24 มิ.ย. 2022 เวลา 00:03 • ความคิดเห็น
เป็นเด็กใหม่จะทำไงถึงไม่โดน kill idea
ผมไปให้สัมภาษณ์รายการ the secret sauce ของ the standard เมื่อวันก่อน ก่อนกลับ น้องเคน นครินทร์กับทีมงานขอให้ช่วยตอบคำถามทำ tiktok ของรายการ ผมเองไม่เคยมีประสบการณ์เรื่อง tiktok มาก่อนก็เลยเล่นสนุกตาม ทีมงานถามคำถามเร็วๆให้ผมตอบภายในหนึ่งนาทีอยู่สี่คำถาม โดยถามแทนใจคนรุ่นใหม่ คำถามแรกที่โดนเลยซึ่งก็น่าจะเป็นปัญหาในใจของเด็กใหม่ในที่ทำงานทุกคนก็คือ
…….ทำยังไงถึงไม่ให้โดนหัวหน้า kill idea
การเป็นเด็กใหม่ไร้ซึ่งประสบการณ์ ความรู้ที่ได้จากมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้รู้จริง ไม่ว่าจะเป็นเด็กใหม่ในที่ทำงาน หรือเป็นลูกที่เพิ่งกลับมาทำงานที่บ้าน มีป๊า มีนาย มีรุ่นพี่ที่เก๋ากว่า ทำงานมาหลายสิบปี รู้ธุรกิจกระจ่างดั่งฝ่ามือ
การที่เราจะใช้ common sense ไปเสนอไอเดีย โอกาสที่เขาจะไม่ฟังเรานั้นสูงมาก ทั้งเครดิตที่ไม่มีเลย ความเห็นส่วนตัวที่ยังไม่รู้อะไรจริงในมุมของผู้ใหญ่ ประสบการณ์ก็ไม่มี เด็กใหม่ส่วนใหญ่ที่คิดว่าไอเดียตัวเองนั้นเจ๋งก็มักจะถูกสกัดดาวรุ่งจนท้อถอยไปทั้งนั้น
3
ผมเองก็เคยเป็นแบบนั้น ช่วงแรกๆก็ได้แต่นั่งจ๋อง พยายามเรียนรู้งานและหวังว่าสักวันอีกหลายปี พอแก่กล้าหน่อย ตำแหน่งสูงหน่อยค่อยเสนอไอเดียก็ได้ แต่มีงานหนึ่งที่ทำให้ผมค้นพบเทคนิคที่ทำให้เด็กใหม่ หรือคนตำแหน่งเล็กสามารถมีปากมีเสียง ทำให้คนตำแหน่งใหญ่รับฟังได้
ตอนที่ผมรับงาน investor relations ที่ดีแทค เป็นงานที่ต้องพูดคุยกับนักลงทุนต่างประเทศเป็นหลัก ผู้ใหญ่ไม่มีใครอยากคุยด้วยเพราะทั้งนานทั้งโดนถามยากๆ ผมก็เลยเป็นคนเดียวส่วนใหญ่ที่ได้เจอนักลงทุน พอเจอไปซักพักก็ถูกคณะผู้บริหารเรียกให้ไปนั่งฟังข้อมูลในที่ประชุม ฟังไปฟังมาก็มีคนอยากรู้ความเห็นในมุมนักลงทุน ผมเป็นคนเดียวในนั้นที่ทุกคนหันหน้ามาถาม
ผมตอนนั้นในวัยแค่ยี่สิบเก้าปี พูดอะไรออกไปก็ไม่มีใครค้าน ผู้ใหญ่ทุกคนตั้งใจฟังแล้วเอาความเห็น เอาไอเดียที่ผมพูดไปพิจารณาอย่างจริงจังทุกครั้ง จนผมได้คิดว่า สิ่งที่ทำให้เขาฟังเด็กอายุยี่สิบเก้านั้น ไม่ใช่เพราะความคิดความอ่านของนายธนา
แต่เป็นเพราะผมเป็นตัวแทนนักลงทุนที่พวกเขาไม่ชอบเจอแต่รู้ว่าสำคัญต่างหาก… หลังจากนั้น ผมเลยรู้แล้วว่า ถ้าอยากให้ผู้ใหญ่ฟังเด็กอย่างผม หัวใจสำคัญก็คือต้องเป็นตัวแทนของคนที่ผู้ใหญ่ให้ความสำคัญแต่ไม่อยากเจอหรือไม่ค่อยได้เจอ
3
ผู้บริหารระดับสูงนั้นเก่งกล้าสามารถ เชื่อมั่น มีประสบการณ์สูง แต่สิ่งที่พวกเขาขาดเมื่อมีตำแหน่งสูงๆนั้นก็คือเวลาที่จะออกไปเจอกับลูกค้า แถมความสะดวกสบาย ทำงานในห้องแอร์ เรียกใครมาหาก็ได้ ทำให้ผู้บริหารไม่ชอบออกไปเดินร้อนๆข้างนอก ทั้งๆที่รู้ว่าลูกค้าสำคัญแต่น้อยคนนักที่จะได้เจอ ได้คุยกับลูกค้าตัวเป็นๆ แถมพอตำแหน่งสูงๆ คำด่าของลูกค้าก็มักจะแสลงหูกว่าปกติ
เทคนิคของเด็กใหม่ที่ผมอยากจะแนะนำก็คือ การทำตัวเป็นตัวแทนลูกค้า ไปคลุกคลี ไปเข้าใจ และเอาคำพูดของลูกค้ามาเล่าประกอบกับไอเดียที่เราคิด ผู้บริหารจะเถียงได้ยากเพราะเขาไม่เคยเจอลูกค้าจริงๆ
เทคนิคของผมในการเอาประโยคของลูกค้ามากระแทกใจผู้บริหารเพื่อเปิดทางไปสู่ไอเดียที่จะนำเสนอก็มีตั้งแต่เอาประโยคทอง (verbatim) มาแสดงในหน้าเดียว ประโยคเด็ดก็ใหญ่หน่อย อาจจะเป็นประโยคที่เราจงใจเน้นหรือเป็นประโยคที่ลูกค้าบ่นมาเยอะก็ได้ คำบ่นอื่นก็บางหน่อย หรือบางทีก็ไปถ่ายคลิปลูกค้ามาเลยก็ทรงพลังพอสมควร
การทำเซอร์เวย์ลูกค้าจำนวนหนึ่งก็เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลเช่นกัน เวลาเอาความเห็นลูกค้ามาก่อนนั้น ทั้งได้ใจผู้บริหารที่รู้ดีว่าลูกค้าคือพระเจ้า และได้อำนาจการพูดต่อเพราะผู้บริหารไม่เคยเจอลูกค้า ทำให้เขาจะเริ่มฟังขึ้นมาได้
คำว่า “ลูกค้า” ในความหมายลักษณะนี้ไปได้ถึงกรณีภายในด้วยเช่นกัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ทำงานเก่าผมมีปัญหาระหว่างผู้บริหารระดับกลางกับระดับสูง ผู้บริหารระดับสูงไม่ค่อยเข้าใจความต้องการของผู้บริหารระดับกลาง โอกาสที่ผู้บริหารระดับกลางคนใดคนหนึ่งจะเดินไปเล่าก็ยาก
เล่าไปก็อาจจะโดนด่าฟรีๆ ไม่มีใครกล้าทำแบบนั้น ผมก็เลยใช้วิธี verbatim ให้ผู้บริหารระดับกลางจำนวนเป็นร้อยคนมาในห้องก่อน แล้วเขียนปัญหาลงบน post it แล้วผมรวบรวมเอาปัญหาหลักเป็นประโยคที่ดูชัดๆแบบ verbatim เรียงไว้แบบสะเปสะปะร่วมกับปัญหาจากประโยคอื่นๆในหนึ่งหน้า
พอมองจากจอแล้วก็จะเห็นปัญหาอยู่สิบกว่าปัญหาที่คนร้อยคนเห็นพ้องต้องกัน บางปัญหาที่หนักและใหญ่ก็จะเห็นชัดกว่า หลังจากนั้นก็ให้ผู้บริหารระดับสูงเดินเข้ามาดู ทุกคนอึ้งกับประโยคที่เห็น แล้วรีบควักมือถือขึ้นมาถ่ายรูป ไม่มีใครพูดอะไรนอกจากรีบนัดประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาที่เห็นบนจอนั้นแทบจะทันที
การที่เด็กใหม่หรือคนตำแหน่งเล็กจะอยากมีปากมีเสียง อยากเสนอไอเดียบ้าง เลยต้องใช้จุดอ่อนผู้บริหารที่เขาไม่มีเวลา ไม่ค่อยได้เจอลูกค้า มาเป็นจุดแข็งของเรา ซึ่งเด็กใหม่ทำได้ไม่ยากเลย แล้วเอาเสียงของลูกค้ามาเป็นเหตุผลและเครดิตสนับสนุนไอเดีย
1
แล้วถ้าผู้บริหารยังไม่เชื่ออีกล่ะ …คงมีน้องๆถาม ไม้ตายสุดท้ายและเป็นไม้ตายที่ผมใช้แล้วเปลี่ยนวิธีคิดขององค์กรได้เลยก็คือการชวนผู้บริหารออกไป “เดิน” เจอลูกค้าด้วยกัน ไปฟังปัญหา ไปได้ยินคำด่าของลูกค้า (หลายบริษัทให้ผู้บริหารไปฟังเสียงลูกค้าที่ callcenter)
1
การที่ได้เดินออกไปแล้วโดนด่าซึ่งหน้านั้นจะทำให้ผู้บริหารตกใจ ไม่อยู่ใน comfort zone และอยากจะแก้ไขปัญหานั้นๆ รับฟังไอเดียต่างๆขึ้นมาทันที ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ถ้าเราสามารถชวนเจ้านายเราไปฟังลูกค้า ชวนป๊าเราที่อยู่แต่ในออฟฟิศ ออกไปเจอลูกค้าได้ เขาก็น่าที่จะรับฟังเรามากขึ้นไม่มากก็น้อย
1
ในคลิป tiktok นั้น เขาให้เวลาผมแค่หนึ่งนาทีในการตอบว่าทำยังไงถึงจะไม่โดน kill idea. ผมไม่ได้มีโอกาสอธิบายอะไรได้ยาวๆแบบนี้ ก็เลยถือโอกาสมาตอบต่อให้ครบถ้วนตามที่คิดในเพจนี้ละกันนะครับ…
โฆษณา