19 มิ.ย. 2022 เวลา 15:33 • ท่องเที่ยว
ทะเลสาบคะวะงุชิ

UNPLANNED “JAPAN”…ดินแดนในฝัน วันที่ “ฟูจิซัง”มา SAY HI!

🇯🇵 UNPLANNED “JAPAN”…ดินแดนในฝัน วันที่ “ฟูจิซัง”มา SAY HI! (บันทึกการเดินทางของฉันเอง เมื่อ มีนาคม 2016)
Arigato ! Japan ! ….
หลงรักญี่ปุ่นจัง ขอบคุณมากนะ
อ่านก่อนอ่าน: รีวิวนี้มีรูปเยอะมาก ควรใจเย็น
อีกทั้งมีข้อมูลที่เป็นสาระและไร้สาระ ได้โปรดอย่าถือสา
ถ้าอ่านแล้วชอบแล้วคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ รบกวนกด share กันได้เลยน้า
🎄 MY TRAVEL ITINERARY 🎄
Day 1: Don Mueang, Bangkok, Thailand > Narita, Chiba, Japan เข้า Tokyo พักที่ Shinjuku Kuyakusho-Mae Capsule Hotel
Day 2: Hakone, Kanagawa + Kawaguchiko, Yamanashi พักที่ Komaya Ryokan, Kawaguchiko
Day 3: Tokyo พักที่ Asakusa D-Bill
Day 4: Around Tokyo (Asakusa + Shibuya) พักที่ Asakusa (เหมือนวันที่ 3)
Day 5: Narita, Chiba พักที่ Narita U-City Hotel
Day 6: Narita Airport, Japan > Don Mueang, Bangkok, Thailand
การเดินทางครั้งนี้เป็นการวางแผนมาแรมปี
จองตั๋วโปรกับ AirAsia X ไว้ตั้งแต่มกราคม ปี 2558
1 ปีเต็มๆกับการเตรียมตัววางแผนทริปญี่ปุ่นครั้งแรกนี้
แต่ทว่า…มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นน่ะซี่เธอ !
เรียกได้ว่าเป็นทริปที่ฉุกละหุกที่สุดในชีวิตเลย
ไหนจะต้องเดินทางไกล ไม่ใช่แค่ในไทย เรายังชะล่าใจได้อีก
หลายๆอย่างช่วงนั้นก็รุมเร้าเหลือเกิน รวมถึงเพื่อนร่วมทริปของเราด้วย
ทริปนี้ไปกันสองคน ตอนแรกแพลนกันดิบดี
แต่ไหงมันกลายเป็น unplanned ไปซะหมดเลย 555+
เราเพิ่งมาจัดกระเป๋าไม่กี่วันที่จะออกเดินทาง ทุกทีจะตระเตรียมไว้ก่อนอย่างดี
แต่นี่ เจออะไรพอกันหนาวได้ก็ยัดๆๆๆ ซื้ออุปกรณ์ เครื่องแต่งกายใหม่เพราะอันเก่าหาไม่เจอก็มี
คือ…แกรจะขึ้นเครื่องแล้ว ของในกระเป๋ามันยังไม่เสถียรเลยย คือระ !!!???
,,,แต่ถึงยังงั้นก็ตาม ถ้าไม่ได้เจ้ เพื่อนร่วมทริปช่วยดึงสติกลับมานะ ป่านนี้หลงเป็นคนบ้าอยู่แถวโตเกียวแล้ว
เรื่องค่าใช้จ่าย เดี๋ยวสรุปให้ฟังด้านล่างเลยแล้วกันเนอะ ^^
………………………………………………………………….
ช่วงแรกที่มีแพลน เราจะบอกคร่าวๆว่าเราจะไปไหนกันบ้าง
เจ้ recommend เลยว่ายังไงแกก็ต้องไปดูฟูจิซังให้ได้ ตอนแรกอิชั้นไม่ค่อยเท่าไรอ่ะนะ
ส่วนเราก็อยากไป Ghibli Museum กรี๊ดจริงกับอะนิเมะค่ายนี้
เจ้บอก แกๆ ไปนิกโกะกันมั้ย ไอ่เราก็งง นิกโกะคืออัลไล
ไปเปิดอากู๋มาก็อ๋ออออ แต่ว่านะเจ้ มันจะเหนื่อยไปไหมว๊า
หลังจากนั้นก็มีโคตรแพลนมหาแพลนตามมาอีกเยอะแยะไปหมด
แต่สุดท้ายถูกตัดๆๆๆไป จึงเหลืออย่างที่จะได้เจอในรีวิวนี่แล 555+
👌 เช็คแผนที่ คิดให้ดีว่าจะไปไหน 👍
เวลาเราจะไปไหน จะชอบติดดูแผนที่ของที่จะไปให้ดีก่อน อย่างน้อยมันก็ช่วยเราได้ระดับนึง
(พูดไปงั้น แต่เอาเข้าจริง ทริปนี้ไม่ได้เตรียมดูอะไรเลยยยย)
ก่อนอื่นมารู้จักญี่ปุ่นกันสักนิด
ญี่ปุ่นเป็นเกาะ แบ่งเป็น 8 ภูมิภาค 47 จังหวัด
การเดินทางของเราในทริปนี้ จะเป็นตามนี้
ทริปนี้ถึงแม้จะไปไม่เยอะมาก แต่อย่างน้อยก็ได้มาเที่ยวตั้ง 4 จังหวัดของญี่ปุ่นเชียวนะ ตั้งแต่
💠จังหวัดชิบะ (Chiba) ที่มีเมืองนาริตะ (Narita) ที่ตั้งของสนามบินนาริตะ
💠จังหวัดโตเกียว (Tokyo) มหานครหลวงของญี่ปุ่น ได้มานอนที่นี่ตั้ง 3 คืน เขตที่ไปคือ Shinjuku, Asakusa และ Shibuya
💠จังหวัดคานางาวะ (Kanagawa) ที่เราไปฮาโกเน่ (Hakone) กันนั่นเอง
💠จังหวัดยามานาชิ (Yamanashi) ได้ไปเยือนเมืองริมทะเลสาบทั้ง 5 อย่างคาวากุชิโกะ (Kawaguchiko)
สำหรับเรื่องตั๋วเครื่องบิน ช่วงนั้น (มกราคมปี 2558) AirAsiaX มีโปรแรงออกมา
เราและเจ้ได้ตั๋วในราคาไปกลับคนละ 10,203.-
ซึ่งก็ถูกมากในช่วงนั้น แต่ความที่ราคาสวยอาจแลกมากับเวลาไม่สวย
=============================================
💖💖 Day 1 {06 March 2016}: The Beginning of Rain
✔Bangkok – Narita >> Shinjuku, Tokyo
ตื่นแต่เช้ารีบไปสนามบินดอนเมืองเพื่อ check-in เตรียมขึ้นเครื่องตามปกติ
โดยผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศก็จะอยู่ Terminal 1
พอจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อย โหลดกระเป๋า
(ของเรามันเกิน 7 kg. เจ้ก็เลยจัดการถ่ายเทกันใหญ่จนเอาขึ้นเครื่องได้ละ เย้ ไม่เสียตังเพิ่ม)
ต้องทานข้าวกันหน่อย แล้วคือเราไม่อยากเสียเงินเยอะกับข้าวจานละหลายร้อยบาท เลยลองเสนอเจ้ไปว่า เคยอ่านในกระทู้พันทิปว่า
ยังมีร้านอาหารที่ถูกและดี ยังมีในดอนเมืองนะแจ๊ะ เลยจัดกันเลย
โดยสอบถามทางจากเจ้าหน้าที่หรือแม่บ้านที่น่าจะรู้แน่ๆ ไปเรื่อยๆ
และแล้ว จากการลากกระเป๋าใบใหญ่บวกอากาศร้อน (เพราะข้าพเจ้าเล่นใส่เสื้อไหมพรมตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องเลยค่ะ)
พอมาถึงเท่านั้นแหละ ถอดเสื้อเลยค่ะ !!
แล้วก็ลองสั่งข้าวมันไก่มากินจานหนึ่ง ราคาประมาณ 35-40 บาทนี่แหละ
บวกน้ำนมเย็นอีกแก้วใหญ่ ฟินได้อีก
หลังจากอิ่มท้องเรียบร้อย มีเวลาอีกประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็เตรียมไปรอหน้าเกท
แล้วคือไม่ได้ถูกส่งออกนอกประเทศมานานมากแล้ว เลยลืม ว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง
ต้องไปเขียนอะไร กรอกอะไร ตม.จะทำอะไร นี่คือแกเบลอมากกก ดี๊ ที่เจ้ลากไป ไม่งั้นก็ง่าวอยู่นั่นละ -_-“
ตัดจบมาที่ตอนมาที่เกทแล้ว Everything จิงกะเบล is OK…ก็เอาล่ะ เตรียมขึ้นเครื่องกันนน
………………………
“ตื่่นเต้นมั้ย”
“ตื่นเต้นมากกกก” …. นี่คือถามเอง ตอบเอง ก็มันไม่มีใครมาถามนี่หว่าาา
จริงๆชอบนั่งเครื่องบินอยู่แล้ว แต่ไม่ได้นั่งนานๆมาตั้งแต่ทริปเกาหลีเมื่อ 4 ปีก่อนปู้น
ตื่นเต้นสิ จะเจออะไรนะ จะเป็นยังไงนะ
เชื่อไหมว่าตั้งแต่นั่งเครื่องบินมา ไม่เคยเข้าห้องน้ำบนเครื่องเลย
คราวนี้แหละได้เข้าสมใจละ เฮ้ยยย ชอบอ่ะ ดีกว่ารถไฟเยอะะะะะะะะะ
(สระ อะ อินฟินิตี้ไปเลย คือห้องน้ำรถไฟมันแย่มาก)
และโชคดีได้นั่ง window seat คือดีอ่ะ อิอิ
ขอบคุณวันฟ้าใสที่ทำให้ได้เห็นฟ้าสวย
รูปนี้เป็นแต่ละช่วงเวลาที่ถ่ายคนละช่วง บางช่วงก็ฟ้าสวย บางช่วงพอใกล้ถึงญี่ปุ่นก็หมอกเริ่มมา เมื่อกัปตันแจ้งว่าภูมิอากาศภาคพื้นคือมีฝนตก โหยย ใจแป้วเลยยย
เวลาผ่านไป 6 ชั่วโมง เป็นอะไรที่ใจตุ้มๆต่อมๆตลอดเว จะหลับก็หลับแต่แค่แป๊บเดียวก็ตื่น
เขียนไดอารี่ไปก็เขียนไม่จบเพราะใจมันไม่นิ่ง กลัวอะไรก็ไม่รู้ อีกอย่าง หิวด้วยแหละ
แต่ไม่ว่าคุณจะหิวขนาดไหน คุณก็ยอมรับมาม่าคัพถ้วยละ 80-90 บาทบนเครื่องไม่ได้เหมือนกันใช่มั้ยยยย
อยากจะกรี๊ดดดด คือตอนนั้นหิวมากกกกก ไม่ไหวแล้ว ไม่ได้สั่งอาหาร ขนมปังที่ยัดมาก็เจือกกินไปแล้ว เลยบอกเจ้
‘เจ้ๆ เรียกแอร์คนไหนก็ได้ให้หน่อย’
เจ้ก็ตกใจนึกว่าอะไร แต่พอรู้ว่าอยากได้มาม่าคัพถ้วยนึง เจ้แบบเสียดายตังแทนอิชั้นมากกก
ก็ใช่อ่ะดิ เคยมีที่ไหนกินมาม่าถ้วยละเหยียบร้อยแบบนี้มั้ยยยย คงกินบนฟ้าสินะ
นี่บินได้เลยเนี่ยย โฮกกกกกกกกกก
….จบการเวิ่นเว้อที่แสนแค้น
….จนเวลาผ่านไปเรื่อยๆ กัปตันบอกว่าใกล้จะแลนดิ้ง หัวใจก็ลิงโลด
แต่สักพัก กัปตันก็ประกาศอีกว่า
“ต้องขออภัยท่านผู้โดยสาร เนื่องจากเรามาถึงก่อนกำหนดเวลา จึงยังไม่มีที่จอด กรุณารอสักครู่”
………………………………เงิบ !
แบบนี้ก็มีด้วย กิกิ แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยก็มาถึงโดยสวัสดิภาพ
จะเร็วจะช้ายังไงก็ต้องไปกระจุกกันที่ ตม.อยู่ดี
……..พอพูดถึง ตม. ตม.คืออะไร …ใช่ ตุ่มโมะ เหมือนในเกมตกปลาสมัยคอมตั้งโต๊ะรึเปล่า ??
ไม่ใช่น่ะเธอ…เธอเล่นอะไรเนี่ย……ตม.ก็ตรวจคนเข้าเมืองไง !
ตม.ญี่ปุุ่นที่เรานึกภาพไว้ ไม่น่าจะใช่แบบนี้
แต่คนจะใช่ ยังไงก็ต้องใช่ (อะไรของกรูคะ)
คือเป๊ะ เป๊ะ เป๊ะ จริงๆ เอาซะเรากลัว กลัวอะไรไม่รู้
แต่ออร่าแห่งความ scan คนเข้าเมืองนี่มาแรงมากใน ตม.ยุ่นทุกผู้ทุกนาง
ทุกกระเบียดเล็บ ไม่ได้โหดอะไรเลยนะ แต่…ช้านกลัว
โหยยยยยย กว่าจะผ่านมาได้ เหงือกแตก ร้อนเลยยย ———-
ทีนี้ พอความตื่นเต้นหมดไป ความหิวก็มาจ่อทันที เห็น 7-11 แวบๆ
เขาเรียกว่า คอมบินิ เราก็รีบแจ้นไปดูเลย ตื่นเต้น แอร๊ยยย
เนื่องจากตอนอยู่ไทย ข้าพเจ้าเป็นอีกคนนึงที่ทำให้กิจการ 7-11 ยังคงมีอยู่ได้ เพราะเจอที่ไหน อินี่แวะทุกที่
เข้า 7-11 บ่อยกว่าเข้าห้องน้ำที่บ้านอีกมั้งเนี่ย ไหนๆก็มาแล้ว ต้องโดนค่ะต้องโดน
ของกินชุดแรกในญี่ปุ่น หยิบมามั่วๆ ดีงามทุกอัน เพราะซื้อกินทุกวันที่ได้เข้าคอมบินิไปยันวันกลับเลย
โดยเฉพาะนมเมจิ รสจืด อร่อยอ่ะ รสเจ้มจ้นมาก ซื้อกินบ่อยสุดละ
อิขนมกล่องแดงๆ มันคือไอติม โคตะระอร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
พออิ่มท้องก็ได้เวลาไปที่พักแล้ว ตอนนั้นก็สองทุ่มนิดๆแล้ว เหนื่อนมากอยากนอน
เลยเดินไปซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมือง โดยตั๋วพวกนี้ถ้าศึกษามาก่อนจะดีมาก
แต่ความที่อิชั้นไม่รู้เรื่องเลย เจ้จัดการเองหมด 555+
พอจบทริปถึงได้มาเข้าใจว่า เอ ชั้นซื้ออะไรไปนะ -_-“
อ่ะๆๆ นี่ก่อนเลย บัตรแรกที่จะนำเราเข้าสู่ตัวเมืองโตเกียวก็คือ บัตรรถไฟ JR สีฟ้าๆด้านซ้าย
เราขึ้นแบบ Narita Express หรือชาวบ้านเขาเรียกกันว่า N’EX เป็นรถไฟด่วนพิเศษ
เราตั้งใจจะลง Shinjuku ก็คำนวณไป
โดยจากนาริตะ มาชินจูกุก็อยู่ที่ประมาณ 3,190 Yen
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษๆ เร็วดีนะ
ส่วนบัตรข้างๆก็คือ Tokyo Subway Ticket เราซื้อแบบ 3 วันเอาไว้ใช้เดินทางในโตเกียว
(ในรูปมันสีเหลืองๆ แต่ของจริงมันสีเขียวหม่นนะ)
คือเรากับเจ้เรียกบัตรนี้ว่า ‘บัตรเบ่ง’ เพราะจะขึ้นลงสถานีไหนก็ผ่านหมด
แต่ต้องขึ้นให้ถูกนะ เคยลองแล้วหน้าแตก ดันไปเสียบผิดสถานี
ดันไปเสียบของรถไฟ JR ซึ่งมันใช้ไม่ได้ บัตรนี้ใช้ได้แต่กับสาย Toei Subway
และ Tokyo Metro เท่านั้น แค่นี้ก็ครอบคลุมแล้ว
สนนราคาบัตร 3 วันก็ 1,500 Yen ซึ่งเอาจริงๆนะ มันประหยัดกว่าซื้อแยกเป็นที่สุด
เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าสถานที่ที่เราจะไป
เราจะต้องมุดดินแล้วมุดดินอีกกี่สถานีถึงจะถึง มีไว้ติดตัวอุ่นใจ ตังในกระเป๋าไม่แฟบนะจ้ะ
พอขึ้นรถไฟ ก็ได้เวลาเข้ายาน…ยานอะไร….ยานอวกาศ เอ๊ยย
ญาณทิพย์ เอ๊ยยย …ช่างมันเถ๊อะะะ
นั่งๆชิลๆ มองอะไรไม่เห็นเพราะมืดไปชั่วโมงเศษๆ
พอมาถึงตัวเมืองที่รถไฟแล่นผ่านแสงสีในเมืองใหญ่เท่านั้นแหละ
อุ๊ยยยยยย ตื่นเต้ลลลลลลลลล
และแล้ว เวลาแห่งความจริงก็เกิดขึ้นหลังจากนี้
เมื่อได้ก้าวเท้ามาบนสถานีรถไฟชินจูกุ (Shinjuku Station)
…..เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นมดไหม ถ้าไม่เคย มาที่นี่ จะเคยทันที
โอ้ว คุณพระ เราและเจ้ใช้เวลาในการหาทางออกจากเขาวงกตชินจูกุนี่ประมาณ 20 นาที
ลากกระเป๋าไปกัน ผู้หญิงตัวเล็กๆ (แต่ตัน) สองคนผู้น่าสงสาร
พลัดถิ่นหลงฝูงมาไกลเพื่อมาเจอกับอัลไลฟระเนี่ยยยยยยย
นาทีนั้นเราโวยมาก เอากุออกไปจากตรงนี้ที ใครก็ด้ายยยยยยยย
แต่…ด้วยปฏิภาณไหวพริบอันดีงามของเจ้ และสติสัมปชัญญะของเจ้
ก็นำพาเราออกมาจาก Shinjuku Wonderland แดนปลาดิบนี่ได้
…..ใช่ว่าจะหนีพ้น พรุ่งนี้มางงกันใหม่เหอะ
แต่พอขึ้นมาเห็นเมือง รู้สึกตัวเล็กลงไปเลยเมื่อมองเห็นชินจูกุเต็มตา
นี่ฝนตกและหนาว แต่หาได้ทำอะไรหนุ่มสาวชาวยุ่นได้ค่ะ
คือนี่ไม่นงไม่นอนอะไรกันเลยป้ะ ความเงียบคืออะไรไม่มีในพจนานุกรมของเมืองนี้
หลังจากนั้น เราและเจ้ก็งมหาที่พักกันต่อ ซึ่งมันไม่เคยง่ายเลยคุณขา หายากซัสสสส
วนไปวนมากะจะนอนข้างถนนกันแล้ว (ไม่ค่อยมายด์ เพราะบ้านเมืองเค้าโคตะระสะอาด)
แต่ด้วยท้ายที่สุด จากความฉลาดของเจ้อีกครั้งที่ทำให้เราปลอดภัยไม่ต้องนอนแข็งตาย ก็เจอกันจนได้ แฮ่ !
ที่พักที่เราจองคือ: “SHINJUKU KUYAKUSHO-MAE CAPSULE HOTEL”
เราจองผ่าน Agoda ในราคาย่อมเยา เราจองเป็น female dorm หญิงล้วน
ขอเล่าลักษณะที่พักที่นี่หน่อย คือมันจะเป็นเหมือนตึกแชร์ คือในตึกนึงมีหลายๆกิจการรวมอยู่ที่เดียว
ตึกนี้ด้านล่างจะเป็นร้านอาหาร ต้องขึ้นลิฟต์ไปชั้น 3 เป็นส่วนของรีเซ็ปชั่น
ส่วนชั้นต่อๆไปด้านบนประมาณชั้น 4-5-6 ก็จะเป็นส่วนของ dorm แยกหญิงชาย
มองหาป้ายนี้ ส่วนของโรงแรมจะเป็นป้ายสีน้ำเงินๆ นอกนั้นก็เป็นร้านอื่น
ของผู้ชายดีหน่อยเพราะมีจุดให้แช่ออนเซ็น
แล้วรู้อะไรป่าวว่า จุดแช่ออนเซ็นมันต้องเดินผ่านรีเซ็บชั่น
คิดดู๊ววว ว่าฟินมากกกก แค่ไหนนนน
555555555555555555555 (เก็บอาการบ้างไรบ้างค่ะแกร)
ในส่วนของรีเซปชั่นก็หน้าตาดีมีคุณภาพตามมาตรฐานญี่ปุ่น
พูดอังกฤษได้ แต่เราไม่ได้พูด เจ้พูด 555
เขาให้รหัสไวไฟ รหัสปลดล็อคประตู แล้วก็กุญแจฝากของล็อกเกอร์
แล้วเราก็ลากกระเป๋าขึ้นที่พักกัน หน้าตาประมาณนี้เลยยย
แล้วนี่คือครั้งแรกในการนอนโฮสเทลของเรา ปกติจะชอบนอนคนเดียวแยกห้องไป
แต่นี่ คือดีงามพระรามชินจูกุมาก
สะอาดเป็นเลิศ เงียบสงบ ต่างคนต่างอยู่เงียบๆ
เวลาคุยต้องกระซิบกันอ่ะ ถ้ามีคนอยู่เขาก็มักจะเอาม่านลง
เราก็เข้าไปในตู้แคปซูล นึกว่าจะแคบแต่ไม่เลย เราไม่อึดอัด
แม้ว่าพอนอนไปแล้วจะรู้สึกร้อนเพราะฮีทเตอร์ แต่มันโอเคมาก
เหมาะกับมาแวะพักแป๊บๆแล้วตอนเช้าก็ไปทำงานหรือออกเดินทางกัน ประหยัดดีด้วย
ของอำนวยความสะดวกมีสารพัด ที่สำคัญคือมีชุดยูกาตะไว้ให้ตอนไปอาบน้ำด้วยย เราใส่นอนเลย
ที่นี่จะมีห้องดูทีวี (ซึ่งหาเพื่อนใหม่ได้ที่นี่ กรณีเขาอยากรู้จักเราอ่ะนะ เน้นว่ามีแต่ผู้ชายยยยส่วนใหญ่เลย)
มีตู้กดน้ำ (โคตะระ signature ของญี่ปุ่น) มีน้ำร้อน ตู้ซักผ้าหยอดเหรียญ เล่นเน็ตได้
สรุป ฟินและดีงามมากมายสำหรับที่พัก
และจะเน้นกันอีกสักครั้งว่า..สะอาดมากๆ โดยเฉพาะห้องน้ำหญิง ยิ่งห้องอาบน้ำนะฟินมาก
คุณแทบไม่ต้องเอาไรไปเลย เดินเข้าไปพอ
แชมพู โฟมล้างหน้า แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ไดร์เป่าผม มีให้หมดดด
ที่สำคัญไม่ใช่ของธรรมดาๆนะ แต่นี่ระดับ Shiseido
…ถ้ามีโอกาสมาชินจูกุ มาลองดูกันนะ ^^
เอาล่ะ พอเอาของเก็บแล้ว หิวไง ต้องไปแล้วล่ะ ออกไปท้าลมฝนกันอีกระลอก บรึ๊ยยยยย
ณ ตอนนั้น เจอร้านไหนที่ยังไม่ปิด รีบแจ้นกันเข้าไปเลย
โดยเราเลือกกันร้านนี้ เห็นป้ายด้านหน้าดูจะเป็นอุด้ง
เอาวะ อากาศฝนๆหนาวๆแบบนี้ ต้องหาอะไรร้อนๆกระแทกปาก จัดไป !
เป็นดินเนอร์เวลา 5 ทุ่มที่ดีจริงๆเลยวุ้ย !
ลองมาดูชื่อร้านกันหน่อย เห็นไหมนั่น…..
“SANUKI UDON HANAMARU“
ลองไปเสิร์ชๆข้อมูลมาแล้วเจอว่ามันมีหลายสาขามากๆทั่วญี่ปุ่นเลย ดังนั้นนี่คือสาขาชินจูกุนะ
เดินลงบันไดไปด้านล่าง คนยังเข้าร้านเรื่อยๆ บรรยากาศเป็นร้านค้า
ผู้ชายพ่อค้าชาวญี่ปุ่นนี่ทำอะไรรวดเร็วดีแท้ ฟึ่บๆๆๆ และหล่อด้วยที่สำคัญน่ะ
ความที่ยังงกๆเงิ่นๆไม่กล้าพูดกับเขา เลยชี้ให้ดูว่ากรูอยากจะกินเจ้าเมนูหมายเลขนี้นะ เขาก็ ไฮ่ๆๆๆ
ร้านนี้ดีอยู่อย่างคือ คุณจะหิวโหยมาจากไหน อยากจะรับประทานขนาดแบบไหนเขามีให้คุณเลือกเลย
ทั้งแบบ Small, Medium, Large
เลือกได้แล้วแต่ความสามารถการขยายตัวของผนังเยื่อบุกระเพาะอาหารของคุณ
และเราได้สั่งแบบ Small มา….คือ นี่ขนาดแก Small นะ ยังเหลือได้อีก ท้องจะแตกแย้วว
โปรดอย่าถามว่าเราสั่งอะไร 5555+ จำไม่ได้
อิ่มแปล้เลย ละเราก็กินไม่หมด ไม่สามารถยัดมันได้แล้วจริงๆ กราบขออภัย
เอาล่ะ สำหรับวันแรกในญี่ปุ่นรู้สึกตื่นเต้นบอกไม่ถูก
ยังไม่กล้าพูดกล้าอะไรมาก ยังมึนๆกับตัวเอง
บางครั้งก็คิดว่านี่คือฝันไป…
เดี๋ยวรอตื่นมาพรุ่งนี้ก็จะได้รู้ว่ายังฝันอยู่ไหม
โอยาสุมินาไซนะ ญี่ปุ่น ZZZzzzzz
❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤
💖✔ Day 2 {07 March 2016}: Ohayo ! ‘Hakone’…Say Hi ‘Kawaguchiko’
1 คืนผ่านไปไวเหมือนโกหกสำหรับที่ชินจูกุ
เมื่ออากาศมันน่านอนและที่นอนก็อุ่น (เกินไปจนร้อน ไม่ได้ห่มผ้าเท่าไรเลย) เลยตื่นสาย
ไม่ได้อาบน้ำเพราะว่าเราอาบช้ามาก พิธีรีตองเยอะ เดี๋ยวเจ้จะว่าเอา 555+
ตอนเช้ามาคนก็เริ่มออกไปกันบ้างแล้ว เคยได้อ่านมา เขาว่า
โรงแรมแคปซูลมีคนมาพักหลากหลายมากโดยเฉพาะคนญี่ปุ่นเอง
บางคนขี้เกียจนั่งรถไฟเข้ามาในเมือง หรือบางคนเลิกงานจนดึกจนรถไฟหมดก็มานอนคืนนึง คิดๆดูก็คุ้มนะ
และสำหรับ Backpacker เราก็ว่ามันก็ยิ่งคุ้ม
ถ้าคุณไม่ได้ซีเรียสเรื่องห้องน้ำรวม (ที่โคตะระสะอาด) เรื่องพื้นที่ส่วนตัวก็มาลองที่นี่ได้
เอาล่ะ ได้เวลาเช็คเอ้าท์ เราหม่ำมาม่าคัพจากไทยแลนด์ที่ไม่ได้กินบนเครื่องมากินเป็นอาหารเช้าวันนี้แทน
จากนั้นก็กระชับเสื้อโค้ทให้แน่น
กำที่ลากกระเป๋าให้มั่น ร่มในมือต้องพร้อม แล้วออกเดินทางท้าลมฝนและหนาวกันเลย ลุย !
// ฝนยังคงตกอยู่ และหนาวมากด้วย
……และแล้วก็ค้นพบว่า เราไม่ได้ฝันไป
เราลากกระเป๋าสัมภาระกันมาแบบสะบักสะบอมเตรียมขึ้นรถไฟที่สถานีชินจูกุ มายังฮาโกเน่ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดคานางาวะ (Kanagawa)
วันนี้เป็นเช้าวันจันทร์ที่แสนเปียก เห็นชาวโตเกียวรีบเร่งไปทำงาน
นี่มัน rush hour จริงๆเลย ดีนะที่ออกสาย คนน่าจะซาลงบ้างแล้ว
และแล้วเดินตามเจ้มาเรื่อยๆก็ถึงสถานีชินจูกุ
สถานีชินจูกุเป็นสถานีที่ใหญ่มากพอสมควร คนเยอะมาก หลงง่ายมาก
สัยสนและงุนงงหนักมาก คุณสามารถพบเจอความรู้สึกทั้งหมดได้ที่นี่
พอมาถึงสถานีชินจูกุ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ
มองหา Odakyu Sightseeing Service Center ตามรูปล่างซ้ายนี่เลย
จุดๆนี้จะอยู่ชั้นแรกเมื่อเราเดินเข้าไปในสถานี หาง่ายอยู่นะ
มีคนพูดได้หลายภาษา อังกฤษ ไทย จีน มีหมด เราก็รีเควสไป
พนักงานน่ารักใจดีทุกคนเลย จุดๆนี้เราต้องมาซื้อพวกบัตรเหมาจ่ายดังต่อไปนี้ ที่นี่
การท่องเที่ยวของที่นี่เขามีอะไรน่ารักๆให้เราเล่นด้วยนะ
ก็คือเขาจะมี Stamp Sheet มาให้
แล้วให้เราไปตามหาตราปั๊มที่อยู่แต่ละที่ที่เราจะไป
ตามเส้นทางของเส้นฮาโกเน่ คาวากุชิโกะ
แต่ละที่จะมีตราปั๊มให้เราไปปั๊มมา สะสมไปเรื่อยๆ
แล้วพอขากลับเราก็มาแลกของที่ระลึกนะ
คนรักโดราเอมอนแบบเรานี่คือ รักเลยยยยยยย
พอเจรจาซื้อขายตั๋วกันเรียบร้อย
เราก็ต้องไปเก็บกระเป๋าสัมภาระ (เอาเสื้อผ้าที่จะใส่ค้างคืนที่คาวากุฯใส่เป้แยกไว้)
เราจะเก็บของกันที่ล็อคเกอร์ที่มีอยู่เยอะไปหมดและหน้าตาเหมือนกันหมดด้วย
ต้องจำให้ได้ว่าเอาไว้ตรงไหน แถวไหน มีร้านอะไรเด่นๆ
เพราะไม่งั้น ตุยค่ะ บอกเลย
ความซวยของพวกเราเช้านี้คือ ตามหาล็อคเกอร์ที่จะใส่กระเป๋าลากของเราให้ได้
กระเป๋าเจ้ไม่ใหญ่เท่าไร ใส่ช่องล็อคเกอร์ทั่วไปได้
แต่ของอิชั้นเนี่ยย ใหญ่เกินช่องธรรมดาจะใส่ได้ เลยต้องลำบากหาตู้ที่จะใส่ได้
และเดินวนขึ้นลงๆจนแบบ เฮียเอ๊ยยยย กุแบกไปนู้นด้วยก็ได้ฟระ
เวลาก็กระชั้นชิด ใกล้จะถึงเวลาขึ้นรถไฟละ สาสสสส
แต่สุดท้าย ภายใต้ความฉุกละหุก พวกเราก็เจอตู้ล็อคเกอร์ที่ยัดกระเป๋าลากของเราได้ เฮ้อออออออ หวุดหวิดๆ
อ้อๆ จะบอกว่าถ้าเมืองไทยมีล็อคเกอร์เก็บของแบบนี้เยอะๆก็ดี
ปลอดภัยนะ ใช้เหรียญ (กี่เยนไม่รู้) หยอดไปแล้วเค้าก็จะมีกุญแจให้ สะดวกดี
เสร็จแล้วก็มายืนรอที่ชานชาลา เตรียมตัวขึ้นรถไฟ
ซึ่งจะบอกว่า เวลามันกระชั้นชิดมากกกก มากจนน่าใจหายว่าจะพลาด
(ถ้าพลาดนี่เครียดยิ่งกว่าคุณยายผ่องศรีร้องเพลงรถด่วนขบวนสุดท้ายอีกนะ)
แต่ก็นะ ยังพอมีบุญเหลืออยู่บ้าง ยังทันๆ
ก็กระโดดขึ้นรถไฟไปเลย (ห้ามแซงคิวนะ ย้ำ)
ระหว่างนั่งไปเรื่อยๆ ก็จะขอพูดถึง Pass ต่างๆที่ต้องใช้ในการไป Hakone และ Kawaguchiko กัน
เราซื้อบัตร Fuji Hakone Pass โดยเราจะนั่งรถไฟสาย Odakyu Line ไป
……………………..
มาๆ เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ดูภาพนี้ไว้นะตัว จริงๆรายละเอียดเยอะกว่านี้ แต่ขอยกมาคร่าวๆดัง 8 ข้อนี้
1. เราเดินทางจาก Shinjuku Station โดยนั่งรถไฟ Odakyu Limited Express หรือ Romance car มาลงที่ Hakone Yumoto Station
2. จาก Hakone Yumoto Station เรานั่งรถบัส Hakone Tozan Bus ไปลงที่ Moto Hakone ซึ่งที่นี่ก็คือท่าเรือที่เราจะขึ้นชมวิวทะเลสาบอะชิ
3. นั่งเรือล่องทะเลสาบอะชิ โดย Hakone Sightseeing Cruise ไปเรื่อยๆ แล้วมาลงที่ Togendai
4. พอมาถึง Togendai เราจะขึ้น Hakone Ropeway หรือกระเช้าลอยฟ้าผ่านไปยังสถานี Ubako เพื่อลงมาเปลี่ยนกระเช้า
5. จริงๆแล้วที่สถานี Ubako นี่จะเป็นสถานีที่จะต่อไปยัง Owakudani หรือหุบเขาที่มีไอจากใต้ผืนดินพวยพุ่ง ผู้คนก็แวะมากินไข่ดำกัน แต่เราไม่ได้ไปเพราะเขาปิดให้บริการ ดังนั้นเราจึงต้องนั่งรถบัสไปที่สถานี Sounzan แทน
6. จากสถานี Sounzan เราจะขึ้นรถราง Hakone Tozan Cable Car ไปยังสถานี Gora
7. จากสถานี Gora เราจะขึ้นรถบัส Hakone Tozan Bus ไปยัง Gotemba Premium Outlet
8. จากที่นี่ เป็นจุดหมายและจุดสิ้นสุดสาย Hakone
เราอธิบายพอให้เห็นภาพง่ายๆ (นี่เพิ่งมาเข้าใจตอนหลังทริปเนี่ย)ว่าแต่ละการเดินทางในฮาโกเน่เป็นยังไง
ว่าแล้วก็ไปดูหน้าตาของ Fuji Hakone Pass กัน มี cover ให้สวยงามเลย
ตามนี้เลย เราก็ไม่ต้องสนใจหากรถไฟจะหยุดสถานีไหน
เพราะเป้าหมายเราคือ Hakone-Yumoto Station ตรงนั้นนั่นเอง
แต่ได้ผ่าน Odawara ก็จะได้เห็นปราสาทโอดาวาระกันด้วย
เรายกกล้องถ่ายไม่ทัน และเหมือนจะปิดซ่อมบำรุงด้วย…เออะ อะไรๆก็ปิด !
เอาล่ะ มาดูบรรยากาศรอบตัวเราดีกว่า เรายกกล้องมาไม่ขาดช่วง
เพราะตอนนั้นยังดีอกดีใจนึกว่าปลั๊กไฟที่ชาร์ตแบตกล้องจะโอเค แต่ของจริงหลังจากนั้น หึหึ
วิวในญี่ปุ่นมันดูน่ารัก วินเทจ และมุ้งมิ้งจริงๆนะ
ที่เคยเห็นกันในรีวิวว่าภาพที่ถ่ายในญี่ปุ่นมันดูนวลๆ
จริงๆเราว่าในภาพที่เห็นของจริงก็ว่ามันนวลๆฟรุ้งฟริ้งอยู่
วันฝนตกพรำๆแบบนี้นั่งดูญี่ปุ่นผ่านหน้าต่างรถไฟมันก็ได้อีกฟีลหนึ่งเหมือนกันนะ
นี่สิ ดูสไลว์ไลฟ์ของจริง เราไม่ได้ดูนาฬิกาเลยว่าผ่านไปกี่นาทีแล้วเพราะมัวตื่นตากับสิ่งที่จะได้เจอรอบตัว
เจ้บอกให้สังเกตดีๆจะเห็นฟูจิซัง แต่เราทำใจไว้แล้วล่ะว่าทริปนี้มันไม่มีอะไรราบรื่นจริงๆ 555+ เพราะฉะนั้นเลยช่างมันเถอะ
ระหว่างมองภาพผ่านหน้าต่าง จะเห็นสภาพความเป็นอยู่ของบ้านเมืองของผู้คนที่อยู่รอบๆรางรถไฟ
บ้านเรือนแถวนี้เป็นระเบียบแล้วก็น่ารักบอกไม่ถูก อยากถ่ายรูปแต่ยกกล้องไม่ทัน
85 นาทีผ่านไป ในที่สุดรถไฟก็พาเรามาถึง Hakone-Yumoto Station ตรงเวลา
ฝนก็ยังคงตกเหมือนเดิม และโคตะระหนาว
เจ้เริ่มไปถาม Information ว่าจะไปล่องเรือที่ทะเลสาบอะชิต้องไปทางไหน
เขาบอกให้เราไปรอที่สถานีรถบัสเพื่อรอขึ้นรถ
การหาทางออกยังคงยากอยู่ทุกสถานีที่ญี่ปุ่น
พยายามอยู่ที่ชั้นที่คุณลงรถไฟมาและเดินไปตามทางเดินนี้ ลงบันได ด้านขวามือไปเรื่อยๆ
หากดูจากบนนี้ก็จะเห็นรถไฟที่พาเรามาเมื่อครู่ที่ด้านซ้ายของภาพ
ส่วนด้านขวาที่เป็นเหมือนที่ยืนรอรถนั่นแหละที่เราจะไปรอรถบัสกัน
หากไม่แน่ใจ อย่าลังเลที่จะถาม ใครก็ได้ที่ดูเป็นคนญี่ปุ่น
ไม่ใช่นักท่องเที่ยวกันเอง เราว่าเขายินดีช่วยเหลือนะ
ระหว่างทางเดินไป ก็เพิ่งสังเกตฮาโกเน่ เต็มๆตา น่ารักดีเนอะ
…Hakone in the Rain.
มีหนุ่มสาวเกาหลีเดินจับมือผ่านเราไป
เขาคงอบอุ่นหัวใจกันจนลืมความหนาวเย็นในตอนนี้ไปเลยแน่ๆ
ส่วนเราก็ได้แต่กระชับเสื้อโค้ทให้มันแน่นขึ้น
พอเดินมาถึงที่จอดรอรถบัสแล้ว รอไปประมาณ 15 นาที
เพราะเราเพิ่งคลาดกับรถรอบแล้วไปนิดเดียว
ไม่เป็นไร ถ่ายรูปเล่นชิวๆได้อยู่ แล้วก็นึกสนุก
ขอคุณเจ้าหน้าที่แถวนั้นมาถ่ายรูปคู่กัน
ก็เค้าชอบคนญี่ปุ่นนี่นา คนญี่ปุ่นน่ารัก
ใกล้ๆกันฝั่งตรงข้ามดูเหมือนจะเป็นโรงแรม
แต่เราชอบที่มีสะพานสีแดง
และลำธาร (ที่ดูเหมือนมนุษย์สร้างขึ้น)
ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายแบบนี้
โอ๊ยยย นี่มันบรรยากาศทรมานคนเหงาชัดๆ
15 นาทีผ่านไป รถบัสแล่นมาตรงเวลาเป๊ะๆ
สมแล้วกับที่เป็นคนญี่ปุ่นจริงๆ เรื่องความตรงต่อเวลาคือสิ่งที่ทำให้พวกเขามีวินัย
ก็ขึ้นรถกันไป แสดงบัตร Fuji Hakone Pass ก็ได้เข้าไปนั่งสวยๆกันแล้ว
และจากนี้ไปอีกประมาณ 30-40 นาที ก็น่าจะถึงท่าเรือ
เพราะฉะนั้นนั่งสวยยาวไป ยาวไป
รถบัสของที่นี่ดีหลายอย่างมาก คือสะอาด และจะไม่รับผู้โดยสารเยอะเกิน
จะไม่มีการมายืนมาโหนอะไรจนล้น เขาจะนั่งกันเป็นระเบียบ
แทบจะไม่คุยกันเสียงดังเลย ในรถจะมีปุ่มให้กดบอกว่าจะลงป้ายไหน
แทบทุกบัสเท่าที่เห็นจะมีจอทีวีที่แสดงว่า ณ ป้ายต่อไปนี้คือป้ายชื่ออะไร
และคุณเริ่มขึ้นจากสถานีนี้จะไปลงสถานีอะไรก็จะแสดงราคาให้ดูกันชัดๆไปเลย ชีวิตดีสุดอ่ะ
…ผ่านไปได้สักพัก นั่งชมวิวจนอิ่ม ในที่สุดก็มาถึง ณ ท่าเรือฮาโกเน่
จะเห็นเสาโทริอิสีแดงแบบนี้ โดดเด่นฝุดๆ
บัสค่อยๆเคลื่อนตัวมาจอดอยู่ที่หน้าอาคารชั้นเดียว ที่นี่คือ
HAKONE SIGHTSEEING CRUISE
ตรงกับข้ามก็คือ 7-11 สาขาท่าเรือโจรสลัด (เราตั้งเองแหละ)
เดินเข้าไปหาอะไรหม่ำรอเรือมา ได้ข้าวปั้นมา ลูกอม แล้วก็น้ำส้ม
จะบอกว่าข้าวปั้นญี่ปุ่นเนี่ย ไม่ได้มาไว้กินเล่นๆนะ นี่กินแล้วแค่ชิ้นแรก
อิ่มยันบ่ายสามเลยอ่ะแกร ข้าวเนื้อแน่นมาก ไส้ปลาด้วย อร่อยจนเอียนไปเลย
เนื่องจากไหนๆฝนมันก็น่าจะตกตลอดอยู่แล้ว เราเลยคิดจะซื้อร่ม
ร่มญี่ปุ่นแบบที่เราเคยเห็นกันในการ์ตูนคือร่มใสๆ
และเราก็เห็นเขากางแบบนี้กันเยอะประมาณร้อยละ 98 ของแต่ละที่ที่ไปเลย
เพื่อความเนียนและขี้เกียจตากฝน เลยจัดมาค่ะ ! เฉลี่ยประมาณ 500-650 Yen
ขณะกำลังปลื้มปริ่มกับร่มใหม่และเอียนข้าวปั้นที่เริ่มยัดไม่ลง
เราก็ได้เห็นเรือสีสันสวยมาแต่ไกลกำลังเข้ามาเทียบท่า
พนักงานเริ่มให้เราทยอยไปท่าเรือ ก็อย่าลืมแสดงบัตร Fuji Hakone Pass กันด้วยนะ
และแล้ว ก็ได้เห็นเรือเต็มตา…ตอนแรกว่าจะไม่กรี๊ด แต่ก็กรี๊ดอ่ะ
Lake Ashi ,,, ณ ทะเลสาบอะชิ เรากำลังจะออกเรือโจรสลัดด้วยกันแล้ววว
ระหว่างทางผ่านประตูโทริอิที่เป็นประตูสีแดงกลางน้ำของศาลเจ้าฮาโกเน่ด้วย
เป็นสัญลักษณ์ของทะเลสาบนี่เลย แหม ถ้าฝนไม่ตกก็คงได้อีกบรรยากาศเนอะ
แต่เชื่อไหมว่าตอนเรือแล่นผ่าน มีนักท่องเที่ยวยืนอยู่ตรงประตูสีแดงนี้ เราก็เลยโบกมือไปให้
พวกนั้นก็โบกตอบกลับมาแบบงงๆ 555+
ฝนตกแบบนี้เลยทำให้หนาวขึ้นไปอี๊กกกก มือชาหน้าชากันไปหมดแล้วว
บรรยากาศรอบๆเรือ อารมณ์คล้ายเรากำลังยืนบนเรือของกัปตันแจ๊ค สแปร์โรว์
ใน Pirates of the Caribbean จริงๆ
นึกภาพตามนะ กำลังยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกหนาที่ไม่รู้เลยว่าตรงหน้าจะไปเจอกับความลึกลับอะไร
อีกโมเม้นต์หนึ่งก็คือเราเป็นต้นหนเรือของเจ้าหนุ่มหมวกฟางลูฟี่
แต่คิดๆดูแล้วนี่ไม่เหมือนเรือซันนี่ แมรี่เลยแม้แต่น้อย
แต่ถ้าพอเป็นเรือของกัปตันฮุค ใน Peter Pan ก็พอเข้าท่าหน่อย
แต่คงจะมีลูกสมุนน้อยไปนิด บนเรือมีแค่กัปตัวกับลูกกะจ๊อกคนเดียวเอง
รูปนี้จะได้เห็นว่ามีกัปตันเรืออยู่ตรงนั้นด้วย รูปนี้เราขึ้นมาถ่ายตรงตำแหน่งต้นหน
จะบอกว่าไม่ได้ถ่ายเอียงนะ แต่เรือมันโคลงเคลงบนคลื่นนนน 5555+
ชมวิว แชะรูปไปเรื่อยๆ เอ๊ะๆ รู้สึกเหมือนมีอะไรมาสะกิดๆ หันไปกำลังจะด่า…แต่…
…..ทำลงเหรอออออออออ !?????
#ปลาดาวญี่ปุ่น #ปลาดาวน่ารัก #ช้านนนร๊ากกกกกปลาดาว #มันใช่ปลาดาวเรอะแกรรรรรรร๊
ระหว่างทางก็เจอกับเรือโจรสลัดอีกลำ
“กัปตัน ! เราจะยึดเรือลำนั้นเลยมั้ยยย” กิกิ
จริงๆรูปนี้ถ่ายออกมาแล้วติดหมอกซะเยอะเลย
แต่ตอนที่เรือแล่นสวนกันอีกลำมันเป็นความรู้สึกที่น่าตื่นเต้นจริงๆนะ
เจ้บอกว่าจริงๆฝนตกแบบนี้ก็โชคดีเหมือนกันคือ
ไม่ต้องมาแย่งกันถ่ายรูปบนดาดฟ้าเรือกับใคร เออ มันก็จริง
จะทำอะไรก็ไม่รู้สึกอึดอัดเนอะ เช่น การไปขอกัปตันที่เป็นคนจริงๆถ่ายรูปด้วย
กัปตันเขาก็มีมุมเคร่งๆตามแบบฉบับกัปตันเหมือนกันแฮะ
เรือลำนี้แล่นไปได้ประมาณ 25 นาทีก็ถึงอีกฝั่งซึ่งเป็นอาคารสถานี Togendai-ko
พอเรือเทียบท่าก็รีบวิ่งหลบฝนที่พรำตลอดเวเข้ามาด้านใน เดินเข้าไปเพื่อจะต่อไปยังทางขึ้นกระเช้าไฟฟ้า
แต่ทว่า…ระหว่างทางไปขึ้นกระเช้า เราไปเจอนี่เข้า…
เหมือนเจอจุดอ่อน มันคือจุดละลายทรัพย์นั่นเอง !!
เจ้บอกว่า แกต้องเป็นโรคแพ้ packaging แน่ๆ เพราะญี่ปุ่นนี่เขาปราบเซียน
ยกให้เลยเป็นที่ 1 ในการผลิตของฝากให้มุ้งมิ้งน่าสอย
ตอนแรกเราก็เถียงบอก เจ้ หนูไม่เป็นทาสการตลาดหรอก เงินยิ่งน้อยๆอยู่
…30 นาทีผ่านไป ออกมาเจอหน้าเจ้ พร้อมกับเงิน 3,700 Yen ที่ปลิดปลิว ฟิ้ววววว
ทำไงได้ เดี๋ยวจะหาว่าเราใช้เงินฟุ่มเฟือย แลยถ่ายรูปมาให้ดูด้วยเลย
แล้วจะหาว่าเราไม่ได้พูดเกินจริง จริงๆน้า ^^
หลังจากเสร็จสิ้นการช้อปแล้ว กระเป๋าเบามาก
เราก็เตรียมตัวไปนั่งกระเช้าขึ้นไปสถานีด้านบน
ในเหตุการณ์ปกติกระเช้าจะไปถึง Owakudani
แต่พอเรามาปุ๊บ วันนี้จึงเป็นวันที่ไม่ปกติขึ้นมา 55555+
// ไม่ใช่หรอก จริงๆแล้วเขาปิดปรับปรุงมาสักพักแล้วน่ะ
แล้วก็ฝนตกหมอกลงด้วย ถึงได้ขึ้นไป ยังไงมันก็ไม่ฟินเท่าวันฟ้าใสอยู่ดีเนอะ
…positive thinking ฝุดๆ
หลังจากนั่งกระเช้า ก็ลงมาต่อรถบัสเพื่อไปยังสถานี Sounzan กันต่อ
แล้วทั้งรถมีกันอยู่แค่สองคน นั่งคนละที่
ฟังเพลง ทำเป็นนางเอก MV กันไปซิ บรรยากาศให้มาก
นั่งมาได้สักพัก ขับผ่านเทือกเขาไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็มาถึงสถานี
เราจะนั่งกันต่อโดยไปกับ Cable Car รางนี้
และก็เช่นเคย ฝนตก วันธรรมดา รถว่างมาก มีแค่ไม่กี่คน และไม่ใช่คนญี่ปุ่น
นั่งมองวิวสองข้างทางไป จะหลับอยู่แระ 555555
…ผ่านไปสักพัก ก็มาถึงสถานี Gora เดินเที่ยวที่นี่กันเถอะ
Gora…เมืองน่ารัก ในบรรยากาศสายฝนโปรยปราย เหงานะ แต่หนาวมากกว่า
เดินเล่นฆ่าเวลา ซื้อโปสการ์ดจากที่นี่มา 3 ใบ แต่ตอนนี้หายไปแล้วใบนึง
เอาละ การเดินทางยังไม่สิ้นสุด อย่าเพิ่งหยุดกิน…
เราซื้อขนมมาตุนไว้แล้ว เตรียมขึ้นรถบัสต่อได้
จริงจังแค่ไหน แค่ไหนเรียกจริงจัง กะเหมาหมด shelf นี้
จากรถบัสเที่ยวนี้จะต่อยาวไปยัง Gotemba
และจะจอดที่ Gotemba Premium Outlet
ซึ่งที่นี่คือแหล่ง outlet ที่รวมเอาแบรนด์ที่มนุษย์คลั่งแบรนด์ทุกคนจะต้องรู้จัก
…โชคดีที่เราไม่ใช่หนึ่งในนั้น
เดินไปตามร้านรวง รู้จักแค่ไม่กี่อัน อย่างน้อยก็ Nike กับ Adidas
เพราะเข้าไปสอยรองเท้าคู่ใหม่มาหลังจากคู่เก่าเน่าเกินเยียวยา ได้เวลาโบกมือลาบ๊ายบาย
ตอนนี้ไปนอนอยู่ก้นถังขยะสักใบในญี่ปุ่นแล้ว อย่าหาว่าเราใจร้าย ประเด็นคือรองเท้าไม่ทน
เดินลุยฝนลุยน้ำอะไรต่อมิอะไรแล้วไม่รอด เท้าจะเป็นฮ่องกงฟุตเอา
รักรองเท้านะ แต่รักเท้าตัวเองมากกว่า
บรรยากาศที่นี่มันหนาวกว่าเดิมมากจริงๆ อาจเป็นเพราะฝนยังคงตกอยู่
และที่นี่อยู่รายล้อมด้วยหุบเขา เลยทำให้หนาวไปอี๊กกกก
เราและเจ้รีบหาฟู้ดคอร์ทด่วน
เพราะนอกจากปากท้องที่หิวแล้ว ยังอยากเข้าไปซุกตัวใต้หลังคาที่มีไออุ่นกันซักที
แล้วก็เดินเกินคาด สวยดี อย่างกับห้องฟังดนตรีเลย
โปรดอย่าถามมมม ว่าฉันกินอะไรรรร เมื่อในอดีตตตตต
และโปรดอย่าถามมมม ว่าในอดีตตตตต ราคาเท่าไรรรรรรร
หลังจากเสร็จเรียบร้อย เราก็แวะเข้าไปที่ Information Center เพื่อสอบถามรถที่จะไปคาวากุชิโกะ
ซึ่งได้ความว่าจะมาในอีก 1 ชั่วโมงครึ่ง !!
แม่เจ้า ไม่รอละ เจ้บอก
เราตัดสินใจนั่งรถบัสไปลงที่สถานี Gotemba
เพื่อไปต่อยังรถบัสที่จะไปยัง Kawaguchiko ได้เลย
ระหว่างทางที่สถานี Gotemba ก็แวะเดินเล่นที่นี่ซักนิดนึง
เด็กน้อยคนสวย ณ โกเทมบะ ดูท่าโพสนางซะก่อน ยอม
พอถึงช่วงเวลาขึ้นรถก็ได้ขึ้นกัน มีคนอยู่บ้างประปราย พอให้มีที่นั่งสวยๆได้อยู่
ระหว่างทางจากสถานี Gotemba ไปคาวากุชิโกะก็ค่อนข้างมืดแล้ว
เรากับเจ้นั่งคนละที่เพราะมีที่นั่งว่างเยอะ เราเริ่มเอาหูฟังมาฟังเพลง เล่นโทรศัพท์ไปเรื่อย
และในที่สุด หลังจากลัดเลาะผ่านถนนธรรมดา ไปจนถึงบรรยากาศสองข้างทางเป็นภูเขา
รถบัสก็พา 2 คนสุดท้าย เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาวมาส่งถึงที่
ลุงคนขับคงบอก ลงไปซะได้ก็ดี จะได้กลับบ้านนอน
หลังลงรถ ความเงียบสงัดของสถานี Kawaguchiko ทำใจหาย
เฮ้ยยย เอาไงต่อวะ เขาปิดแล้ว
พลันก็เหลือบไปเห็นนักท่องเที่ยว 3 คนยืนอยู่ใกล้ๆ ถกเถียงกันเป็นภาษาไทย
ในมือมีมือถือ โอเค ลองเดินไปถามดีก่า พี่เขาน่าจะรู้ทาง
‘พี่ก็ไปที่พักไม่ถูกเหมือนกันค่ะน้อง’ ….เงิบไปสามวิ
ละดึงสติกลับมาใหม่ กลายเป็นว่าอุ่นใจอ่ะที่อย่างน้อยมีคนไม่มีที่ไปมาเพิ่มอีก 3 คน ฮี่ๆๆๆ
สอบถามกันไปมาพี่ๆเขาจะไปพักที่โรงแรมอะไรสักแห่ง
แต่ดูจาก GPS แล้วมันไกลพอสมควร แล้วตอนนั้นคือแถวนั้นไม่มีรถอะไรแล้ว
มีอยู่ทางเดียวที่เจ้เสนอก็คือ ‘เราคงต้องไป Taxi กันแล้ว’
เออออออ จริง นาทีนั้น โบก taxi กันรัวๆเลยค่ะ สองทีม
พอเราเจอลุง taxi แล้ว เราก็บอกลาพี่ๆทั้งสาม
แต่พี่เขาก็นั่ง taxi ตามติดกันมา ฮ่าา อย่างน้อยคนไทยก็ได้ช่วยเหลือกันนะ
ขอเม้าท์เรื่อง Taxi ญี่ปุ่นหน่อย คือ….ดีมากกกก
สุภาพมาก แต่งตัวสุภาพ เขามียูนิฟอร์มกันด้วยนะ
คุณลุงรถเราน่ารักมาก เอาที่อยู่เรียวกังให้ดูแล้วก็
อ๋อๆ ลุงตั้ง GPS ของลุงแล้วก็ออกรถ
แล้วที่นี่คือ Taxi เขาจะสวมถุงมือสีขาวข้างนึงเวลาขับรถ
ทุกคันเลย มีคุณภาพมาก ชีวิตดีงามเกิน
เอาล่ะ ไม่ถึง 10 นาที คุณลุงก็เลี้ยวรถมาจอดหน้าเรียวกัง
คือตอนนั้นมันมืดแล้ว มองไม่เห็นอะไรละ จ่ายเงินแล้ววิ่งเข้าเรียวกังรัวๆกับเจ้
ที่พักของเราคืนนี้ชื่อ “KOMAYA RYOKAN”
แล้วเรียวกังคือเป็นเรือนไม้เล็กๆ ตอนนั้นสองสามทุ่มแต่โคตะระเงียบ
แต่กลิ่นอายญี่ปุ่นแบบได้ฟีลสุดๆ เข้าไปในเรียวกัง ต้องถอดรองเท้าจอดเก็บให้เป็นที่ในตู้
แล้วก็ไปเช็คอิน มีคุณป้าท่านนึงมาต้อนรับ เราบอกเป็นภาษาอังกฤษไปว่า
ขอโทษที่มาเลทเพราะมัวหลงทาง แต่คิดว่าป้าคงฟังไม่รู้เรื่องเพราะป้ายิ้มๆ
ไม่รู้อ่ะ น่ารักอ่ะแกรร
แล้วยิ่งกว่านั้นนะ
พอขึ้นไปบนชั้นสองที่เป็นห้องนอน ความฟินก็บังเกิดขึ้นรัวๆ นั่นคือ…
ห้องที่เราได้เป็นห้องที่หันหน้าเปิดหน้าต่างแล้วเจอฟูจิเลย
แต่คืนนี้ไม่เห็นอะไรนะ แต่รู้ว่ามันหันหน้าออกสู่ฟูจิเลย
ที่สำคัญ นี่มันญี่ปุ่นนี่หว่าาา (ก็ใช่สิฟระ) คือเสื่อตาตามิ ที่นั่งตรงกลางห้อง
ประตูบานเลื่อนแบบห้องนอนโนบิตะ แบบเฮ้ยแกรรรรร
มีที่นอนที่เป็นฟูตองมาไว้ให้ปูด้วย เจ้ถึงขั้นเปิดยูทูปดูวิธีปูกันเลย
เท่านั้นยังไม่พอ เขามีชุดยูกาตะให้คนละชุด เอาไว้ใส่ตอนไปแช่ออนเซ็น…….กรีีดดดดด
เดี๋ยวเอารูปในห้องมาให้ดู แต่ขอบอกว่าจริงๆมันดีกว่านี้มาก แต่สองศรีพี่น้องยำซะเละ
🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡
💖✔ Day 3 {08 March 2016}: When I Feel You “Fuji San”
โอไฮโยะ นิปปง !!
ขอทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เข้ากับบรรยากาศการมานอนเรียวกังทีเถิด
โอ๊ยยเมื่อคืนหลับไปไม่รู้เรื่องอะไรร้อก
ที่นอนนุ่มไม่นุ่มไม่รู้ แต่ก็หลับไปเลย นอนใส่ชุดยูกาตะของเรียวกังแบบฟินๆ
รู้สึกเหมือนเป็นเมียซามูไรญี่ปุ่น 55555+
เอาล่ะ ในส่วนของวันนี้ เราสะดุ้งตื่นมาเองตอนประมาณเกือบแปดโมงแล้ว
สิ่งแรกที่ทำคือลุกไปเปิดหน้าต่างอยากรู้ฟูจิซังจะเปลี่ยนใจมาเจอกันได้รึยัง
จริงๅเท้าความไว้แล้วว่าทริปนี้โคตะระฉุกละหุก มีแต่เรื่อง
พอมาถึงฮาโกเน่ก็ฝนตกอีก อดเห็นฟูจิซัง ไข่ดำโอวาคุดานิก็ไม่ได้ไป ปิดอีก
คือแกมาไม่เจออะไรเลยจริงๆ พอมาถึงคาวากุจิโกะก็ฝนตกหมอกลงอีก
คือไม่มีทางจะได้เห็นฟูจิซังได้ง่ายๆเลย ขนาดบางคนมาวันฟ้าสวยยังเสี่ยงเลย
จริงๆเราก็แอบหมดหวังนะ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเจอกันอยู่แล้ว
คือยังไงก็ได้ ขอแค่เดินทางไปกลับโดยสวัสดิภาพก็พอ
แม้ความหวังจะเลือนลางสุดติ่งก็เถอะ แต่ก็ยังแอบหวังอยู่นิดๆ
แต่ยังไงก็แล้วแต่ คนมันจะเจอกัน ยังไงก็ได้เจอกันเนอะ
เปิดม่านปุ๊บ … อื้อหือ ขาวโพลน ราวกับในหนัง The Mist
คือมีแต่หมอกจริงๆ แต่เอาวะ มาแล้วอ่ะเนอะ ถ่ายรูปไว้แหละ
ลั่นชัตเตอร์ตอน 08.32 น.
หลังจากนั้น ก็หันไปเก็บข้าวของ ยัดที่นอนเข้าตู้ตามเดิม ซึ่งหนักและงานฝุ่นมาเต็มค่ะ !
หันกลับไปดูฟูจิซัง เฮ้ยๆๆๆ ….เริ่มมีบางอย่างออกมาให้เห็นแล้วเหวยยๆๆๆๆ
เอ้า รออะไร ลั่นชัตเตอร์สิ ลั่น !
รูปนี้ลั่นตอน 08.37 น.
หันกลับไปยกโต๊ะมาไว้ตรงกลางห้องเหมือนเดิมแล้วก็ทำความสะอาดเล็กน้อย
พอเห็นกลับมาเท่านั้นแหละ
ไม่รู้จะพูดยังไงเลย (แกไม่พูดหรอก แกกระโดดจนเรียวกังสะเทือนเลย)
เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยย แกรรรรรรรรรรรรรรร๊ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
น้ำตาจิไหล ใช้ได้กับความรู้สึก ณ ตอนนั้นมากกกกกกกกกกกกกก
คือมันจะไหลจริงๆแก คือเราพลาดทุกอย่างที่ตั้งใจไว้ บวกกับความซวยๆที่เจอก่อนมาทริป
ตอนแรกคือเตรียมถอดใจแล้ว แต่พอมาเจอสิ่งที่เห็นตรงหน้านี่คือแบบ…เข้าใจเลย
เข้าใจแล้วว่า ความรู้สึกฟ้าสดใสหลังฝนตกมันเป็นยังไง
ขอบคุณฟูจิซัง เธอทำให้ฉันหลงรักท้องฟ้าขึ้นมากกว่าเดิม
ท้องฟ้าที่ทำให้ได้เห็นเธอชัดเจนแบบนี้
ขอบคุณที่ออกมาหากัน ขอบคุณที่ทำให้ความหวังที่เหลือน้อยนิดกลับคืนมาอีกครั้ง ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ….อินฟินิตี้
เรากับเจ้โทรหาพ่อแม่กันตอนนั้นเลย พร้อมรายงานว่าวันนี้สภาพอากาศดีเยี่ยม
และให้พ่อกับแม่ได้ดูฟูจิซังด้วยกัน เป็นโมเม้นต์ที่โคดมีค่าที่สุดในทริปแล้ว
ไม่รอช้า เราลงไปด้านล่างเพื่อรัวชัตเตอร์อย่างไว เก็บให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
ขอใช้เวลาตรงนี้กับเธอสักครู่ และฉันจะทำให้มันเป็นความประทับใจที่อยู่กับฉันนานเท่านาน
รูปนี้วิวหน้าเรียวกังที่พัก แทบหยุดหายใจเลย สวยมาก จ่ายหลักพัน วิวหลักล้าน แนะนำเลยนะที่นี่
เดินเลียบเลาะทะเลสาบมาทางด้านขวาของเรียวกังแล้วหันกลับไปมอง
นี่มันสวรรค์ชัดๆ ชั้นเป็นนางเอกญี่ปุ่นเลย (เดี๋ยวๆๆ อย่าคิดลึก)
นี่ไง ที่พักเรา
เจอมุมนี้เข้าไป นี่มันทางเข้าป่า 100 เอเคอร์ใช่มั้ยเนี่ย หมีพูห์อยู่ไหน
ฉันรัก “เขา”
แชะภาพกันไปหลายมุม แต่เสียใจที่เราต้องออกจากบริเวณนี้
เพื่อไป Kachi Kachi Ropeway กันต่อแล้ว
ใจหาย เพิ่งได้เจอกันเอง…..เจ้บอก ไม่เป็นไร
เดี๋ยวไปบนคาชิ คาชิจะเห็นอลังการกว่านี้
(แต่หนูชอบตรงนี้นี่นา…….แย้งเจ้ในใจ)
ระหว่างทางแวะผ่านเจอศาลเจ้าเล็กๆ
เราเคยอ่านประวัติเทพเจ้าของญี่ปุ่นมาบ้าง
เลยคาดว่านี่จะเป็นศาลเจ้าของเทพเบนไซเท็น เทพีด้านศิลปะของญี่ปุ่น
แวะสักการะสักนิดแล้วกันเนอะ เสียดายไม่ได้เขียนแผ่นป้ายเอมะที่่นี่
เดินออกมาเพื่อที่จะเดินไปที่ป้ายรถบัส
นึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่นในวัยเด็กที่เคยดูเคยอ่านกันเลยเนอะ
ไม่ว่าจะไปทางไหน ฟูจิซังจะสวยเด่นเป็นสง่าทุกมุม
เรามารอรถบัสจะไปยัง Kachi Kachi Ropeway ตรงนี้จะมีเก้าอี้น้อยๆอยู่
มานั่งรอรถก็ดูตารางการเดินรถเลยว่าเขาจะไปไหนบ้าง เราจะได้รอถูกฝั่ง
#ขึ้นรถฝั่งผิดชีวิตเปลี่ยนนะจ๊ะ
ระหว่างนั้นก็เดินไปทักทาย Kawaguchiko Music Forest Museum
ที่ตั้งใจว่าอยากจะมาแต่เวลาไม่พอ
แค่เห็นหน้าบ้านก็ยังดี
ถ้ามีโอกาสคราวหน้า มาเจอกันนะ
ระหว่างรอก็กะจะไปแชะภาพให้หนำใจ
………และแล้ว รถก็มา ตอนกำลังยกกกล้องมาถ่ายตัวเอง …เยี่ยมจ้ะ
คนไม่ค่อยมี ดีเหลือเกิน
นั่งรถไปได้ไม่กี่นาที เราก็มาถึง Kachi Kachi Yama Ropeway กันแล้ว
โชคดีที่สุดของวันนี้คือ เรามากันเช้า และคนเลยยังไม่เยอะเท่าไร
(หลังจากที่เราเดินลงกันมาแล้วเจอนักท่องเที่ยวรอต่อแถวยาวเหยียดลงไปด้านล่างเลย)
สำหรับที่นี่ เราจะเห็นได้ว่ามีแรคคูนกับกระต่ายหลายจุดเลย
ก็เพราะว่ามันมีตำนานอยู่ (ซึ่งโหดมาก ขัดกับคาแรคเตอร์จริงๆ)
โหดจริงอะไรจริงเนอะ ><”
…….เอาล่ะ มาต่อแถวซื้อตั๋วกันเถอะ
คนยังไม่เยอะ กำลังดีเลย
มือเหี่ยวๆนี่เป็นมือช้านเองแหละพี่ชายยยยย
มาถึงแล้ววว ด้านบนอากาศเป็นใจสุดๆ ร้อนได้ที่ ดีที่หนาวๆ
เห็นฟูจิซังยิ้มหวานมาให้ เธอสวยมากจริงๆ
ด้านบนนี้จะมีร้านรวงที่ด้านในขายขนมอร่อยๆ
ขายของที่ระลึก และมีจุดชมวิวด้านบนนู้น
นอกจากนี้เขายังมีจุดบริการให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปคู่กับฟูจิซัง
แล้วก็มีบริการอัดเป็นโปสการ์ดที่ระลึกให้ด้วย
จะไปห้องน้ำต้องระวังนังทานุกินะ มันจ้องจะตะครุบเราอยู่
โอ๊ะ ไม่สิ แกถูกจับแล้วววว สมน้ำหน้าาาา แบร่
นี่ไง ระฆัง Tenjo (The Bell of Tenjo)
ที่เขาว่ากันว่าหากมองลอดระฆังให้เห็นฟูจิซังแล้วอธิษฐานถึงคนที่เรารัก
รักนั้นก็จะสมหวัง ดูป้าคนนี้เป็นตัวอย่าง
ข้างบนนี้นะเอาจริงๆ เจอคนญี่ปุ่นแทบนับหัวได้เลย นอกนั้นเป็นคนไทย
เราเองก็เจอกลุ่มครอบครัวคนไทยที่มาเที่ยว พอดีว่านั่งโต๊ะด้วยกันเลยเม้าท์มอยกัน อืมมมม
บางทีแม็กก็คิดนะ ว่านี่เรามาถึงจุดที่คนไทยจะยึดครองญี่ปุ่นกันแล้ว ><“
ก่อนลงจากด้านบนนี้ มันจะมีอีกอันให้เราลองเล่น นั่นคือการปาถ้วยให้ลอดห่วง
เขาจะให้โยนสองครั้ง ในราคา 200 Yen
เขาบอกว่าถ้าปาถ้วยแล้วเข้าห่วง ก็จะโชคดี
เราปาทีแรก อ้ะ ไม่ได้ เฟล
ลองอีกที อ้ะ ได้แย้วเฟ้ยยยยยย
ดีใจ ตีลังกาสิบตลบ
ในหนังสือไกด์บุ๊คเราบอกว่า
ให้ไปลูบรูปปั้นกระต่ายแล้วจะโชคดี
แต่จำไม่ได้ว่าลูบตัวไหนจะเป็นยังไง สรุป ลูบหมดแหละ
มาถึงที่นี่ทั้งที อย่าลืมไปเสี่ยงโชคหยิบคำทำนาย Omikuji
หยอดแค่ 100 Yen = ประมาณ 30 บาทบวกลบ
หยิบคำทำนายขึ้นมาอ่าน และที่นี่มีภาษาอังกฤษด้วย
อันนี้ในมือคือของเราเอง อ่านแล้วแฮปปี้สุดๆ
คือบนนี้จะมีมุมให้คนที่รักเรื่องการทำนายทายทักได้ฟินเยอะ
ไหนจะมีแบบข้างบน มีโยนถ้วยให้โชคดี ระฆังอินเลิฟ
แถมยังมีแผ่นป้ายเอมะให้เขียนอธิษฐานได้ด้วย
หลังจากนั้น แดดเริ่มร้อน ไอ้อาการฝนหมอกแบบเมื่อวานหายไปหมดละ
เริ่มร้อนจริงจัง เลยลงดีกว่า เดี๋ยวจะกลับโตเกียวเลทไปอีก
ระหว่างทางลงจงลั่นชัตเตอร์รัวๆ เพราะวิวปังมากกก
พอลงมาแล้ว สวนกับนักท่องเที่ยวฝรั่งไปอีกขบวนใหญ่มาก
และตรงขาขึ้นเต็มไปด้วยคนที่มารออีกยาวไปเลย
เลยรู้สึกว่าโชคดีแฮะที่มาก่อน จะได้ไม่ต้องเบียดเสียดกัน
บรรยากาศรอบๆทะเลสาบคาวากุชิโกะก็จะประมาณนี้
ว่ากันตามในแพลนหน่อยนึง เดิมทีตั้งใจจะไป Ghibli Museum กัน
เพราะความเป็นติ่งผลงานอ.ฮายาโอะกันทั้งคู่
ความที่มัวยุ่งๆเลยไม่ได้แวะเข้า Lawson แต่เนิ่นๆ
ทำให้บัตร Sold out ทุกรอบไปตามระเบียบ
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะเราว่ายังไงก็ไม่ทัน เลยไม่เฟลเท่าไร
(คือตอนนี้นางกำลังดีใจที่ฟูจิซังไม่อายนางไง เลยแบบอะไรจะเฟลก็ช่างเหอะ ปลงแล้ว 555+)
วันนี้คนที่สถานีคาวากุชิโกะเยอะมาก
ไม่เหมือนเมื่อวานที่ไร้ผู้คน (ก็แน่ล่ะ สถานีเขาปิดละมั้ย)
มุมโปสการ์ดที่ขายในร้านขายของที่ระลึก สวยโพดดดดด
เราชอบสถานีคาวากุชิโกะนะ
เป็นสถานีแห่งความมุ้งมิ้ง และคนไทยเยอะสาสสส
คือกำลังงงว่านี่กุเป็นนักท่องเที่ยวหรือคนญี่ปุ่นเป็นนักท่องเที่ยวกันแน่
และความที่คนไทยเยอะแบบนี้ ทำให้เวลาเมคเฟรนด์มันง่ายมาก
เรากำลังงงกับการต่อแถวขึ้นรถกลับชินจูกุว่าต้องขึ้นบัสไหน
พอดีมีพี่ผู้ชายคนไทยสองคนมายืนงงใกล้ๆกันพอดี
โอเค งงกันสี่คนเลยค่าาา
แต่พอหายงงก็ตกลงขึ้นรถกัน ซึ่งเป็นบัสที่เหมือนรถทัวร์สมบัติบ้านเรา
จะขึ้นที่สถานีคาวากุชิโกะไปลงปลายทางที่สถานีชินจูกุ
ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งหน่อยๆ
ขึ้นรถไป อ้าว นั่งใกล้กันอีก เลยแบ่งลูกอมพี่เขาไปกิน เมคเฟรนด์สวยๆ
นี่คือวิวด้านหน้าสถานี … ซาโยนาระ คาวากุชิโกะ
นั่งหลับไปกินไปตลอดทาง และแล้วก็มาถึงโตเกียว ชินจุกุ
ต้องบอกลาคุณพี่คนไทยใจดีสองคนนั้น แล้วเราก็มุ่งหน้าไปที่สถานีชินจูกุกันอีกครั้ง
ไปเอากระเป๋าในล็อกเกอร์ …. หาล็อกเกอร์ให้เจอก่อนเหอะ
แล้วก็อย่างว่า หาล็อคเกอร์ยากกว่าหาคนปากีสถานในญี่ปุ่นอี๊กกก
แต่สุดท้าย ก็เจอ เออ ให้กุเหนื่อยตัลหลอดดดดด
พอได้ทุกอย่างที่ต้องการ ไม่ไหวละ จะบ่ายสามละ หาอะไรกินด่วนนน
แล้วก็มาลงที่ร้านนี้ จำชื่อร้านไม่ได้ รู้แต่กินเจ้านี้
จากสถานีชินจูกุ คืนนี้เราต้องไปพักกันที่แถวอาซากุสะ (Asakusa)
ซึ่งได้จองที่พักผ่าน AirBnb กัน ชื่อว่า Asakusa D-Bill
สนนราคาไม่แพงสำหรับสองคน สองคืน ตกคนละเกือบสองพัน
ที่พักจะอยู่ใกล้วัดอาซากุสะเลย เดินไปได้ ไม่ไกล
แต่ตอนลงจากรถไฟมาที่พัก คือโคตรเหนื่อยเลย
ห้องหับยังดีอยู่ชั้นหนึ่ง ก็โอเคนะ เตียงใหญ่คับห้องเลย
ห้องน้ำก็โอเค มี Bathtub ด้วย นี่แหละ โคดชอบบ
พักเอาแรงกันแป๊บนึงค่อยออกไปหาอะไรกิน
วันนี้ตั้งใจว่าจะไปนั่ง drink ชิลๆกันริมแม่น้ำที่มีตึกอุนจิอยู่ตรงหน้า
(ตึกเบียร์อาซาฮี เป็นที่รู้จักกันดีในนามตึกอุนจิ)
จริงๆวันนี้เรามีอีกปัญหานึง นั่นคือเรื่องปลั๊กสายชาร์ทแบทกล้องของเรา
มันเสียบกับปลั๊กญี่ปุ่นไม่ได้ วันนี้ต้องรีบหาซื้อเพราะไม่งั้นแบตกล้องหมดคือบรรลัย
ค่ำละ เดินออกไปกัน หนาวใช่ที่กันเลยทีเดียว
ผ่านวัดอาซากุสะยามค่ำคืน สวยงามมาก เจดีย์คู่แสงไฟ
ประตูและโคมแดงยักษ์อันเลื่องชื่อของวัดอาซากุสะ
เราเดินเลียบกันไปตามทาง ผ่านหน้าวัด ผ่านตึกรามต่างๆ
มาตุนของกินกันก่อน ที่ใกล้ๆแถวนั้นมี Family Mart พอดีก็ซื้อโลด
เดินหิ้วของกินพะรุงพะรังมาถึงริมแม่น้ำจนได้
ปาดเหงื่อ แม้จะไม่มีเหงื่อเพราะอากาศเย็นอยู่
เจ้ควักของเจ้ เราควักของเรา ตบท้ายด้วยขนมที่ยัดเข้าไปให้หายหิว
กรึ่มๆได้ที่ นั่งดูหนุ่มสาวญี่ปุ่นเขาจีบกันแล้วก็คิดถึงคนทางนู้น >_<“
นั่งคุยนั่งปรับทุกข์กันไปสักพักก็กลับกันดีกว่า
พรุ่งนี้จะได้มีแรงเที่ยว ที่สำคัญ ต้องไปตามหาปลั๊กพ่วงเพื่อชาร์ตแบทกล้องก่อนนน จะหาเจอไหมนี่ หาตาม 7-11 ก็แล้ว ดู Family Mart รอบอาซากุซะก็แล้ว
ไม่มีวุ้ย เฮ้อ ถอดใจละ หนาว กลับดีกว่า
ระหว่างทางกลับที่พัก เราเดินกันกลับตามทางเก่า
เดินไปเรื่อยๆท่ามกลางความหนาวเบาๆ
และแล้วเราก็เจอบางอย่างก่อนถึงที่พัก
ตอนนั้นเวลาประมาณเกือบๆ 22.00 แล้ว
เราสะดุดกับความอลังของหน้าร้านเลยสงสัยว่ามันคืออะไร
คือตอนแรกเห็นว่าด้านล่างเหมือนร้านเกมส์
เลยกะจะเข้าไปหาอะไรเล่นสนุกๆกันซะหน่อย เอ๊ะ ปรากฏว่าไม่ใช่แฮะ
มันคือร้านดองกี้ ที่คนไทยเรียก (เราเเพิ่งรู้ว่าคนไทยชอบมาช้อปกันที่นี่)
หรือที่เราชอบเรียกชื่อเต็มว่าร้าน ดองกิโฮเต้ (Don Quijote)
ตอนแรกไม่ได้มากะช้อปอะไรเลย
แค่ตกลงกะเจ้ว่าลองไปหาที่เสียบปลั๊กในนี้ดูที่สุดท้ายแล้วก็กลับ
แค่นั้น ลองดูป้ายแล้วที่นี่มีตั้ง 4 ชั้น
เราเลยลุยไปดูชั้นบนสุดเพื่อหาของที่ต้องการก่อนเลย
แต่ระหว่างทางนี่แม่เจ้าาา ที่นี่มันแหล่งรวมสากกะเบือยันเรือรบของแท้เลยย
Everything จิงกะเบลที่คุณอยากได้ มีหมดเลยอ่ะที่นี่อ่ะ
แล้วเชื่อมั้ยว่า มีสิ่งที่เราต้องการด้วยย พอฟินได้ที่ เรากับเจ้ก็เดินดูของกันยันห้าทุ่มกว่าๆเลย
และที่สำคัญ ที่นี่ เปิด 24 ชั่วโมงจ้าาาา โอ๊ยยยย ฟินได้อี๊กกก
อันนี้เราชอบส่วนตัว เลยถ่ายรูปมา แอร๊ยยย มีฟูจิโกะซังด้วย
เห็นโมเดลบ้านเล็กแบบนี้ละนึกถึงของเล่นที่แถมมากับขนมสมัยเด็กๆ
ที่เป็นชิ้นส่วนเอามาประกอบเป็นบ้านต่างๆ เราชอบมากกกก
โดราเอมอนของแท้นะ กิกิ
สรุปคือ คืนนี้ที่โตเกียว กะจะได้ไปนอนพักเอาแรง ไม่ใช่จ้ะ
สองคนช้อปเพลินข้ามคืนยันเที่ยงคืนตีหนึ่งค่อยกลับที่พัก
ได้ของเยอะถูกใจมากกกก คือเมิงไม่นึกถึงตอนขนกลับไทยเลยใช่มะ พูด !
เอาล่ะ ราตรีสวัสดิ์ จะตื่นทันไหมเนี่ยยยพรุ่งนี้ ….
💕💕💕💕💕💕💕💕💕💕💕💕💕💕💕💕💕💕💕
💖✔ Day 4 {09 March 2016}: Follow The Heart of Love
เช้านี้ดีหน่อยที่ตื่นไม่สายมาก และมีแพลนเที่ยวชมเมืองเลยไม่คิดมากเท่าวันอื่น
และเนื่องจากขี้เกียจหาอะไรกินข้างนอก
เลยตกลงกันว่าเราจะหม่ำบะหมี่สำเร็จรูปที่กว้านซื้อกันตั้งแต่เมื่อคืนมากิน
แน่นอนว่าเรายังจงรักภักดีต่อนิสชินเช่นเดิม
ก็ เฮ้ยยย มันอร่อยอ่าาา …
แต่ที่ตลกก็คือ ซื้อนิสชินรสต้มยำกุ้งที่อิมพอร์ตจากไทยแลนด์ข่าา
เจ้ถึงกับเบ้ปากมองบน 5555
นี่ล่ะน้า คนไทยได้แต่เห่ออาหารญี่ปุ่น
แต่คนญี่ปุ่นก็เชิดชูรสชาติอาหารไทย ตลกดีมั้ยเล่า
กินคราวนี้ก็ขอติด tag #นิสชินที่ขายที่ญี่ปุ่นอร่อยกว่านิสชินที่ขายที่ไทยแลนด์
เป้าหมายที่สำคัญอีกเรื่องที่เราตั้งใจมาครั้งนี้ก็คือ การมาเที่ยววัด
การมีที่พักอยู่ใกล้เขตวัดมันก็ดีนะ เพราะเราได้เดินมาเจอวัดเซ็นโซจิในทุกๆเช้าเวลาจะไปไหน
เมื่อวานเจอกันในมุมแสงน้อยกันไปแล้วยังรู้สึกขนลุก
มาวันนี้ขอชมความงามกันให้เต็มๆตา
และจะบอกเป็นครั้งที่ร้อยว่าโชคดีมากที่วัดกับที่พักอยู่ใกล้กัน
เดินประมาณสิบห้านาทีถ้าฝีเท้าเต่า ถ้าคนฝีเท้ากระต่ายไม่ถึงสิบนาทีก็ถึง
ระหว่างทางก็จะเจอบรรดาร้านรวงที่มีอยู่มากมาย ระวังจะสับสนนะ เพราะหน้าตามันเหมือนกันหมด
เช้าวันนี้อากาศหนาว บางร้านยังไม่เปิด ลมพัดโกรกมานี่โคดหนาวเลย
ร้านระหว่างทางก็จะเจอขายพวกตุ๊กตาที่แต่งองค์ทรงเครื่องสวยงาม
❄🌼 วัดเซนโซจิ (วัดอาซากุสะ) (SENSOJI ASAKUSA TEMPLE)
เห็นถึงความกว้างขวางอลังการของวัดแล้วนะ
ถ้าเราเดินมาจากที่พัก เราจะเข้ามาทางบริเวณส่วนทิศเหนือสุดเลย
แล้วก็เดินไล่ลงมาเรื่อยๆ จากจุดหลักๆคือ
C > D > B > A
✨จุด C เป็นอาคารใหญ่สุด ประดิษฐานพระแม่กวนอิม เข้าไปสักการะได้ มีจุดให้บูชาเครื่องรางด้วย เราหมดไป 3,000 Yen กับเครื่องรางที่นี่ !
✨จุด D เป็นเจดีย์ 5 ชั้นสวยงามมากมาย ยิ่งกลางคืนยิ่งสวย
✨จุด B ประตูโฮโซมอน เป็นประตูที่มีโคมแดงใหญ่ๆ มีรองเท้ายักษ์คู่ใหญ่ๆ เป็นจุดฮิตอีกจุดเลย
✨จุด B – จุด A ตรงนี้เรียก ถนนนากามิเสะ เป็น Shopping Street ที่เป็นจุดละลายทรัพย์อีกจุด มีตรอกซอกซอยเยอะแยะจนงง มีขายตั้งแต่ของฝาก ของกิน ของใช้ everything jinglebell มารวมอยู่นี่หมด
ไปชมบรรยากาศดีกว่า
วันที่เราไป อากาศกำลังเย็นได้ที่เลย เลขตัวเดียว หนาวเชียว
เขาว่ากันว่านี่คือวัดที่เป็นอีกหนึ่งที่ในโตเกียวที่ต้องมาให้ได้
มาสักการะพระแม่กวนอิม มาขอพร กวักควันธูปเข้าตัว มาซื้อเครื่องราง
…จะมาทำอะไรก็ได้ แต่ควรมา
ในส่วนของวันนี้ คนคับคั่ง ทัวร์ลงเยอะ
นี่ถ้าตะโกนออกไป ‘คนไทยรึเปล่า’ 1 ใน 3 ของพื้นที่นี้มียกมืออ่ะ
ประตูโฮโซมอน นั่นไง เห็นรองเท้ายักษ์คู่ไหม
ที่นี่มีเครื่องรางของขลังให้ซื้อ ซึ่งเราเป็นสาวกเลย
เลยไปกวาดซื้อมาเยอะเชียว ^^ อันละ 1000 Yen (ประมาณ 300 บาท)
ซึ่งเครื่องรางก็จะแบ่งเป็น ให้สุขภาพ ให้เรื่องเรียน ความรัก การเงิน การงาน มีหมดอ่ะ
พอขอพรไหว้พระกันแล้วก็ไปลุยถนนนากามิเสะต่อ
ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงกับของกินและของจุกจิกนี่คู่กัน
เชิญมาที่นี่ เพราะทฤษฎีที่ว่านั่นจริงที่สุด !
จุดละลายทรัพย์แห่งใหม่ของข้าพเจ้าเริ่มต้นขึ้นแล้ว ณ บัดนี้
มาถนนสายนี้ งานน่ารักงานมุ้งมิ้งต้องมา คือกำกระเป๋าเงินคุณไว้ให้ดีๆ ไม่งั้นมันจะปลิวเอาได้ง่ายมาก
เดิมทีเป็นทาสแมวอยู่หน่อยนึง บวกกับชอบเทพเจ้าแมวกวักอย่างมาเนะกิ เนะโกะ
เขาบอกว่า ตุ๊กตาแมวแต่ละตัวจะกวักมือไม่เหมือนกัน
แมวกวักมือขวา หมายถึงการนำพาเงินทองโชคลาภ
แมวกวักมือซ้าย หมายถึงการนำพาให้ได้เจอคนดีๆ
ตามอาคารในถนนสายนี้ ลองมองดูหลังคาดีๆ
จะมีบรรดาพี่ๆน้าๆนินจาซามูไรเขานั่ง เขาแอบซ่อนกันอยู่ตามหลังคา
เดินต่อมาเรื่อยๆ เจอสัญญาณแห่งการเสียเงินจุดต่อไป
นั่นคือ ตู้กาชาปอง !!! อุกรี๊ดดดดดดดดดด
กดเข้าไปๆๆ จนกว่าจะได้ วะฮะฮ่าาาาาาาา
❄🌼 อิมาโดะ จินจา (IMADO JINJA SHRINE)
ที่ตั้ง: 1-5-22 Imado, Taito-ku, Tokyo
เวลาทำการ: 9.00 – 17.00 น. (เวลาทำการสำนักงานศาลเจ้า)
การเดินทาง: เดิน 15 นาที จากสถานีรถไฟใต้ดิน Asakusa บนสาย Tokyo Metro Ginza line หรือ Toei Asakasa line
อันดับต่อไปที่เราจะไปกันคือ ไปตามลายแทงไหว้พระขอพรเรื่องความรัก
จากเท่าที่ GPS พาเราไป มันก็ไกลพอสมควรที่จะเดินฝ่าอากาศหนาวๆ
อุณหภูมิเข้าใกล้จุดติดลบแถมฝนยังตกแบบนี้
อีกทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่ดั๊นโคดไม่เข้ากับอากาศ ณ จุดๆเน้อย่างยิ่ง เพลียยยยเลย
ดีนะที่กลับมายังไม่ป่วย เพราะลมฝน ลมหนาวมันตีหัวตีหน้ามาครึ่งค่อนวัน
เราใช้เวลาเดินจากวัดอาซากุสะมาประมาณ 15-20 นาที
เจ้ตามใจเราจริงๆ
บอกว่าอยากมาขอพรความรักวัดนี้ เจ้ก็พามา
ตอนแรกก็หายากเหลือเกิน แต่ก็เจอในที่สุด
ศาลเจ้าแมวแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องขอพรความรัก และกวักสิ่งดีๆเข้ามา
บรรดาสาวๆญี่ปุ่นที่อยากจะสมหวังในความรักจึงนิยมมากราบไหว้ขอพร
แต่คงด้วยวันที่เราไปเป็นวันธรรมดาแถมฝนตก คนเลยมีไม่เยอะเลย
เอาจริงๆ มีแค่เรากะเจ้อ่ะ…..
มาที่นี่ก็อย่าลืมเขียนแผ่นป้ายเอมะกันด้วยนะ ^^
เป็นวัดที่สงบจริงๆ เงียบ ไม่แออัดยัดเยียด คือดีอ่ะ
ณ ขณะนี้ ก้มดูอุณหภูมิในมือถือ อื้อหือออ 5 องศากับลมหนาวๆและฝนพรำๆ !!
นี่มันงานทรมานอะไรกันฟระคะเนี่ยยยย
เดินเลียบมาตามทางเดินที่มาเมื่อวานตอนเย็นตอนมานั่งกรึ่บๆ
ชิมบรรยากาศริมแม่น้ำสุมิดะ + ตึกอุนจิอาซาฮี่
การมาเดินริมแม่น้ำในท่ามกลางสภาพอากาศแบบนี้เป็นอะไรที่คิดผิดมากกกข่าาา
แต่ถ้าย้อนกลับไปก็จะทำนะ ครั้งหนึ่งในชีวิต
วันนี้หมอกลงจนมองไม่เห็นยอด Tokyo Skytree เลยยย
เอ ดูๆไป บรรยากาศคล้ายบ้านเราคลุกเคล้าฝรั่งเศสเลยเนอะ
นี่หลอกเขาว่าเป็นหอไอเฟลก็ได้อยู่นะ กิกิ
ดีนะที่แถวนั้นมี Information Center ที่มีห้องน้ำสะอาดเฟร่อๆให้เข้าฟรี คุณลุงใจดียิ้มรับบริการ
เลยขอใช้เวลาปรับสภาพมือที่โคดแข็งเสียหน่อย คือมันไร้ความรู้สึกไปหมดแล้ว
…เอาจริงๆ มาคราวนี้มันก็ไม่ได้แย่ไปซะทั้งหมด อย่างน้อยก็เจอซากุระบานแฉ่งอยู่บ้าง
มันจะไม่สวยเหมือนตอนฝนหยุดตกก็ตาม
แต่อย่างน้อยเราก็เป็นพวกแรกๆที่ได้สัมผัสซากุระแรกของปี
ไม่ต้องแย่งใครดูด้วย กิกิกิ
พอเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมลงใต้ดินกัน
คราวนี้เรากำลังจะไปกันที่วัดอีกวัดหนึ่ง ชื่อว่า Tokyo Daijingu
ซึ่งการเดินทางจะต้องใช้รถไฟใต้ดินละ เพราะไม่ใกล้เท่าไร
เราเดินมาลงที่สถานีแถวนั้น แล้วไปโผล่ที่สถานีอิดาบาชิ
นี่มัน Amazing Japan เหลือเกิน ใครกลัวความสูงนี่มีขาสั่นอ่ะ
บันไดเลื่อนนี่เลื่อนไปจนถึงสวรรค์ชั้น 10 เลยไง๊ !! สูงไป๊ !!
❄🌼 โตเกียว ไดจินกุ (TOKYO DAIJINGU)
ที่อยู่: 2-4-1, Fujimi, Chiyoda-ku, Tokyo, 102-0071 Japan
เปิด: 06.00-21.00 น.
การเดินทาง: ขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Oedo Line มาลงที่สถานี Iidabashi เดินต่ออีก 7 นาทีก็จะถึง
จากข้อมูล วัดนี้ถือเป็นอีกวัดที่สาวโสดมักจะมาขอพรความรัก
ถ้าเป็นช่วงวันวาเลนไทน์นี่คนจะเยอะมากกก
แต่นี่เราไปวันธรรมดาแถมฝนตก คนก็พอสมควรนะ
เด็กสาวญี่ปุ่นเนี่ยเพียบเลยย
ไม่ลืมที่จะเขียนแผ่นป้ายเอมะเช่นเคย
มีให้เลือกสารพัดลวดลาย เราเลือกลายนี้
ศาลเจ้าและวัดของญี่ปุ่นนี่จะขายดีมากพวกเครื่องรางของขลัง
เพราะเขาทำมาน่ารักน่าสะสมมากๆ มีเสี่ยงเซียมซีแบบน่ารักๆเต็มไปหมด
ระหว่างทางเดินในซอกแคบๆที่จะไปยังชิบุย่า เราเจอน้องหมาตัวนี้ รู้สึกถูกชะตา
ตอนแรกน้องหมาไม่ได้มองหน้าเรา แต่พอลั่นชัตเตอร์อีกครั้ง มันก็ยังโพสท่านัยน์ตาละห้อยแบบนี้
อยากรู้จังว่าแกมีเรื่องอะไรในใจ อยากระบายบ้างไหมเล่า
หิวแล้ว เจ้เลือกร้านอาหารด่วน
บอกแล้วว่าเราไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับร้านอาหาร
เลยไม่ได้สนใจว่าจะต้องไปกินร้านนั้นร้านนี้ ขี้เกียจ 5555
เลยตามใจเจ้ แล้วแต่เจ้เลยยย
เจ้เลือกร้านซูชิ ชื่อ Uobei Sushi Shibuya
โดยออกจากวัดแล้วกลับไปลงใต้ดินอีกครั้งแล้วนั่งไปลงชิบุย่า
ส่วนใหญ่เราเน้นเดินตามอย่างเดียวไม่ค่อยรู้ทางเท่าไร 555
เจ้บอก ร้านนี้สั่งซุชิเป็นรางเรียงแถวออกมาเลย
อยากกินอะไรก็จิ้มเลือกเมนูหน้าคอม แล้วเดี๋ยวมันจะมาหยุดด้านหน้าเราเอง
สนนราคาก็ไม่แพง เท่าที่จำได้ เรากินเยอะนะ จ่ายแค่ 300 บาท
กินเหลืออีกอ่ะ แอ๊ แย่อ่ะ
เอาจริงๆนะ ตอนอยู่ญี่ปุ่นคือโคตรเลี่ยนข้าวปั้นกับซูชิเลย กินบ่อยมาก
แต่ยอมรับว่าของแท้ที่ญี่ปุ่นมันอร่อยที่สุดจริงๆ
พออิ่มท้องกันแล้ว ก็ไปที่ใหม่กันต่อ
ไหนๆก็มาชิบุย่าแล้ว พอดีเพ่อนเราฝากซื้อของเกี่ยวกับพวกการ์ตูนต่างๆ
รวมถึง One Piece ด้วย เราชอบ One Piece อยู่แล้วเลยจะไปตามหาช้อปกัน
แต่ก่อนอื่นเราไปแวะร้านหนังสือการ์ตูนที่ต้องลงบันได ดูงงๆ ดูลึกลับอยู่ที่นึง
เพื่อตามหาหนังสือการ์ตูนให้เพื่อนหนึ่งเล่ม อื้อหือ บอกเลยว่าสายมังงะปลื้มแน่
เมื่อได้ของที่ต้องการ ก็ตรงไปยังตึก Parco กันเลย
Parco มันก็คือ Mall แห่งหนึ่งที่เป็นหนึ่งใน Mall มากมายที่ชิบุย่า
อากาศหนาวและฝนตกทำให้เราล้าพอสมควร แต่ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลนี่หายไป
เมื่อได้มายืนอยู่ตรงหน้าร้าน One Piece Shop แห่งนี้….
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
เรียกได้ว่า มันช่างฟิน ดีต่อใจสาวกวันพีซเหลือเกิน
แน่นอนว่าละลายทรัพย์ไปใช่ย่อยเหมือนกัน
นี่มันทริปอะไรฟระเนี่ย ! ><“
หอบของพะรุงพะรังออกจาก Parco มา
เจ้พาข้ามไปดูห้าแยกชิบุย่า
ที่สำหรับความวุ่นวายแต่โคตรมีระเบียบ
จุดที่ชมวิวได้ดีที่สุดคือ หน้าต่างบนตึก Starbucks
คนเยอะมากกกกก แต่ก็เบียดๆจนได้ที่นั่งที่ดีที่สุดจนมองเห็นแบบนี้
ดูๆไปก็สนุกใช้ได้เลยนะเนี่ย
จวบจนเวลาผ่านไปพอประมาณ นั่งใต้ดินกลับกันเถอะ
ขากลับที่พัก บอกเลยว่าเพลียหนักมาก ทั้งข้าวของที่หนัก
หัวหนักเพราะตากฝนตากลมมาทั้งวัน ตัวหนักเพราะแDกเยอะ
โอยยยย หนาวจนจะแข็งตายกันละ ฝนก็ตก คิดในใจจะเอาตัวเองมาทรมานทำไมว้าาา
ตอนนี้รีบเดินหาอะไรร้อนๆกระแทกปากท้องด่วนๆเลย เดินตามหาร้านที่เล็งกันไว้เมื่อวาน
เดินกันจนเกือบสุดถนน ในที่สุดก็เจอ ไม่รอช้า เข้าไปอย่างไว
สั่งอะไรไม่รู้ แต่ที่แน่ๆตอนแรกเราจะกินข้าว เห็นในเมนูดูน่าอร่อย ไปๆมาๆกินราเมงแลกกับเจ้ซะงั้น
ดูหน้าตาราเมงดูไม่มีอะไร แต่จริงๆอร่อยนะเอ้า ทำเล่นไป
เหมือนว่าจะจบวันอันแสนหนาวเย็นลงเพียงเท่านี้ใช่ไหม
บอกเลยว่าไม่ใช่จ้าาาาาาาาาา
พวกนางยังคงกลับไปช้อปกันต่อที่ดองกี้กันอีก
คราวนี้ก็กลับเที่ยงคืนตีหนึ่งพอๆกับเมื่อวาน
แถมได้ของกลับมาเยอะกว่าเดิม ก็พวกของฝากนั่นแหละนะ
แต่ที่สำคัญคือ เราเลิฟขนมไอศกรีมอันนี้มากกกกกกกกกกกกกกกก
คืนนี้นอนหลับตัวเบาไปอีก….
เงินในกระเป๋าปลิวไปหมดละ……ZZzzzz
🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹🌹
💖✔ Day 5 {10 March 2016} : Leaving Tokyo, So cute Narita
ใจหายแฮะ จะออกจากโตเกียวแล้ว
จะต้องบอกลาวัดเซ็นโซจิที่เดินไปมาหาสู่กันตั้งสามวัน
เห็นความเป็นไปในทุกช่วงเวลาแทบทุกวัน
บอกตามตรงว่าเป็นความไม่ชอบอีกอย่างหนึ่งในการเดินทางที่จะต้องรู้สึกแบบนี้
แต่อย่างน้อยวันที่ต้องโบกมือลากัน วัดเซ็นโซจิก็มีบรรยากาศสดใสของเด็กนักเรียนมาให้ได้เห็น
อาซากุสะคือแหล่งรวมคู่รักมุ้งมิ้งที่อิชั้นอิจฉาค่ะ แต่นี่ยังดีกว่าที่เกาหลีนะ
หันกลับมามองดูอาซากุสะอีกสักครั้งก่อนจะรีบเดินไป
คราวนี้ก็เป็นมหกรรมความลำบากของแท้
เพราะต้องขนเอาสัมภาระทั้งหมดทั้งมวลที่ซื้อมาและที่มีอยู่ลากไปขึ้นรถไฟให้ได้
โดยวันนี้เราจะออกจากตัวเมืองแล้ว จะไปนอนนาริตะ 1 คืน
เพราะวันกลับ เครื่องออกเช้า
เวลาไม่ค่อยโอเลยเนอะ มาถึงค่ำ กลับเช้า นี่ล่ะถึงถูกไง
…….
วันนี้เปลี่ยนจากรถไฟใต้ดินมานั่งรถไฟบนดินบ้าง
เรื่องรถไฟในญี่ปุ่นเข้าใจยากกว่าอ่าน Textbook Anatomy อีกนะ
อาจเพราะเราคงกินปลาน้อยมั้ง
แต่ไงก็ตาม ขึ้นจนได้ นั่งยาวไป ชมวิวเพลิน
ดูคนนั้นคนนี้ขึ้นลงสถานี สลับกันไปมา ง่วงงงงง
และแล้วก็มาถึง…
สถานีรถไฟญี่ปุ่นเป็นดินแดนพิศวง ไปกี่ทีๆ จะเดินออกดีๆไม่ได้
…หลงตลอด แม้แต่ที่นี่
หาทางออกยากไปมั้ย นี่ขนาดสถานีไม่ใหญ่มากนะเธอออ
กด GPS มั่วๆของมือถือเรา
(มือถือเจ้โดนความหนาวเข้าไป เครื่องแฮงค์ไปแล้ว อยู่ยากขึ้นอี๊ก)
พอออกมาจากตัวสถานีได้ ยังไม่หมดเคราะห์กรรม
หาทางออกไปโรงแรมที่จะนอนคืนนี้ยังไม่เจอ โอยยยยย
นี่ขนาดกำลังหลงทางนะ ยังมีหน้ามาถ่ายรูปไว้อีก
ระหว่างหลงทาง เจอชื่อร้านนี้ ถึงกับต้องควักกล้องมาถ่าย ชื่อน่ารัก
คืออออออ
เดินหลงทางจริงจังมากอ่ะ
เดินรอบเมืองเพื่อหาโรงแรมที่ระบุตัวตนไม่ได้
แล้วของก็หนัก (บ่นรอบที่ร้อยแล้ว)
และแล้ว จากการลองผิดลองถูกเป็นสิบ ในที่สุดก็ถึงทางออก !
พระเจ้ามาโปรด นั่นไง ที่ซุกหัวนอนคืนเน้ เฮ้ !!!!!!!!!
คืนนี้เรานอนกันที่ Narita U-City Hotel
เลือกเองเพราะอยากมาส่วนตัวอยู่แล้ว และก็ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ
อยู่ไม่ไกลจากสนามบินนาริตะเท่าไร ก็โอเคนะ
เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปโรงแรมมา
หลังจากพาร่างสะบักสะบอมไปเช็คอิน รับคีย์การ์ด เข้าห้องกันแล้ว
ก็โถม (น้ำหนัก) ตัวใส่ที่นอนจนพื้นโรงแรมสะเทือนกันเลย
และความดีงามของทุกที่พักในญี่ปุ่นคือมี Bathtub รักกกกกกมากอ่ะ
เดินทางมาทั้งวันแบบนี้ ใจจริงก็เพลียร่างมากนะ
อยากไปนวดเป็นบ้าเลย คิดตลอดทางว่ากลับบ้านต้องพุ่งตัวไปร้านนวดให้ได้
แต่ก็ทำพูดไปงั้น เพราะหลังจากวางของเสร็จ ล้างหน้าล้างตาแป๊บ
ก็ออกไปกันต่อ เอ้า ! เฮลโหลลล ก็นี่มาเที่ยวไง ต้องไม่เหนื่อยสิ
ตัดสินใจจะไป Aeon Mall Narita เพื่อหาอะไรกิน
และเนื่องด้วยเพื่อนๆฝากซื้อของแต่บางอย่างยังหาไม่ได้ที่ดองกี้
เลยว่าจะมาหาที่นี่ต่อ แหม เป็นเพื่อนที่ดี๊ดี…
ซึ่งเราสามารถขึ้นรถบัสของเมืองได้เลยที่ด้านหน้าสถานีรถไฟ
รถจะวนรอบเมืองเป็นเวลา ให้ลงเป็นจุดๆ ส่วนพวกเราก็กระโดดลงอิออนมอลล์เลย
จากโรงแรมมาอิออนมอลล์ก็ไม่ไกล 10-15 นาทีก็ถึง
Aeon Mall ค่อนข้างกว้างขวาง มีตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบเช่นเดียวกับดองกี้
แต่เป็นของที่ราคาสูงกว่า เครื่องสำอางก็มีให้เลือกเยอะ
สรุปคือ ถ้าจะมาผลาญเงินก็สมควรมา เพราะทุกอย่างมันน่าจับจ่ายจริงๆ
ชอบเสื้อผ้าร้านเขาเลยถ่ายมา
เรากับเจ้แยกกันไปซื้อของที่ต้องการแล้วค่อยมาเจอกัน
ก่อนจะพากันเดินไปโซนอาหาร ซึ่งจะบอกว่า
ที่นี่ไม่ใช่ธรรมดานะคะบอกเลยยย ทุกกล่องทุกเมนูนี่ระดับร้านอาหารดีๆได้เลย
อร่อยด้วย มากมาย ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่เสียดายวัตถุดิบจริง
จัดหนักจัดเต็มมันแทบทุกสิ่งอ่ะ ขนมปังนี่ไส้ทะลักไรงี้
พอได้ข้างของเครื่องใช้ ของฝาก ของกินครบ ก็กลับ
รถรถบัสแป๊บนึงก็ขึ้นรถ แบกของตุเลงๆกลับโรงแรม
ในส่วนของอาหารเย็น นี่แน่ใจนะว่ากินกันสองคน …
แล้วก็ไม่หมด…สม…
แต่ๆๆ แนะนำนะว่าอร่อยจริงๆ ญี่ปุ่นเขาให้อะไรนี่เน้นๆเนื้อๆโดยแท้
ไก่คาราเกะอร่อยสุดยอดอ่ะแกร (กล่องที่ติดป้ายสีชมพู)
ก่อนจะนอนก็ตรวจดูสัมภาระอะไรให้เรียบร้อย
แล้วก็รีบนอน ไฟล์ทเช้าของพวกเราคือ 09.15 น.
แต่เราควรไปถึงสนามบินก่อน 08.00 น.
เอาวะ ! หลับเอาแรงๆ ZZzzzzz
🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄🎄
💖✔ Day 6 {11 March 2016}: I hate to say “Sayonara”…
ผ่านไปเร็วเหลือเชื่อกับทริปนี้
6 วัน 5 คืน ที่สุดแสนจะโหด มัน ฮา ไม่ขำ หนาว ฝนตก ตังหมด หงุดหงิด เยอะอ่ะ
แต่สุดท้ายก็ฝ่าฟันกันมาได้จนวินาทีสุดท้าย
ตื่นเช้ามาเก็บของเตรียมเช็คเอ้าท์
แล้วรีบโบก taxi (ที่ดีโคตรๆ) ให้ไปส่งสนามบิน
แต่บอกเลยว่าแพงสึส จริงๆมันไปรถไฟได้แต่เราไม่เอาเอง
เพราะขี้เกียจเดินย้อนกลับไปขึ้นรถไฟ กลัวรอนาน ไปไม่ทัน กลัวไปหมด
แต่สุดท้ายก็มาถึงสนามบินนาริตะในยามเช้า
อื้อหือ สงัดสุดๆ ร้านรวงก็ยังไม่เปิด เคาน์เตอร์เช็คอินก็ยังไม่เปิด ดวก
…มีแต่ 7-11
ฉันมีความรักต่อ 7-11 ที่ญี่ปุ่นจากใจจริงเลยค่ะขุ่นพี่
พูดจากก้นบึ้งของสาวก 7-11 แห่งประเทศไทย
7-11 ญี่ปุ่นนี่คือดีย์……………….
ถึงอ่านไม่ออก แต่ก็ดูออกว่าน่าอร่อย
ขนมถุงๆตรงชั้นล่างๆคืออร่อยมาก เราชอบมากจนซื้อกลับมากินที่ไทย
เอาแอบมาในเป้แล้วนั่งกินตอนอยู่บนเครื่องด้วย
ดีใจนะที่ได้มารอขึ้นเครื่องที่นาริตะ
สนามบินอะไรสะอาดมากๆ กว้างขวาง มีมุมให้นั่งให้นอนอีกต่างหาก
และที่สำคัญ ห้องน้ำคือดีงามมว๊ากกกกกกกกกก
เรียกได้ว่าอยากนอนตรงไหนก็มีมุมให้นอน มีที่ชาร์ตแบทให้ด้วยเอ้า ดีไปนะ
และแล้ว ไฟล์ทของเราก็บอร์ดดิ้งผู้โดยสารเตรียมตัวกลับไทย
กลับบ้านของเรา
ซาโยนาระ นิปปง !!
❤สรุปรวมของทริปนี้❤
– รักส้วมญี่ปุ่น
– ปลื้มฟูจิซัง
– หลงทางทุกที่ที่ไป
– GPS กาก
– เงินหมด
– มี something เกิดขึ้นและจบลง
#ทริปนี้มีหมด
มาดูเรื่องค่าใช้จ่ายกันบ้าง เราตัดค่ากินค่าของฝากไปเลยนะ ราคาต่อคน
1. ค่าตั๋วเครื่องบิน AirAsia-X ไปกลับ > 10,203 บาท
2. ค่าที่พัก Shinjuku Kuyakusho-Mae Capsule Hotel 1 คืน > 999.34 บาท
3. ค่าที่พัก Komaya Ryokan 1 คืน > 1,660.39 บาท
4. ค่าที่พัก Asakusa D-Bill 2 คืน > 978*2 = 1,956 บาท
5. ค่าที่พัก Narita U-City Hotel 1 คืน > 971.14 บาท
6. ค่าตั๋วรถไฟ NEW (Narita Express) นาริตะ ไป ชินจูกุ > 999.34 บาท
7. ค่าตั๋ว Tokyo Subway Ticket 3 days > 469.91 บาท
8. ค่าตั๋ว Fuji-Hakone Free Pass รวม Romance Car > 2,597.02 บาท
9. ค่า Taxi จาก Kawaguchiko Station มาที่พัก Komaya Ryokan > 313.27 บาท
10. ค่าขึ้นกระเช้า Kachi Kachi Ropeway (20% Discount) > 181.70 บาท
11. ค่ารถบัสไป Kawaguchiko Station > 68.92 บาท
12. ค่ารถบัสไปกลับ Narita U-City Hotel กับ Aeon Mall > 131.58 บาท
🍧 รวม: 20,551.61 บาท

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา