1 มิ.ย. 2022 เวลา 16:43 • ความคิดเห็น
กว่าจะรู้ซึ้งถึงคุณค่าของบางเรื่องราว
อาจต้องใช้เวลาและผ่านประสบการณ์อีกนานเนิ่น...
ครั้งหนึ่งนานมา ซาโจ้แห่งบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นเชิญไปทานข้าวที่บ้าน หลังจากใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆในการเดินตามดูงานโรงงานต่างๆในพื้นที่และมานั่งสรุปคุยกันสองคนใต้ต้นไม้ กับเอกสารสองแผ่น และดินสอสองแท่ง ง่ายๆแค่นั้น...
ซาโจ้ท่านนี้เป็นคนยิ้มแย้ม ดูใจดี แต่จะเงียบๆหน่อย เคยมาดูงานบริษัทในไทยราวสองสัปดาห์ ซึ่งก็ได้คุยนิดหน่อย ผู้บริหารคนญี่ปุ่นในไทยบอกว่า อยู่ที่โน่น เขาใหญ่มากนะ ก็ได้แค่ฟังผ่านไป...
บัดดี้หนุ่มญึ่ปุ่นผู้ต้องดูแลสาวไทยล่ำๆตลอดเวลาที่อยู่ที่โน่น เป็นคนพาขึ้นรถไฟออกนอกเมือง ซาโจ้ขึ้นรถไฟมาทำงานทุกวัน
เมื่อบัดดี้หนุ่มผู้เป็นว่าที่ระดับบริหารของส่วนงานหนึ่งในญี่ปุ่น ผู้ทำงานที่บริษัทนี้มาสิบกว่าปี มีท่าทางคล้ายจะหลง จึงถามได้ความว่า เขาเองก็ไม่เคยไป และเท่าที่รู้ก็ยังไม่มีใครเคยไป...
สุดท้ายก็ไปถึงบ้าน นั่นค่ำแล้ว มองเข้าไปในบ้าน น่าจะ 80-90 ตร.วา
นึกในใจ... บ้านระดับซาโจ้ของบริษัทใหญ่ในญี่ปุ่น พื้นที่น้อยกว่าบ้านจัดสรรแพงๆในไทยยุคนั้นอีก เขาคงอยู่พอเพียงมั้ง
มองไปบ้านอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเล็กกว่า ถามบัดดี้หนุ่ม ก็ตอบว่า นี่ใหญ่มากเลยนะ..
ซาโจ้ยิ้มแย้มต้อนรับ ภรรยาเขายิ้มแย้มเช่นกัน ยกอาหารและเครื่องดื่มมาวางเต็มโต๊ะให้ด้วยตัวเอง เรานั่งกันบนเบาะที่วางบนเสื่อทาทามิเนื้อดี
ตลอดเวลาที่นั่งทาน ภรรยาซาโจ้ในชุดยูกาตะลายสวยนั่งพับขายิ้มแย้มห่างออกไป ไม่ได้มาร่วมวงด้วย และคอยยกอาหารมาวางเติมบนโต๊ะให้ตลอด
ภรรยาซาโจ้ทำอาหารมื้อนี้ให้ด้วยตัวเองทุกอย่าง จากที่ปกติจะมีแม่บ้านทำให้บ้าง มิน่า อร่อยล้ำและรับรู้ได้ถึงกระแสความยินดีในรอยยิ้มนั้น
บัดดี้หนุ่มของเรา นั่งตัวลีบและลีบและลีบปิ๋ว จนนึกในใจว่า อะไรจะลีบปานนั้น กินก็ไม่ค่อยกิน ดื่มก็ไม่ค่อยดื่ม ต่างจากสาวไทยที่คีบเอาๆ ก็อร่อยนิและหิวด้วย
คุยกันเรื่องทั่วๆไป ว่างๆไปไหน ทำอะไร ชอบอะไร ยิ้มแย้ม หัวเราะอุ่นๆกันทั้งซาโจ้ ภรรยา และแขกคนไทย ขณะที่คุณบัดดี้หนุ่มผู้คอยเป็นล่ามให้เป็นระยะๆยังคงนั่งตัวลีบปิ๋ว
แล้วซาโจ้ก็บอกให้ภรรยาไปหยิบสิ่งของ 2 สิ่งมามอบให้...
หนึ่งคือกล้องส่อง และอีกหนึ่งคือจานเซรามิคฟรีฟอร์มเขียนลายใบไม้ ที่ซาโจ้ปั้น เขียนลาย และเผาเองกับมือใน workshop เล็กๆชั้นล่าง ก่อนขึ้นบ้าน ...
ทั้งสองสิ่งยังคงอยู่และใช้งานบ่อยครั้งถึงวันนี้
...... ...... ......
กว่าจะซึ้ง กว่าจะเข้าใจ ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นนับเป็นการให้เกียรติอย่างยิ่ง อย่างพิเศษ และอย่างลึกซึ้ง เวลาก็ผ่านเลยไปหลายปี จนจากกันแล้ว จนถึงวันที่โตพอที่จะเข้าใจความเป็นญี่ปุ่นมากขึ้น...
นับเป็นความประทับใจ และซึ้งใจทุกครั้งที่นึกถึงหรือเมื่อหยิบของสองสิ่งนี้ขึ้นมา
นึกเสียใจเบาๆที่ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกขอบคุณมากพอ คงเพราะคนไทยเรา ชวนเพื่อนหรือลูกน้องไปกินข้าวกันเป็นปกติ หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันเป็นปกติ
แต่เมื่อวัฒนธรรมต่างกัน คุณค่าในเรื่องเดียวกันก็ต่างกันไป...
ได้เรียนรู้ว่า เราไม่ควรตีความหรือประเมินคุณค่าใดๆจากเพียงประสบการณ์ของเรา วัฒนธรรมของเรา มุมมองของเรา เพราะโลกนี้กว้างใหญ่นัก...
กว่าจะรู้ซึ้งถึงคุณค่าของบางเรื่องราว
อาจต้องใช้เวลาและผ่านประสบการณ์อีกนานเนิ่น...
=บันทึกเมื่อนึกได้ ในยุคก่อนกูเกิล=
#ขอบคุณ
โฆษณา