30 พ.ค. 2022 เวลา 13:19 • สุขภาพ
หุ่นสั่งได้ดั่งเป่าลม : การเปลี่ยนร่างกายของ "คริสเตียน เบล" ในภาพยนตร์แต่ละเรื่อง
หลังจากที่ตัวอย่างอย่างเป็นทางการของภาพยนตร์ "Thor : Love and Thunder" หรือในชื่อไทย "ธอร์ : ด้วยรักและอัสนี" ภาคต่อของซูเปอร์ฮีโร่เทพเจ้าสายฟ้าจากจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ MCU ได้ถูกปล่อยออกมาและมียอดเข้าชมกว่า 32 ล้านวิวภายในเวลา 5 วัน
เป็นสัญญาณอันดีว่าแฟน ๆ ต่างก็ตั้งตารอคอยการหวนคืนจออีกครั้งของภาคต่อมากขนาดไหน เพราะด้วยชื่อของผู้กำกับ "ไทกา ไวติติ" ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งหนัง MCU ที่ดูสนุกและมีความสร้างสรรค์มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งเหมือนกับที่เขาเคยทำไว้ใน "Thor : Ragnarok"
นอกจากนี้ความน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวยังอยู่ที่รายชื่อนักแสดงอย่าง "นาตาลี พอร์ตแมน" กับการกลับมารับบท "เจน ฟอสเตอร์" ที่เคยปรากฏตัวในธอร์สองภาคแรกและในภาคนี้ยังเป็น "ไมท์ตี้ธอร์" รวมไปถึงอีกหนึ่งนักแสดงเจ้าบทบาทอย่าง "คริสเตียน เบล" ในบทตัวร้าย
"กอร์ เดอะก็อดบุตเชอร์" ที่สร้างความฮือฮาให้กับหลาย ๆ คนว่าเขาจะโชว์ฟอร์มการแสดงได้ขนาดไหน และการเตรียมพร้อมฟิตร่างกายสำหรับการมารับคู่อริของเทพเจ้าสายฟ้าเป็นอย่างไรบ้าง ? เพราะ คริสเตียน เบล ก็ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ทุ่มเทกับการเปลี่ยนร่างกายมากที่สุดคนหนึ่งของวงการ
เพื่อเป็นการเตรียมตัวรับชมบทบาทใหม่ของ คริสเตียน เบล ใน Thor : Love and Thunder เราขอชวนมาย้อนดูความฟิตของนักแสดงคนนี้ที่มักจะเปลี่ยนแปลงร่างกายของตัวเองบ่อย ๆ ในจอภาพยนตร์กันก่อนว่าเขาเคยฮาร์ดคอร์กับการเพิ่มลดน้ำหนักขนาดไหน โดยเลือก 10 บทบาทที่เขาเปลี่ยนร่างกายอย่างเห็นได้ชัดที่สุดมาให้ดูกัน
ติดตามไปพร้อมกับ Main Stand
1
[ 1. American Psycho (2000) ]
Patrick Bateman
81 กิโลกรัม
ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทำให้เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงร่างกายแบบจริงจังของ คริสเตียน เบล ในภาพยนตร์เรื่อง "American Psycho" กับบท "แพทริก เบทแมน" ผู้บริหารวาณิชธนกิจมาดดีที่มีเบื้องหลังเป็นฆาตกรโรคจิต เพราะความเก็บกดที่เกิดจากการต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอันหรูหราตลอดเวลา
การเตรียมตัวสำหรับบทนี้เบลต้องกินลีนโปรตีนล้วนโดยไม่กินน้ำตาล กินแต่ไขมันดีและกินคาร์บในปริมาณที่น้อยมาก ๆ อีกทั้งยังไม่มี "ชีทมีล" หรือมื้อพิเศษ เพราะในบทเบทแมนต้องเป็นคนที่หลงตัวเองมาก ๆ เขาจึงต้องพยายามที่จะดูสมบูรณ์แบบอยู่ตลอด
[ 2. The Machinist (2004) ]
Trevor Reznik
54 กิโลกรัม
การเปลี่ยนแปลงร่างกายของเบลที่เห็นได้ชัดเป็นครั้งที่สองคือการที่เขาต้องมารับบทเป็นช่างเครื่องผู้นอนไม่หลับมาเป็นเวลาข้ามปี "เทรเวอร์ เรซนิก" ในภาพยนตร์ดราม่า-ทริลเลอร์ "The Machinist" จนมันเริ่มทำให้เขามีสุขภาพจิตและกายที่ย่ำแย่ลงไปเรื่อย ๆ
เพื่อให้สมกับบทบาทการมารับบทเป็นเทรเวอร์ เบลต้องลดน้ำหนักลงมาให้เหลือ 54 กิโลกรัมภายในเวลา 4 เดือนเท่านั้น อาศัยการกินเพียงแค่น้ำเปล่า แอปเปิ้ล 1 ลูก และกาแฟ 1 แก้วต่อวันเท่านั้น ซึ่งความจริงเขาตั้งใจจะลดลงไปให้ถึง 45 กิโลกรัม แต่ทีมงานไม่ยอมเพราะเป็นห่วงสุขภาพของเขา ว่ากันว่านี่เป็นการลดน้ำหนักที่โหดที่สุดในวงการภาพยนตร์ จนกลายเป็นอีกหนึ่งบทที่ทำให้คนจดจำเบลได้ไม่แพ้เรื่องอื่น ๆ
[ 3. Batman Begins (2005) ]
Bruce Wayne
86 กิโลกรัม
ครั้งแรกกับการมารับบทเป็นอัศวินรัตติกาลฉบับรีบูทของ "คริสโตเฟอร์ โนแลน" ที่ดึงตัวเบลมารับบทเป็น "บรูซ เวย์น"​ มหาเศรษฐีแห่งเมืองก็อตแธมที่ในตอนกลางวัน แล้วสวมชุดเป็น "แบทแมน" ในตอนกลางคืน เป็นอีกครั้งที่เขาต้องกลับมาฟิตร่างกายเพื่อให้สมกับเป็นซูเปอร์ฮีโร่จาก DC Comics จากเดิมที่เคยผอมมาก ๆ ใน The Machinist (2004) และเริ่มกลับมาเป็นปกติในภาพยนตร์ Harsh Time (2005)
เบลใน Batman Begins ได้ฟิตร่างกายหนักมากกว่าที่เคยทำมา
เขาใช้เวลา 5 เดือนในการกินเพิ่มน้ำหนักด้วยพิซซ่าและไอศกรีม
รวมไปถึงรับประทานอาหาร 5 มื้อต่อวัน จนมีเรื่องเล่าตลก ๆ จากกองถ่ายว่าตอนที่ผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน เจอเขาครั้งแรก เขาคิดว่าเบลตัวใหญ่เหมือนหมีกริซลี่ย์ เบลยอมรับตามตรงว่าเขาไม่ควรจะรีบเพิ่มน้ำหนักตัวเองขนาดนั้น แต่ตอนหลังเขาก็ค่อย ๆ ออกกำลังกายแบบเวตเทรนนิ่งและวิ่งร่วมไปด้วย จนออกมาเป็นแบทแมนที่เราได้เห็นกัน
[ 4. Rescue Dawn (2006) ]
Dieter Dengler
61 กิโลกรัม
1
หลังจากที่เบลดูล่ำอยู่ได้ไม่นาน ในปีต่อมาการปรากฏตัวของเขาในบท "ดีเตอร์ เดงเลอร์" จากภาพยนตร์เรื่อง Recue Dawn (2006) ที่สร้างมาจากเรื่องจริง บอกเล่าเรื่องราวของนักบินสหรัฐอเมริกาที่ถูกจับเป็นเชลยอยู่ในค่ายกักกันในประเทศลาว ระหว่างช่วงสงครามเวียดนาม ก็ทำให้การเปลี่ยนร่างของเขาถูกพูดถึงอีกครั้ง
เบลในบทนักบินเชลยศึกต้องลดน้ำหนักให้ดูผอมลงกว่าตอนที่รับบทเป็นแบทแมน ไม่มีการเปิดเผยว่าวิธีการเปลี่ยนแปลงร่างกายของเขาในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวนั้นเป็นอย่างไร แต่เบลเคยเผยกับ Collider ครั้งหนึ่งในปี 2007 ว่า เขาไม่ได้ทำอะไรฮาร์ดคอร์เหมือนกับตอนที่เตรียมร่างกายสำหรับ The Machinist และเขาจะไม่ทำแบบนั้นอีกเด็ดขาด
[ 5. The Dark Knight (2008) ]
Bruce Wayne
86 กิโลกรัม
การกลับมารับบทเป็นแบทแมนอีกครั้งของเบลที่เขามีเวลาเตรียมตัวไม่ถึงหนึ่งปี หลังจากที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Rescue Dawn จบ อย่างไรก็ตามด้วยความคุ้นเคยกับบทที่เคยเล่นมาแล้วในภาคแรก เบลก็สามารถกลับมาเพิ่มน้ำหนักให้อยู่ที่ 86 กิโลได้เหมือนเดิม อีกทั้งยังเรียนรู้ทักษะด้านร่างกายใหม่ ๆในภาคนี้ด้วย
เขาเผยว่าแบทแมนเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ต้องอาศัยความเร็ว ความแข็งแกร่ง และความคล่องตัวเป็นพิเศษ ในภาคนี้เขาจึงตั้งต้นจากการควบคุมอาหาร ไม่ได้กินหนักเหมือนกับตอนที่เตรียมตัวในภาคแรก เบลจะกินอาหารทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง และมักจะกินโปรตีนที่ไร้มัน นอกเหนือจากนี้คือการกินคาร์โบไฮเดรตและไขมันแบบที่มีประโยชน์เท่านั้น
[ 6. The Fighter (2010) ]
Dicky Eklund
66 กิโลกรัม
อีกครั้งกับการลดน้ำหนักของเบลในบท "ดิคกี้ เอ็กลันด์" จากภาพยนตร์เรื่อง The Fighter (2010) ที่รับบทเป็นพี่ชายนักมวยเจ้าปัญหา "มิคกี้ วอร์ด" (รับบทโดย มาร์ก วอห์ลเบิร์ก) ที่สร้างจากเรื่องจริงของสองพี่น้องอดีตนักมวยจากเมืองโลเวล
ในภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะเรียกได้ว่าวิธีการลดน้ำหนักของเบลนั้นดูสุขภาพดีอย่างน่าแปลกใจ
เพราะสิ่งที่เบลทำคือการ "วิ่ง" เพื่อลดน้ำหนักอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีการไดเอตแบบโหดเกินประกอบ มีเพียงแค่วิ่งล้วน ๆ เขาเผยกับ Latino Review ในปี 2010 ว่า
"ผมก็แค่วิ่ง วิ่งแบบบ้าเลย ผมวิ่งทีได้เป็นชั่วโมงเลยแหละ คือผมรู้สึกสุขภาพดีจริง ๆ" นอกจากสุขภาพจะดีแล้วการวิ่งในครั้งนั้นยังส่งผลให้เขาได้รับรางวัลจากเวทีออสการ์ครั้งที่ 83 ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในปีต่อมา เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าชิงและได้รางวัลกลับไปอย่างคู่ควร
[ 7. The Dark Knight Rises (2012) ]
Bruce Wayne
86 กิโลกรัม
ครั้งสุดท้ายกับการกลับมาปิดไตรภาคแบทแมนของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ใน The Dark Knight Rises (2012) ไม่มีการเปิดเผยว่าเขาได้ทำอะไรเพิ่มเติมกับร่างกายของตัวเองให้ต่างจากหนังสองภาคแรกหรือไม่ แต่ว่ากันว่าแบทแมนในภาคนี้ จะดูลีนกว่า 2 ภาคแรกมาก เพื่อเป็นการเล่นให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องในภาค 3 ที่แบทแมนห่างหายจากการเป็นอัศวินรัตติกาลไปกว่า 8 ปี เหมือนกับคนผอมที่อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไร
อย่างไรก็ตามการกลับมาฟิตร่างกายทั้งในฉากตอนกลับมาเป็นแบทแมนหรือฉากที่เตรียมตัวไต่ออกจากคุก "The Pit" ยังแสดงให้เราเห็นเหมือนเดิมว่าบทสุดไอคอนนิกของเบลบทนี้ยังต้องอาศัยความแข็งแกร่งและความคล่องตัวอยู่เหมือนเดิม ซึ่งเบลก็ทำได้ดีเช่นเคย
[ 8. American Hustle (2013) ]
Irving Rosenfeld
103 กิโลกรัม
อีกหนึ่งบทที่น่าทึ่งที่สุดของเบล จากที่เคยผอมมากเขาต้องมาเล่นเป็นคนที่ท้วมมากเช่นกันใน American Hustle (2013) กับบทนักต้มตุ๋นชาวอเมริกัน "เออร์วิง โรเซนฟิลด์" ที่ส่งผลให้เขาได้เข้าชิงรางวัลออสการ์อีกครั้งในปี 2014
(แต่ปีดังกล่าว "แมทธิว แมคคอนนาเฮย์" ได้รางวัลไปจากภาพยนตร์ Dallas Buyers Club กับบทบาทที่สร้างจากชีวิตจริงของ รอด วูดรูฟ ผู้ป่วยโรค HIV ที่พยายามหาทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดในยุคที่ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้น้อยมาก และแน่นอนเจ้าตัวทุ่มเทลดน้ำหนักร่างกายไม่แพ้กันกับเบล)
เบลในบท เออร์วิง โรเซนฟิลด์ ต้องเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาถึง 103 กิโลกรัม โดยการกินโดนัทและชีสเบอร์เกอร์จำนวนมาก น้ำหนักตัวเขาเพิ่มขึ้นมากถึงขนาดที่ผู้กำกับ "เดวิด โอ รัสเซล" บอกให้เขาพอได้แล้ว และด้วยอายุอานามที่เพิ่มขึ้นการเพิ่มน้ำหนักของเบลในบทนี้ยังทำให้เขามีอาการปวดหลังเนื่องจากน้ำหนักที่เยอะเกินไป ทำให้เขาเริ่มตระหนักได้แล้วว่าไม่ควรจะทำอะไรสุดโต่งแบบที่เขาเคยทำมาในอดีตอีกแล้ว
1
[ 9. Vice (2018) ]
Dick Cheney
102 กิโลกรัม
หลังจากที่ผ่านบทของ เออร์วิง โรเซนฟิลด์ มาในปี 2013 ผลงานของเบลหลังจากนั้นก็ยังทำให้เขาต้องปรับร่างกายขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่เรื่อยมา ทั้งใน Exodus: Gods and Kings (2014) ที่ทำให้เขาต้องกลับมาฟิตอีกครั้งผ่านการคาร์ดิโอ วิ่ง และว่ายน้ำ ผสมเวตเทรนนิ่ง, เป็นชายผอมสูงใน Knights of Cup (2015) ไปจนถึงชายร่างใหญ่ติดโต๊ะทำงาน "ไมเคิล เบอร์รี่" ใน The Big Short (2015)
เบลต้องกลับมาท้าทายตัวเองอีกครั้งใน Vice (2019) ภาพยนตร์อัตชีวประวัติของ "ดิก เชนีย์" อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่เป็นการเพิ่มน้ำหนักแบบเข้มข้นพอ ๆ กับตอนเล่น American Hustle (2013) ผ่านการกินพายจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอเขายังลงทุนซื้อเครื่องออกกำลังกายสำหรับคอมาใช้ เพื่อปั้นให้คอตัวเองมีความหนาขึ้นเหมือนกับคอของดิก
ความทุ่มเทของเขาครั้งนี้ส่งผลให้เขาได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายอีกครั้งในปี 2019 (ในปีดังกล่าว "รามี มาเลก" ได้รางวัลไปจากบทบาท เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ นักร้องนำวง Queen ใน Bohemian Rhapsody)
[ 10. Ford V Ferrari (2019) ]
Ken Miles
79 กิโลกรัม
ครั้งล่าสุดที่เราได้เห็น คริสเตียน เบล บนจอภาพยนตร์ ในบท "เคน ไมล์ส" จาก Ford V Ferrari (2019) อีกหนึ่งภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงของอดีตนักแข่งรถชาวอังกฤษผู้ล่วงลับ ผู้กลายเป็นฟันเฟืองสำคัญอีกชิ้นในการช่วยให้ ฟอร์ด เอาชนะ เฟอร์รารี่ ใน เลอ มองส์ 24 ชั่วโมง ปี 1966 เป็นอีกครั้งที่เบลต้องลดน้ำหนักจากตอนล่าสุดที่ขึ้นไปถึง 100 กว่ากิโลกรัม
เขาเผยกับ Variety แบบติดตลกทีเล่นทีจริงว่าสาเหตุที่ทำให้เขาต้องลดน้ำหนัก นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาต้องเข้าไปนั่งในรถคันเล็ก ๆ อย่าง Ford GT40 ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างของเขาจาก Vice (2018) ทำไม่ได้เลย เพราะนอกจากมันจะเข้าไปได้ยากแล้วมันยังไม่สบายตัวด้วย
เพื่อนร่วมจอของเขาอย่าง "แมตต์ เดมอน" ผู้รับบท "แครอล เชลบี้" นักสร้างรถคนเก่งเพื่อนคู่คิดของไมล์ส เผยว่า เขาถามเบลว่าลดน้ำหนักขนาดนี้ได้ยังไง คำตอบที่ได้กลับมาคือการที่เบลบอกเพียงแค่ว่า "ผมแค่ไม่ได้กินอาหารน่ะ" เพียงเท่านั้นยิ่งทำให้แมตต์ประทับใจและยกย่องเบลขนาดที่ว่าเขามีวินัยเหมือนกับพระยังไงอย่างงั้น
เรื่องโดย ณัฐพล ทองประดู่
โฆษณา