12 มิ.ย. 2022 เวลา 02:15 • ธุรกิจ
สนับสนุน พรบ. สุราก้าวหน้า
เหตุผลง่ายๆ ผมอยากเห็นคนไทยทุกคนมีโอกาสเริ่มต้นธุรกิจเครื่องดื่มแอลกฮอล์อย่างเท่าเทียมกัน และไม่ต้องไปตั้งโรงงานในประเทศเพื่อนบ้าน แล้วก็ต้องเสียค่าชิปปิ้งส่งกลับเข้ามาขายในไทย แล้วก็กลายเป็นว่าคนไทยที่อยากดื่มเบียร์ฝีมือคนไทย ต้องจ่ายแพงกว่าเดิมและในราคาที่ต้องจ่ายกลับมีภาษีนำเข้าอีกด้วย
ส่วนสาเหตุที่เบียร์สัญชาติไทยต้องระเห็จไปตั้งโรงงานในต่างประเทศนั้น ก็อันเนื่องมาจากกระบวนการขออนุญาตผลิตนั่นเอง โดยนอกจากผู้ผลิตต้องขออนุญาตจากกรมสรรพสามิตแล้ว ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดอยู่ใน “กฎกระทรวง การอนุญาตผลิตสุรา พ.ศ. 2560” ซึ่งออกตามความในมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยคุณสมบัติผู้ขออนุญาตที่สำคัญและเป็นอภิมหาอุปสรรคก็มีดังต่อไปนี้
กฎกระทรวงข้อ 2 (1) (ก) กำหนดว่าผู้ขออนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ ต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาท
คำถามคือ พวกปลาเล็กจะหาที่ไหนมาจด?
กำลังการผลิตที่ถูกกฎหมาย รายย่อยจะทำได้อย่างไร?
กำลังผลิตขั้นต่ำ
3. กฎกระทรวงข้อ 4 (1) กำหนดกำลังผลิตขั้นต่ำของบรูว์ผับหนึ่งแสนลิตรต่อปี และสิบล้านลิตรต่อปีสำหรับโรงงานผลิตเบียร์
คำถามคือ ต้องลงทุนสิ่งปลูกสร้าง, วัสดุอุปกรณ์และทรัพยากรบุคคลมากมายขนาดไหนกับการผลิตเป็นจำนวนมากขนาดนั้น และต่อให้หาทุนได้ การตลาดและการสร้างแบรนด์ในเวลาอันสั้นเพื่อขายสินค้าให้หมดจะทำได้อย่างไร
รวมๆแล้ว ตีความได้ว่าเป็นกฎหมายที่ร่างมาเพื่อให้คนที่มีความฝันยอมแพ้และเลิกฝันนั่นแหละครับ แล้วก็ส่งผลให้มูลค่าในตลาดของประเทศไทยกว่า 2 แสนล้านบาทมีผู้เล่นอยู่เพียง 10 ราย ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นมีผู้เล่นกว่า 5 หมื่นรายในมูลค่าเท่ากัน
แล้วแบบนี้…มันแฟร์ตรงไหน?
แต่ถ้าเปิดให้ผลิตเสรี มันก็มีคำถามที่เราจะตอบให้
ผลิตเสรี แล้วคุณภาพล่ะ?
หากกลัวว่าคุณภาพจะแย่ ไม่ได้มาตรฐานความสะอาด สุขอนามัย การทลายกำแพงกฎหมายนี้ แล้วนำเอาผู้ผลิตเข้าสู่ระบบ สินค้าของพวกเขาก็จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบคุณภาพตามระบบเดิมเหมือนแบรนด์อื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาด แทนที่จะปล่อยให้แอบๆทำกันซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็น่ากังวลถึงเรื่องคุณภาพมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
ต้มดื่มกันเองได้ เดี๋ยวก็เมากันยกใหญ่ทุกบ้านมั้ย?
การต้มเบียร์หรือสุราไม่ได้ทำกันง่ายๆโดยไม่มีความรู้หรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมได้ และที่สำคัญยังใช้ทั้งเวลาและทุนไม่น้อย จนคนที่คิดจะทำดื่มเองแต่ไม่จริงจังหันไปซื้อดื่มเอาจะง่ายกว่า ไม่ต่างจากคนที่เลือกซื้ออาหารปรุงสำเร็จมารับประทานมากกว่าซื้อของสดมาลงมือปรุงเอง
การส่งเสริมให้ของมึนเมากลายเป็นสินค้าที่ผลิตได้อย่างแพร่หลายเป็นสิ่งที่ดีเหรอ?
ความชอบและความบันเทิงยามว่างหรือการพักผ่อนของคนเราแตกต่างกัน และเราไม่อาจตัดสินได้ว่าคนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นคนไม่ดีทุกคน และหากมีการตั้งธงว่าไม่ควรส่งเสริมให้ผลิต ทุกแบรนด์ที่มีอยู่ในเวลานี้ก็ต้องหยุดผลิตและหยุดขายเช่นกัน
ทำแล้วได้อะไร?
ซอฟท์พาวเวอร์ที่พูดถึงกันไง นี่ไงครับ! หนทางสว่างมาแล้ว ลำไยที่เคยล้นตลาดจะมีผู้ผลิตจำนวนมากรอช้อนซื้อ ผลไม้และสินค้าการเกษตรอันเลื่องชื่อของแต่ละท้องถิ่นจะถูกหยิบมารังสรรค์เป็นเครื่องดื่มที่โชว์ถึงอัตลักษณ์ของแต่ละท้องที่ ภาคการเกษตรมีแหล่งส่งวัตถุดิบได้ลืมตาอ้าปาก ต่อยอดไม่ยากเกินไปก็ปลูกเองทำเองเป็นฟาร์มเหมือนไวน์ในฝรั่งเศสหรือเพนโฟลด์(ออสเตรเลีย)
ไหนจะชาวนาที่จะได้ไม่ต้องขายข้าวเพื่อเอาไปสีหรือหุงอย่างเดียวอีกต่อไป และอาจได้เพิ่มจำนวนชาวนาข้าวบาร์เลย์ ที่ปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังผลิตเพียง 17,300 ตันต่อปีเท่านั้นอีกด้วย
เกิดการจ้างงาน ลดแรงงานข้ามถิ่น
สมมติว่าร่างนี้ผ่านวาระสาม โรงเบียร์เกาะเกร็ดก่อตั้งขึ้น จะมีพนักงานจำนวนหนึ่งซึ่งไม่ต้องข้ามเรือไปทำงานในเมือง สามารถสร้างอาชีพให้คนในท้องถิ่นได้ไม่ต่างจากอุตสาหกรรมอื่นๆ
เพิ่มสตอรี่ให้แหล่งท่องเที่ยว + สร้างอีเวนท์ดึงดูดทั้งผู้คนและผู้จัด
เมืองรองที่บ่นๆกันว่าเป็นแค่ทางผ่าน สวยงามแค่ไหนคนก็ได้แค่ผ่านไปจังหวัดอื่น เช่น ชุมพรอาจจะมีเบียร์ลางสาด, ไวน์สับปะรดสวี ที่ดึงดูดใจผู้คนให้ไปลิ้มลองไม่ต่างจากเหล้าอาวาโมริในโอกินาว่า (ที่ใช้ข้าวไทยผลิตเสียด้วย)
และหากมีการรวมตัวกันของวิสาหกิจชุมชน จัดงานโชว์สินค้า, ออกบูธแบรนด์ท้องถิ่นพร้อมอาหารเลื่องชื่อ เศรษฐกิจก็ได้ขับเคลื่อน ทีนี้ใครได้ ผู้จัดอีเวนท์ได้งาน, ผู้จัดคอนเสิร์ตได้เงินได้ขายศิลปิน, ธุรกิจที่พักและการเดินทางของท้องถิ่นได้เม็ดเงินพร้อมพีอาร์จังหวัด และเครดิตก็จะย้อนกลับไปที่ไหน ถ้าไม่ใช่ผู้บริหารตั้งแต่ระดับการเมืองท้องถิ่นไปจนถึงระดับประเทศ
วาระสองและสาม ก็ได้โปรดพิจารณาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนด้วยนะครับ
#สุราก้าวหน้า
โฆษณา