27 พ.ค. 2022 เวลา 14:17 • การตลาด
การตลาดสุด Strange! ฉบับ “Stranger Things” ซีรีส์ดังจาก Netflix
หากพูดถึงซีรีส์ที่หลายคนชอบมากๆ ใน Netflix คงหนีไม่พ้นซีรีส์เรื่อง “Stranger Things” ที่สร้างรายได้ให้แก่ Netflix และเพิ่มจำนวนผู้ติดตามให้แพลตฟอร์มนี้อย่างมหาศาล รายงานจากในวันที่ 9 กรกฎาคม 2019 หรือเพียง 5 วันหลังจากที่ซีซัน 3 เปิดตัว พบว่ามีผู้ชมซีรีส์นี้มากถึง 40.7 ล้านแอ็กเคานต์!
อะไรที่ทำให้ Stranger Things ประสบความสำเร็จขนาดนี้?
แน่นอนว่าความน่าสนุกและน่าตื่นเต้นของเนื้อเรื่อง ความสามารถของนักแสดง และบรรยากาศของยุค 80 ที่ชวนให้หลายคนคิดถึงวันเก่าๆ เป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ชมชอบซีรีส์นี้ แต่ยังมีอีกปัจจัยหนึ่ง ซึ่งก็คือ “การตลาด” ของ Stranger Things นี่เอง ที่ทำให้ซีรีส์ประสบความสำเร็จ
วันนี้ Mission To The Moon ขอต้อนรับการกลับมาของ Stranger Things ในซีซันที่ 4 โดยการชวนไปดูแคมเปญการตลาดที่น่าสนใจและ Strange (แปลก) สมชื่อซีรีส์ Stranger Things เลย! มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
1) Free Product Placement! การ (ไม่) แอบวางสินค้าแบบฟรีๆ
การที่หนังจะพาผู้ชมย้อนไปสู่อดีตอย่างสมจริง นอกจากบรรยากาศและเสื้อผ้าหน้าผมแล้ว ‘สินค้า’ ที่ตัวละครอุปโภคและบริโภคก็ต้องเป็นของในยุคนั้นๆ จริง
แต่แทนที่จะใช้เป็นสินค้าไม่มีแบรนด์ สร้างแบรนด์สมมุติขึ้นมาเอง หรือเปิดพื้นที่ให้แบรนด์จริงๆ มาซื้อ Product Placement เหมือนที่ซีรีส์เรื่องอื่นๆ ทำกัน ทาง Netflix กลับเลือกที่จะใช้สินค้าที่ผู้คนในยุค 80s อุปโภคและบริโภคกันจริงๆ อย่างเช่น Waffle สำเร็จรูปยี่ห้อ Eggos ที่เป็นที่นิยมอย่างมากในยุค 80s, น้ำอัดลม Coca-cola, เบอร์เกอร์จาก Burger King, ไอศกรีมแบรนด์ Baskin Robbins, และรองเท้า Nike
นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วมีสินค้ามากถึง 75 แบรนด์ที่โผล่ในซีรีส์เรื่องนี้ และที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ Netflix วาง Product Placement ให้ฟรีๆ แบบที่แบรนด์ไม่ต้องจ่ายสักบาท!
Netflix จะได้ประโยชน์อย่างไร? อันดับแรกคือ “ความสมจริง” ที่จะชวนให้คนดูอินและสนุกไปกับซีรีส์มากขึ้น แต่อีกประโยชน์ที่ได้จากการคิดถึงอดีต (Nostalgia) คือ Netflix จะสามารถขายสินค้าของเรื่อง Stranger Things ได้มากขึ้น
ทั้งที่ Netflix ผลิตเองและทำร่วมกับแบรนด์อื่น เช่น เสื้อผ้าคอลเลกชัน Stranger Things จากแบรนด์ CottonOn และ H&M หรือ โมเดลสะสมรูปตัวละคร Funko POP! สอดคล้องตามงานวิจัยที่บอกว่า การหวนคิดถึงอดีตทำให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มในการซื้อสินค้ามากกว่าเดิม
อีกประโยชน์ที่ได้คือ “การโปรโมตฟรีๆ” กลับจากแบรนด์สินค้าเหล่านั้น Netflix อนุญาตให้แบรนด์ต่างๆ ทำสินค้าคอลเลกชันพิเศษเกี่ยวกับ Stranger Things ได้ โดยไม่ต้องจ่ายเงินให้พวกเขา เรียกได้ว่าดีต่อทั้งสองฝ่าย
เพราะหลายแบรนด์ก็ถือโอกาสอันดีในการเกาะซีรีส์ ทำกำไรจากสินค้าคอลเลกชันพิเศษ ในขณะเดียวกันก็เป็นการโปรโมตซีรีส์ ชวนผู้คนให้มาชมมากขึ้นไปในตัว ตัวอย่างเช่น Burger King ที่ออกเมนู Upside-Down Whopper, กล้องโพลารอยด์รุ่น Stranger Things, ไปจนถึงเกมเศรษฐีรุ่น Stranger Things
2) พาสินค้ายุค 1980s กลับมาในโลกปัจจุบันจริงๆ!
อีกหนึ่งเรื่องที่ถูกพูดถึงกันอย่างมาก คือ การกลับมาของ “New Coke”
ย้อนไปในปี 1985 บริษัท Coca-Cola ได้ตัดสินใจปรับสูตรน้ำอัดลมให้นุ่มกว่า หวานกว่า และเปลี่ยนแพ็กเกจจิงของกระป๋อง โดยตั้งชื่อให้ว่า New Coke แต่โชคร้ายที่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า!
ไม่กี่วันหลังจากการวางขาย ลูกค้านับแสนโทรมาร้องเรียนขอให้โค้กกลับไปทำรสชาติแบบเดิม ซึ่งในท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องทำเช่นนี้จริงๆ การเรียกสินค้าคืนครั้งนั้นทำให้ Coca-Cola สูญเสียมูลค่าสินค้าไปกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลายคนเรียกแคมเปญครั้งนั้นว่า “หายนะทางการตลาด” ของ Coca-Cola
อย่างไรก็ตาม Netflix กลับมาพลิกวิกฤตในยุค 1980s ให้เป็น​โอกาสของทั้งของ Coca-Cola และตัว Netflix เอง
โดยการให้ในซีรีส์ Stranger Things มีการปรากฏตัวของ “New Coke” ที่เคยล้มเหลวในปี 1985 พร้อมๆ กับ Coca-Cola ที่ประกาศจะนำ “New Coke” กลับมาขายจำนวนจำกัด ในช่วงหน้าร้อนปี 2019 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นการตลาดที่น่าสนใจมากๆ เพราะทั้งพาผู้ชมย้อนอดีตให้อินผ่านหน้าจอ และชวนให้ลิ้มรสโค้กในตำนาน
3) เกมหลอนในชั้นใต้ดินกับเหล่าสตรีมเมอร์จาก Twitch
ในปี 2016 Netflix ร่วมมือกับแพลตฟอร์มสตรีมเกมชื่อดังอย่าง Twitch ที่มีผู้ใช้งานหลายล้านคน ในการโปรโมตซีรีส์ Stranger Things แต่แทนที่จะเป็นการ Reaction กับตัวอย่างของซีรีส์ หรือ ดูตอนแรก เพื่อโปรโมตซีรีส์นี้ตรงๆ พวกเขากลับเลือกทำสิ่งที่แฟนๆ ใน Twitch ชอบ ซึ่งก็คือการสตรีมเกมนั่นเอง
ในงานนี้ Netflix ชวนสตรีมเมอร์ชื่อดังใน Twitch เช่น ทักเกอร์ โบเนอร์ (ชื่อยูเซอร์ IIJERiiCHOII) และคนอื่นๆ ให้มานั่งเล่นเกมจากยุค 80s ขณะที่นั่งอยู่ในฉากหลังแสนคุ้นหูคุ้นตา ซึ่งก็คือ ฉากห้องนั่งเล่นชั้นใต้ดินที่ตัวละครใน Stranger Things ชอบมารวมตัวกันนั่นเอง
เรียกได้ว่า Netflix ทำการบ้านเรื่องกลุ่มเป้าหมาย (Target Audiences) มาอย่างดี
4) ชมห้องนั่งเล่นของบ้าน Byers แบบ 360 องศา
ห้องนั่งเล่นที่ร้อยด้วยสายไฟ พร้อมตัวอักษร A-Z ของบ้านครอบครัว Byers ใน Stranger Things เป็นหนึ่งฉากที่แฟนๆ คุ้นหูคุ้นตา และถือเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญอย่างมากในเรื่อง
โดยหลังจากที่ซีซัน 1 เปิดตัวไปไม่กี่สัปดาห์ ก็ได้ปล่อยตัววิดีโอ 360 องศา โชว์ฉากห้องนั่งเล่นดังกล่าว ให้ผู้ชมได้ชมกันแบบสมจริงผ่านแว่น VR Cardboard จาก Google ในตอนเปิดตัววิดีโอนั้นบนทวิตเตอร์ถูกชมไปมากกว่า 7 ล้านครั้ง
5) เพิ่มความสมจริงด้วย “แคมเปญประหยัดไฟ” จากเมือง Hawkins
ใครที่เคยดู Stranger Things จะทราบดีว่าเมืองสมมุติที่ตัวละครอาศัยอยู่ ชื่อเมือง “Hawkins” (ฮอว์กกินส์) โดยในปี 2017 ซีรีส์เรื่องนี้ได้ออกแคมเปญที่ดูสมจริงมากๆ โดยการซื้อโฆษณาบนบิลบอร์ด รณรงค์เรื่องการประหยัดไฟ จากบริษัทหรือหน่วยงานที่ชื่อ “Hawkins Power and Light” (พลังงานและการไฟฟ้าของเมืองฮอว์กกินส์)
แคมเปญดังกล่าวเป็นที่ถูกใจแฟนๆ อย่างมากจนเป็นที่พูดถึงทั่วโซเชียลมีเดีย
6) สั่งพิซซ่าด้วยพลังจิตกับ Domino’s
หากพูดถึง Stranger Things คงหนีไม่พ้นพลังจิตที่ชื่อ “Mind Flying” ของตัวละครหลัก ‘น้องแอล’ หรืออีเลฟเวน ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของซีรีส์นี้เลยก็ว่าได้ และในปี 2022 นี้ Domino’s Pizza จะพาเราเข้าถึงพลังนี้ได้มากกว่าเดิม ผ่านกิมมิก “การสั่งอาหารผ่านพลังจิต” แบบที่ใครๆ ก็สั่งได้ ไม่ใช่แค่อีเลฟเวน!
แน่ล่ะว่าเราไม่ต้องมีพลังจิตจริงๆ หรอก เพราะโหมดสั่งอาหารผ่านพลังจิตของ Domino’s Pizza นั้น จริงๆ แล้วใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า (Facial Recognition) และเทคโนโลยีติดตามดวงตา (Eye Tracking) เข้ามาผสาน ช่วยให้การสั่งอาหารแบบใช้เพียงแค่ตามอง ไม่ต้องใช้มือแตะหน้าจอ เป็นจริงขึ้นมาได้
และนี่ก็คือ 6 ตัวอย่างการตลาดที่แปลกและน่าสนใจของ Stranger Things! คุณผู้อ่านล่ะ ประทับใจแคมเปญไหนเป็นพิเศษ? คอมเมนต์บอกเราได้เลยนะ หรืออยากจะชวนคุยถึงซีซัน 4 ที่เริ่มฉายวันนี้ก็ไม่ว่ากัน :)
อ้างอิง
.
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#marketing
โฆษณา