10 มิ.ย. 2022 เวลา 21:16 • ปรัชญา
ปรัชญาการเดินทางของทากน้อย 🐌
เรื่องทั้งหมดที่จะเล่านี้ เป็นเรื่องจริง จากฉัน อลิส ผู้ซึ่งมีหลายบุคลิกในตัวเอง บางครั้งก็เป็น Extrovert และบางทีก็เป็น Introvert หลายครั้งฉันก็ไม่ได้เข้าใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ และจะทำอะไรต่อไป บางทีฉันก็ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ อย่างที่คนอื่นบอกว่าดี จะเรียกว่าใช้ชีวิตตามกระแสโลก ก็ไม่ผิดนัก แต่เจ้าทากน้อยกลับเปลี่ยนชีวิตฉันให้ออกจาก Comfort Zone และก้าวเข้าสู่โลกของนักเขียนได้
ทากน้อย - ภาพจาก Unsplash: ‘Slug’
“Slug” สิ่งมีชีวิตตัวน้อยสีน้ำตาล หน้าตาเหมือนหอยทากไร้เปลือก ตัวนิ่มมีเมือกน่ารังเกียจ ไม่มีใครสนใจ แต่ธรรมชาติของมันกลับสอนบทเรียนสำคัญอันยิ่งใหญ่ให้มนุษย์อย่างฉัน ได้เข้าใจในปรัชญาแห่งชีวิต เพียงแค่ฉันหยุดเดิน นั่งพิจารณาดูมันอย่างตั้งใจ จิตของฉันกลับก้าวข้ามความหวาดหวั่น จากการตัดสินใจเดินออกจาก Comfort Zone เข้าสู่โลกนักเขียน ซึ่งเป็นโลกใบใหม่ของฉัน ได้อย่างน่าอัศจรรย์
ช่วงเวลาว่าง โซเชียลมีเดีย คือ เพื่อน และเป็นโลกทั้งใบของฉัน
ฉันเสียเวลาหลายชั่วโมงในแต่ละวัน ไถฟีดมือถือไปเรื่อยไร้จุดมุ่งหมาย วันนี้มีข่าวอะไรบ้าง หรืออาจจะเพียงแค่อยากเห็นชีวิตเพื่อนๆ สมัยมัธยม และสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่เราไม่ได้คุยกันตั้งนานแล้ว
.
วันนี้เพื่อนอิ๊กไปเที่ยวเกาะเต่า วิวห้องพักระดับ Exclusiv มื้อนี้กินปูอลาสก้า
ภาพของแจงในชุดบิกินีที่ไม่เคยซ้ำ ยืนโพสท่าริมชายหาด อวดหุ่นสวยที่เธอเฝ้าเพียรปั้น จากการเต้นแอโรบิกวันเว้นวัน ที่บิ๊กซีหน้าบ้าน ตกค่ำก็ดินเนอร์ร้านอาหารริมเจ้าพระยา
หรือบางที ก็เป็นวิวสูงตึกไบหยกถือแก้วแชมเปญ ไหล่อีกข้างสะพายกระเป๋าแบรนด์เนม ที่ซื้อจากฝรั่งเศสมายี่ห้อไม่ซ้ำกัน
บางทีฉันอาจจะได้เห็นภาพแมวสีขาวของแป๋ว และลูกๆ ของมัน พร้อมแคปชั่นว่า วันนี้พวกมันนอนไปแล้วกี่ชั่วโมง
นอกจากนี้ฉันก็ยังต้องเช็คจำนวนยอดไลค์ ภาพผักคะน้าที่ปลูกมา 3 เดือนจากเมล็ด จนมันโตเต็มที่ ที่ฉันภูมิใจหนักหนา
คะน้าของฉัน
เพียงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ฉันเกิดคำถามวนๆ อยู่ในหัวว่า “นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่?” โลกโซเชียลมันกำลังกลืนกินเวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตไป วันละ 3 ชั่วโมง คิดเป็น 45 วันต่อปี ฉันช๊อคหลังจากที่กดเครื่องคิดเลข และเสียงในใจก็ดังก้องขึ้น
ฉันคนที่ 1: “เธออยากเป็นนักเขียนไม่ใช่เหรอ แล้วเธอมัวทำอะไรอยู่?”
และฉันอีกคนก็ตอบกลับมาทันทีว่า
ฉันคนที่ 2: “มันยาก เธอทำไม่ได้หรอก”
ฉันคนที่ 1: “ใช่สิมันยาก และเธอก็เอาเวลาว่างทั้งหมดไปส่องเฟสบุคชาวบ้าน”
ฉันคนที่ 2: “ถ้างั้น ฉันไปส่อง Blockdit แทนก็ได้ เผื่อจะมีไอเดียในการเริ่มเขียนสักที...”
.
วันนั้นฉันตัดสินใจเลิกส่องเฟสบุคเพื่อนๆ จนหลายวันผ่านไป กับหลายชั่วโมงในการไล่อ่านบทความปรัชญาที่ฉันสนใจ ที่โผล่ขึ้นมาในกูเกิล รวมถึงหนังสือ ยูทูป ที่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ และเริ่มลงมือเขียนบทความปรัชญา พร้อมหาอ้างอิงของนักปรัชญาต่างๆ เพื่อพยายามผูกเรื่องขึ้นมา แล้วฉันก็ค้นพบว่า ฉันลอกงานของคนอื่นมาแปะแบบไม่ได้เรื่องเลย !
.
ความท้อ เริ่มกลับมาทักทายฉันอีกครั้ง ฉันคงไร้ความสามารถที่จะเป็นนักเขียนได้ อ่านมาก็น้อย ไม่เคยสะสมทักษะในการเขียนมาก่อน แล้วนี่ควรจะทำยังไงต่อไปดี
การเขียนที่ว่างเปล่า - ภาพจาก Unsplash: ‘Writing’
ฉันกูเกิลอีกครั้ง “การเริ่มต้นเขียนบทความ” “จะเป็นนักเขียนที่ดีต้องทำยังไง” และทุกคนก็บอกเหมือนกันหมดว่า “ต้องลงมือเขียน” แต่นั่นก็ยังไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก
.
เมื่อคิดจนเหนื่อย ไม่มีสิ่งใดที่จะบอกว่า ฉันจะสามารถเป็นนักเขียนได้อย่างที่ตั้งใจเลย จึงปล่อยวางจากทุกอย่าง และไปนั่งสมาธิ เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่ฉันคิดออก เวลาที่ฉันคิดอะไรไม่ออก
.
ก่อนนอนคืนนั้นฉันก็เจอบทความที่เขียนโดยผู้หญิงธรรมดาๆ คนนึง ที่เล่าเรื่องการเดินทางรอบบริเวณบ้านของเธอ และก็บรรยายมันด้วยภาษาที่เรียบง่าย สวยงาม เล่าเรื่องห้วงเวลาแห่งความสุข สงบ ปรัชญาแห่งชีวิตของเธอ ในแบบที่ทำให้ฉันทึ่ง ทำไมเธอถึงสามารถจดจำรายละเอียดที่สวยงามที่เห็นตรงหน้าและผูกเรื่องราวความทรงจำอันเต็มเปี่ยม ให้ผู้อ่านเหมือนเดินคิดและคุยกับเธอตามเสียงหนังสือที่เธอเล่าได้
“ความเรียบง่าย, เรื่องใกล้ตัว, ธรรมชาติ และความสุขสงบ”
“ความเรียบง่าย, เรื่องใกล้ตัว, ธรรมชาติ และความสุขสงบ” ใช่ และมันคือสิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้เหมือนๆ กัน
.
แต่แล้วฉันก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อฉันเดินเข้าไปในห้องสมุดบันทึกแห่งความทรงจำของตัวเอง พุ่งตรงไปที่ชั้น cerebrum แห่งความประทับใจ ความสุขใจ และความสวยงามในอดีตที่เก็บสะสมจากประสาทสัมผัสทั้งห้า ฉันกลับพบกับความว่างเปล่าตรงบริเวณนั้น! มันน่าเศร้ามาก ที่ฉันวิ่งวนในหัวของตัวเอง แต่หาภาพที่สวยงามในนั้นไม่เจอเลย!
.
ฉันนั่งหมดแรง และเกือบจะร้องไห้ออกมา เพราะภาพที่ขึ้นมาแทนที่ เต็มไปด้วยความทรงจำในวัยเด็กอันแสนเศร้า เสียงของแม่ที่ดังก้องว่า พ่อชาวเยอรมันของฉัน จับฉันยื่นออกไปนอกหน้าต่าง พร้อมเอาปืนจ่อฉันเอาไว้ เลยเป็นสาเหตุให้แม่หอบฉันหนี และพ่อก็หายตัวไป พร้อมกับข่าวที่คนมาบอกว่า พ่อโดนคู่อริฆ่าตาย ฉันจำหน้าพ่อไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น เกิดขณะที่ฉันแค่ 4 ขวบ
.
นี่เป็นเพียงหนึ่งในอีกหลายร้อยเรื่องราวที่ทยอยเรียงกันฉายมาให้ฉันเห็น และมีเพียงฉันคนเดียวที่เห็น ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่อย่างที่ฉันค้นหาในเซลล์สมอง แต่ไม่ว่าจะกดคำค้นหาย้อนไปปีไหน ก็เจอแต่เรื่องคล้ายๆ กัน จนคิดว่า นอนเถอะ ฉันคงไม่สามารถเป็นนักเขียนที่ดีได้แล้วล่ะ เพราะฉันไม่มีสิ่งดีๆ ในใจหลงเหลือพอที่จะเอาไปเล่าให้ใครฟังได้เลย
.
คืนนั้น ฉันหลับไปด้วยความเสียใจ และตื่นขึ้นมาด้วยความว่างเปล่า วันนี้ ฉันไม่รู้จะทำอะไรต่อไป และอีกเช่นเคย ฉันก็ไปนั่งสมาธิ ก่อนนั่ง ได้ฟังพระเทศน์ว่า “คำพูดที่ดี จะทำให้เรามีอารมณ์ดี” ฉันเก็บสิ่งนี้ไว้ในใจ
หลังนั่งสมาธิเสร็จ ในหัวฉันว่างเปล่า และไร้ซึ่งจุดหมายใดๆ ฉันเลือกออกไปเดินเล่นรอบบริเวณบ้าน หลังจากฝนตกใหม่ๆ
และด้วยความบังเอิญ ฉันก็ได้พบกับเจ้าทาก Slug ตัวน้อยสีน้ำตาล ไม่มีเปลือกแข็งบนหลัง มันกำลังนอนกลางถนนหินกรวด และขวางทางเดินของฉันอยู่ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันก็คงเดินก้าวข้ามมันไป และห่วงแค่ว่าจะไม่เหยียบมันเข้า แต่แปลกที่วันนี้ ฉันกลับหยุด นั่งดูมันค่อยๆ คืบไปทีละ 1 มิลลิเมตร พร้อมกับหนวด 2 เส้น หรืออาจจะเป็นตาของมันที่คล้ายหนวด ยื่นเหยียดยาวมาที่ฉัน มันคงสงสัยว่านี่คือตัวอะไร
เจ้าทากน้อยของฉัน
และในระยะเวลาสั้นๆ นั้น เราก็กลายเป็นเพื่อนกัน
.
แม่ของเจ้าทาก “Slug” ได้วางไข่ตรงลำธารข้างๆ ทิ้งเอาไว้เมื่อหลายวันก่อน หรืออาจจะหลายเดือนมาแล้ว และในวันที่ทากน้อยรวมถึงพี่น้องเกิดลืมตาดูโลก แม่ของมันก็หายไปแล้ว ปล่อยให้เจ้าทากน้อยและพี่น้อง เผชิญชีวิตแต่เพียงลำพัง ในโลกใบใหม่ที่พวกมันไม่เคยรู้จักมาก่อน
.
สิ่งที่มันรู้แต่เพียงอย่างเดียวคือ เดินข้ามถนนหินอันแหลมคมและขรุขระนี้ เพื่อไปอีกฝั่งของถนนที่เต็มไปด้วยใบไม้ ต้นหญ้าสีเขียวๆ สัญชาตญานแห่งการเอาตัวรอด คงอธิบายบอกมันอย่างนี้
เจ้าทากน้อย Slug ขี้สงสัย - ภาพจาก Unsplash: ‘Slug’
บางจังหวะที่ฉันก้มต่ำลงดูมันใกล้ๆ มันยื่นหนวดสองเส้นมาที่ฉัน และก็หันหลังไป เพื่อดูว่าทางที่มันเดินมานั้น ไกลแค่ไหนแล้ว แต่แม้ว่า ฉันจะเป็นยักษ์ที่ตัวใหญ่ขนาดไหน นั่นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ามันควรเดินหันหลังกลับไปยังทางที่เพิ่งเดินจากมา
.
เจ้าทากสีน้ำตาลยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไปยังฝั่งที่เต็มไปด้วยหญ้า ด้วยความมุ่งมั่น แม้ว่า มันอาจจะใช้เวลาหมดไป 1 วันเต็มๆ กว่าที่จะเดินไกลได้เพียงแค่ 3 เมตร ก็ตามที เวลาคงไม่ใช่ข้อจำกัดของเจ้าทาก ก็เป็นได้
.
เจ้าทากน้อย มันไม่รู้ตัวเลย ว่ามันได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังหมดหวัง
.
ฉันตัดสินใจลุกขึ้น และก้าวข้ามเจ้าทาก เพื่อออกเดินต่อไป ในเส้นทางสายเดิมทุกวัน แต่แปลก ที่นับตั้งแต่วินาทีนี้ มุมมองในสองข้างทางที่ฉันเห็น กลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
รวงข้าว Meizen สีเขียว กับดอก Mohn สีแดง
ฉันหยุดพิจารณามองดูดอกไม้ต่างๆ นานาชนิด ฉันหยุดดูดอกของต้นข้าว Meizen ที่กำลังตั้งรวง ฉันเห็นผึ้ง กำลังดอมดมดอกไม้ พระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน เส้นโค้งของถนน สีของพืชพันธุ์หลากสี ที่เป็นเหมือนศิลปะบนภาพวาดของจิตกรเอก
.
ทางเดินทอดยาวอันสวยงามของศิลปินเอก
ฉันดื่มด่ำ กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่สนใจว่า เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน จะได้อะไรหลังจากนี้ นอกจาก “ความเรียบง่าย, เรื่องใกล้ตัว, ธรรมชาติ และความสุข” ในขณะปัจจุบัน นี่คือ Present หรือของขวัญที่ฉันกำลังได้รับ จากการเปิดใจให้กับเจ้าทาก Slug และเรียนรู้จากความที่ “ไม่รู้อะไรเลย” และ “เป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน” ของมัน
.
ซึ่งไม่มีอะไรมาขวางได้ แม้แต่ยักษ์ตัวใหญ่ ที่เหยียบมันแบนได้ในคราวเดียวอย่างฉัน หรือก้อนกรวดแข็งแหลมทิ่มแทงผิวบนถนนที่มันกำลังคืบข้าม จนกว่าจะถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และชัดเจน ซึ่งก็คือทุ่งหญ้าเขียวแห่งชีวิต และการดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์
ฟ้าครึ้ม ฝนกำลังจะตกอีกแล้ว
บทเรียนที่ได้จากทากน้อย Slug ทำให้ฉันออกก้าวเดินต่อแม้ว่าจะต้องเจอกับอะไร อีกสักแค่ไหน ความเชื่องช้าในการเดินทางของทาก อาจเปรียบได้กับเส้นทางแห่งการเป็นนักเขียน เป้าหมายของการเป็นนักเขียน ก็คงไม่ต่างจากหญ้าเขียวขจีอีกฝั่งถนน ความสวยงามแห่งเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ควรค่ามากพอ กับความอดทนต่อความเจ็บปวด
.
ขอบคุณนะเจ้าทากน้อยสีน้ำตาลเพื่อนใหม่ของฉัน ที่สอนฉันให้ก้าวเดินต่อไปแม้หนทางจะอีกยาวไกล หรือใช้เวลาอีกนานแค่ไหนก็ตาม
.
Alice in Wonderland
โฆษณา