะปล่อยวางร่างกายได้ เพราะจะต้องยึดร่างกายนี้เป็นเครื่องมือในการหาความสุขนั่นเอง จึงต้องสร้างวิธีหาความสุขแบบใหม่ที่ไม่ต้องใช้ร่างกายก่อน คือนั่งสมาธิ เข้าฌาน ได้ฌาน ๔ จะได้อุเบกขา ได้ “นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง” ได้ความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งปวง ความสุขที่เกิดจากความสงบ
แล้วพอได้ความสุขอันนี้แล้ว ก็มาพิจารณาร่างกายให้เห็นว่าไม่เที่ยงได้ เห็นว่าร่างกายในที่สุดก็ต้องแก่เจ็บตาย เห็นว่าร่างกายนี้มันไม่มีตัวมีตน เพราะมันจะย่อยสลายกลับคืนสู่ ดิน น้ำ ลม ไฟไป เหมือนรถยนต์คันหนึ่งเท่านั้น ไม่มีตัวตนในรถยนต์ คนขับไม่ได้เป็นรถยนต์ ใจที่ขับร่างกายนี้ไม่ได้เป็นร่างกาย
เมื่อใจพิจารณาจะเห็นชัดเจน ใจก็จะละความยึดติดในขันธ์ ๕ ได้ รู้ว่าร่างกายก็เป็นธรรมชาติที่ไม่เที่ยง ที่เกิดแก่เจ็บตาย เวทนาความรู้สึกนึกคิดก็เป็นธรรมชาติที่เกิดแล้วก็ดับไป ดับเป็นชุดชุดไป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้จะมาเป็นชุดกัน ทำหน้าที่พร้อมกันไป เช่น วิญญาณรับรูปมาปั๊บก็เกิดสัญญาตามมาว่า เป็นรูปอะไร รูปดีหรือไม่ดี
พอเกิดสัญญารู้ว่ารูปดีหรือไม่ดี ก็จะเกิดเวทนา คือสุขหรือทุกข์ขึ้นมา แล้วสังขารก็จะปรุงแต่งต่อไปว่า ถ้าสุขก็เกิดตัณหาอยากได้ ถ้าเป็นทุกข์ก็เกิดตัณหาอยากจะหนีมันไป อันนี้มันเป็นการทำงานของนามขันธ์
คือ เวทนา สัญญา สังขาร ที่มาเกี่ยวข้องกับร่างกาย ทางตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วพิจารณาอย่างนี้แล้วก็จะเห็นว่า ความทุกข์ของใจเกิดจากความอยาก อยากจะเสพเวทนา สุขเวทนา เวลาอยากแล้วไม่ได้เสพก็จะทุกข์ อยากจะได้สุขเวทนา
เวลาไม่มีความสุขก็อยากจะได้ความสุข พออยากได้ความสุข ใจก็ทุกข์ขึ้นมาทันที อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องไปหาความสุข แล้วพอไปเจอความทุกข์ก็อยากจะให้ความทุกข์หายไป ถ้าความทุกข์ไม่หายก็ทุกข์อีก ก็ต้องดิ้นรนหาวิธีทำให้ความทุกข์หายไปอีก ก็จะผูกพันอยู่กับการอยากต่างๆ แล้วทุกครั้งที่อยากนี่ ใจก็จะกระเพื่อม ใจก็จะทุกข์ขึ้นมา
ก็ให้ดูเหมือนกับลมพัดนี่ ฝนตกนี่ มีเหตุปัจจัยทำให้ฝนตก ทำให้ลมพัก เราไม่สามารถที่จะไปห้ามหรือบังคับลมหรือฝนได้ แต่เราก็ไม่ทุกข์กับลมกับฝนเพราะเรารู้ว่าเขาเป็นธรรมชาติ แต่เรามาทุกข์กับเวทนาเพราะเราไปคิดว่าเป็นของเรา เป็นของที่เราควบคุมบังคับได้
แต่ความจริงเราควบคุมบังคับไม่ได้เช่นเดียวกัน ถ้าควบคุมบังคับได้เราก็จะไม่มีความทุกข์ เวลาร่างกายทุกข์ปั๊บ เราก็สั่งให้มันหายปั๊บไปได้ แต่เราสั่งมันไม่ได้ เวลาที่เราไม่มีความสุข เราจะสั่งให้มันผลิตความสุขให้เราทันที เราก็สั่งมันไม่ได้ งั้นเมื่อมองเวทนาแล้ว ก็จะเห็นว่าเป็นเหมือนลมพัด เหมือนฝนตก ร่างกายก็เป็นเครื่องมือของการผลิตเวทนาต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมา
พอเห็นได้อย่างชัดเจนว่าขันธ์ ๕ นี้ เป็นสภาวธรรม เป็นธรรมชาติเหมือนฝนตก แดดออก ลมพัด ใจก็ไม่ไปยุ่งกับมัน ยอมอยู่กับสภาพความเป็นจริงของขันธ์ไป เวทนาจะทุกข์ก็อยู่กับมันไป เหมือนเราอยู่กับฝนตก แดดออก น้ำท่วม ก็อยู่กับมันไป เวลาฝนแล้งฝนไม่ตกก็อยู่กับมันไป เวลาลมไม่พัดก็อยู่กับมันไป
อันนี้ใจก็จะไม่ทุกข์กับขันธ์ ๕ อีกต่อไป เพราะเห็นแล้วอย่างชัดเจนว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นธรรมชาติ เหมือนดินฟ้าอากาศ เหมือนลมพัด ฝนตก เป็นต้น ใจก็จะละสักกายทิฏฐิได้ ความเห็นที่ไปคิดว่าร่างกาย ขันธ์ ๕ นี้เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา อันนี้ละข้อแรกแล้ว สังโยชน์อีก ๒ ข้อมันก็จะตามมา มันมาเป็นพวง พอละข้อนี้แล้ว ความสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็จะหายไป
เพราะอะไร เพราะเราเห็นชัดในอริยสัจ ๔ ที่เราได้พิจารณาจากการพิจารณาขันธ์ ๕ ว่ามันไม่เที่ยง ว่ามันเป็นทุกข์ถ้าเราไปอยากให้มันเที่ยง หรืออยากให้มันเป็นไปตามความต้องการของเรา เราก็จะเห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อย่างชัดเจน เราก็จะไม่สงสัยว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านี้เป็นของจริงหรือไม่จริง และเมื่อเราเห็นธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าปรากฏขึ้นมาในใจเรา เราก็จะไม่สงสัยคนที่สอนธรรมะนี่ว่ามีหรือไม่
เราก็ไม่สงสัยว่าพระพุทธเจ้านี่แหละเป็นผู้ที่สอนธรรมะนี้ให้เราเห็น แล้วผู้ที่เห็นธรรมะอันนี้ก็คือพระอริยสงฆ์สาวก คือพระโสดาบัน ผู้ที่เห็นธรรม ละสักกายทิฏฐิได้ด้วยการเห็นอริยสัจ ๔ เห็นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี้ ก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน แล้วก็จะละข้อ ๓ ได้ คือ สีลัพพตปรามาส คือความไม่เห็นคุณประโยชน์ของศีลธรรม เพราะเมื่อปฏิบัติเข้าไปถึงจิต
จะเห็นว่าเวลาจิตทุกข์นี้เกิดจากเหตุ ๒ ประการด้วยกัน ประการหนึ่งก็คือความอยากที่เมื่อกี้ได้แสดงให้ฟังอีกประการหนึ่งก็เกิดจากการทำบาป เวลาทำบาปนี้จะเห็นได้ชัดเจนว่า ใจจะร้อน จะลุกขึ้นมาเป็นไฟทันที ใจจะไม่สบายเวลาเราทำบาป
เวลาเราพูดปดนี้เราไม่สบาย เวลาเราลักขโมยของผู้อื่นนี้ใจเราจะไม่สบาย ก็เลยทำให้รู้ว่าความทุกข์ของใจนี้เกิดจากความอยากหนึ่ง เกิดจากการกระทำบาปหนึ่ง และวิธีที่จะทำให้ความทุกข์เหล่านี้หายไปก็ต้องหยุดความอยาก และหยุดการกระทำบาปเท่านั้น
พระโสดาบันก็เลยจะรักษาศีล ๕ อย่างแน่วแน่ เพราะไม่ต้องการที่จะเผาใจตนเองด้วยการกระทำบาป นี่คือพอละสักกายทิฏฐิได้ ก็จะละวิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในพรพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ ไม่ต้องไปอินเดีย พระอริยบุคคล ครูบาอาจารย์ ตั้งแต่หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัวนี้ ท่านไม่เคยไปอินเดีย
ท่านไม่ต้องไปดูว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่มีจริง ท่านไม่สงสัย ท่านเห็นพระพุทธเจ้าในใจของท่าน ท่านเห็นธรรมะคืออริยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้าสอน ในใจของท่าน ท่านเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ ๕ ในใจของท่าน ท่านก็เลยไม่มีความจำเป็นจะต้องไปอินเดียให้เสียเวลาเปล่าๆ เพราะไม่สงสัย แล้วก็จะไม่ทำพิธีกรรมอะไรต่างๆ
สีลัพพตะ คือพวกที่ยังเชื่อในการแก้บนบ้าง บนบานศาลกล่าว ทำอะไรต่างๆ เพื่อบรรเทาความไม่สบายใจของตน ที่อาจจะเกิดจากการมีภัยต่างๆ เข้ามาคุกคาม หรือมีอย่างเช่นช่วงนี้ ช่วงโควิดนี่ รับประกันได้ คนคงจะไปบนบาน ไปทำพิธีกรรมอะไรต่างๆ เพื่อให้โรคภัยไข้เจ็บเหล่านี้หายไป หรือไม่มาคุกคามตนเอง
แต่ทางพระโสดาบันนี้ท่านจะไม่ทำพิธีกรรมเหล่านี้ ท่านรู้ว่าความทุกข์ใจของท่านเกิดจากการไม่อยากจะติดโควิด แต่เมื่อท่านพิจารณาว่าโควิดมันก็เป็นเหมือนดินฟ้าอากาศ ถ้ามันจะตกมันก็ต้องตก ถ้ามันจะติดก็ต้องติด ถ้ามันจะต้องตาย
ท่านก็ยอมรับความจริงว่ามันต้องตาย
ท่านจะไม่ต้องไปทำพิธีกรรมอะไรต่างๆ เพื่อมาทำให้ใจของตนเองสบาย ไม่ต้องไปหาหมอดู ไม่ต้องไปหาหมอฮวงจุ้ยว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ทำที่ใจอย่างเดียว หยุดความอยากไม่แก่ อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตาย แล้วไม่มีอะไรจะทำให้ใจของพระโสดาบันไม่สบายขึ้นมาได้
ใจของท่านจะเฉยๆ เป็นอุเบกขา แล้วท่านก็จะไม่ทำบาป เพราะท่านรู้ว่าเวลาทำบาปนี้ ใจของท่านจะไม่สบาย จะร้อนขึ้นมาทันที นี่คือการละสังโยชน์เบื้องต้น ๓ ข้อนี้ ถ้าละได้ก็จะบรรลุเป็นพระโสดาบัน
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
โฆษณา