21 มิ.ย. 2022 เวลา 16:52 • การศึกษา

ฉันไม่กลัววันพรุ่งนี้

ประสบการณ์ชีวิตของคุณจิ้งยู้ แซ่เตีย
มีการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความกังวลในเรื่องต่าง ๆ ของคนในสังคมในยุคปัจจุบันนี้พบว่าคนส่วนใหญ่มีความกังวลในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องการเป็นอยู่รวมทั้งเรื่องสุขภาพของตนเอง ดังนั้นเราจึงพอสรุปได้ว่าคนกำลังกลัวกับอนาคตหรือวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง เพราะเขาไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งถ้าหากสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตนั้นเป็นสิ่งที่ดี ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร?...
แต่ถ้าหากสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตนั้นเป็นสิ่งที่ลึก ๆ ในใจของเขาไม่อยากให้เกิดขึ้น และเป็นเหมือนคลื่นลมพายุรุนแรงที่เข้ามาถึงเขาแบบไม่ทันตั้งตัวล่ะ เขายังทนได้ไหม?.. เขาจะฝ่าฟันได้ไหม?...
ผมเคยเจอบางคนที่ตอนยังไม่เจอกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตเขา เขามักจะพูดว่า “ผมไม่กลัวหรอก อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด!”...
แต่จริง ๆ แล้วเมื่อเหตุการณ์ที่เขาไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นในชีวิต เขาก็เริ่มสับสนเริ่มรู้ว่าเขานั้นอ่อนแอ เริ่มหมดหวัง เหมือนเรือที่ลอยคว้างอยู่กลางมหาสมุทรที่ไม่รู้ว่าจะไปทางทิศไหน เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะรู้สึกว่าสิ่งที่เขามีในชีวิตหรือยึดมาตลอดชีวิตของเขานั้น มันไม่สามารถที่จะช่วยเขาได้เลย
ซึ่งสถานการณ์เวลานั้นจะบีบให้ส่วนลึกในจิตใจของเขาต้องพูดออกมาว่า“ช่วยด้วย!”... ช่วยฉันด้วย”... แล้วผู้ใดล่ะที่จะสามารถช่วยเขาได้?...
ผู้อ่านที่รัก... ถ้าชีวิตของเราในแต่ละวันมีแต่สิ่งที่ดี ๆ เกิดขึ้นเราก็คงไม่ต้องการใครที่จะมาช่วยแต่วันพรุ่งนี้ของเราอาจจะเจอกับสิ่งเลวร้าย ซึ่งบางครั้งเราก็อาจจะจัดการกับมันได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าหากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้นมันเกินกำลังของเราหรือมันกำลังจะคร่าชีวิตของเราไปล่ะ!... เรายังมั่นใจหรือว่าเราจะจัดการกับมันได้?... เรามั่นใจหรือว่าเรามีความพร้อมที่จะเผชิญกับมัน?...
ต่อไปนี้คือประสบการณ์ชีวิตของชายอาวุโสท่านหนึ่ง ซึ่งท่านได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างมากมาย และตลอดชีวิตของท่านก็เจอกับปัญหาและอุปสรรค์เหมือนกับคนทั่ว ๆ ไป ซึ่งท่านก็สามารถเผชิญและผ่านมันมาได้โดยตลอดแต่แล้ววันหนึ่งท่านก็ได้พบกับสิ่งเลวร้ายที่ได้เกิดขึ้นในชีวิตของท่าน ซึ่งเกินกำลังของท่านในการเผชิญกับมันนั่นก็คือ ท่านกำลังเผชิญหน้ากับมัจจุราชแห่งความตาย
เวลานั้นท่านกำลังหมดหวัง สับสน และกังวลในชีวิต ในจิตใจลึก ๆ ของท่านมีเสียงดังถามตัวเองว่า... “ตายแล้วไปไหน?... ฉันกำลังจะไปไหนฉันไม่มีความหวังเลย”... ในเวลานั้นเองท่านก็ได้พบกับผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่ท่านสามารถจะฝากชีวิตและฝากอนาคตได้ และผู้นั้นที่ท่านได้พบก็เป็นผู้ที่ลึก ๆ ในจิตใจมนุษย์ทุกคนกำลังแสวงหาอยู่
ประสบการณ์ชีวิตของคุณจิ้งยู้ แซ่เตีย
ผมชื่อจิ้งยู้ แซ่เตีย ปัจจุบันอายุ 77 ปี ผมเป็นคนจีนที่นับถือศาสนาแบบคนจีนทั่ว ๆ ไป ผมเคยร่วมกับองค์การกุศลต่าง ๆ และช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันตามกำลังที่ช่วยได้ และผมก็มีความสุขกับ3การประกอบธุรกิจ ถึงแม้จะมีปัญหาอยู่บ้างแต่ผมก็ผ่านมันมาได้ ผมมีลูก 10 คนที่ประสบความสำเร็จและมีความเจริญในหน้าที่การงาน เป็นคนดีของสังคม มีหลานที่น่ารักหลายคน
ในเวลานั้นชีวิตของผมนับว่าเป็นผู้อาวุโสที่มีความสุขและประสบความสำเร็จในฐานะของ “อาป๊า” และ “อากง” ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมนั้นมีความสุขดี แต่เมื่อชีวิตกำลังดำเนินไปเรื่อย ๆ อยู่นั้น ความไม่แน่นอนของชีวิตและสิ่งเลวร้ายบางอย่างที่รออยู่เบื้องหน้าก็ได้เกิดขึ้นในชีวิตของผม....
ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิต
วันที่ 12 สิงหาคม 2004 เป็นวันที่เฉลิมพระชนมพรรษาของพระราชินี ผมมีความตั้งใจว่าจะไปเที่ยวที่สนามหลวง แต่เมื่อขณะเดินทางไปนั้นผมมีอาการคล้ายจะเป็นลม จึงได้ตัดสินใจกลับบ้านทันทีเพราะนี่เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะเกิดกับผม ในวันรุ่งขึ้นผมได้เข้าไปตรวจเช็คร่างกายที่โรงพยาบาล เมื่อคุณหมอได้ทำการตรวจเช็คร่างกายและรักษาอาการเบื้องต้นแล้ว
อาการวิงเวียนศีรษะก็ยังไม่ดีขึ้น จึงได้ทำการย้ายมาที่สถาบันทรวงอกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านทรวงอก และได้ทำการตรวจที่หัวใจและช่องอกของผม จึงได้พบสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้น คือโรคหลอดเลือดโป่งพอง ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดใหญ่ที่สูบฉีดเลือดที่ออกจากหัวใจขยายมากและมีการเสื่อมสภาพ เหมือนลูกบอลลูนที่โป่งพองออกมาหลายลูกที่รอคอยการแตก
อาการของผมเป็นทั้ง 3 จุด ตลอดเส้นหลอดเลือด จุดแรกชิดขั้วหัวใจ ปอด และช่องท้องตามลำดับ...
ซึ่งแพทย์มีความเห็นว่าอาการของผมค่อนข้างหนักทำให้ผมและคนในครอบครัวของผมวิตกและว้าวุ่นในจิตใจมาก ลูก ๆ ของผมซึ่งเป็นแพทย์ก็ได้ทำการส่งฟิล์มเอ็กซเรย์ไปให้น้องชายของผมซึ่งเป็นแพทย์ทางด้านศัลยกรรมที่อเมริกาเพราะการรักษาอาการของผมค่อนข้างเสี่ยงต่อชีวิต เนื่องจากผนังหลอดเลือดเริ่มมีการฉีดขาดตลอดแนวความยาวของหลอดเลือดที่ชิดกับขั้วหัวใจ ซึ่งอยู่ใกล้กับอวัยวะที่สำคัญอีก 2 จุด คือปอด และช่องท้อง
น้องชายของผมจึงได้ให้ผมเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะผ่าตัดหรือไม่ เวลานั้นผมมีความวุ่นวายใจและความกดดันอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่แพทย์ได้ให้ผมนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ท่านได้กำชับผมไม่ให้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเพิ่มความดันของหลอดเลือด เช่นห้ามหัวเราะเสียงดัง ห้ามไอ ห้ามเบ่ง และห้ามเดิน หลังจากนั้นลูก ๆ และญาติ ๆ ได้มาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาล
ผมก็ได้แต่เพียงพูดปลอบใจพวกเขาว่า “อาป๊ามีกำลังใจดี ไม่เป็นอะไรมากหรอก!”... (แต่จริง ๆ แล้วผมก็ปลอบใจตัวผมเองด้วย)แต่ลูก ๆ ของผมแต่ละคนกลับห่วงใยผมเป็นอย่างมาก เพราะรู้ถึงขั้นตอนของการรักษาทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงสูง ขณะที่ชีวิตผมกำลังเผชิญหน้ากับความตายอยู่นั่นเอง ลูกชายของผมซึ่งเป็นแพทย์และเป็นคริสเตียนได้พาพี่น้องคริสเตียนบางคนไปเยี่ยมผมที่โรงพยาบาล
พวกเขาได้หนุนใจและอธิษฐานทูลขอให้พระเจ้าทรงช่วยเหลือผม นี่เป็นโอกาสแรกที่ผมได้สัมผัสเรื่องราวของพระเจ้า ซึ่งหลังจากที่พวกเขาอธิษฐานเผื่อผมแล้วทำให้ผมสบายใจขึ้นอย่างมาก4ถึงแม้ขณะนั้นผมยังไม่เข้าใจสิ่งใดก็ตาม คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ผมได้นอนหลับอย่างสนิทที่สุดนับตั้งแต่พักอยู่ในโรงพยาบาล
การตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต
เมื่อกำลังใกล้วันที่ถูกกำหนดให้มีการทำการผ่าตัด ทางโรงพยาบาลก็ได้จัดเตรียมทีมคุณหมอและอุปกรณ์ต่าง ๆ ส่วนผมได้มีโอกาสนิ่งคิดถึงชีวิต… ขณะที่รอการผ่าตัด น้องชายของผมได้ให้ผมและลูก ๆ ของผมช่วยกันตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของผม...“ผ่าหรือไม่ผ่า”...
เฝ้าถามตัวเอง เพราะผมยังสองจิตสองใจอยู่ เวลานั้นผมรู้เพียงว่าขั้นตอนการผ่าตัดนั้นสลับซับซ้อนและอันตรายมาก... เมื่อผมยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ลูกชายของผมที่เป็นคริสเตียนได้มีการเรียกประชุมพี่น้องทั้งหมดให้มาประชุมร่วมกันและประเมินผลดีและผลเสียในการผ่าตัดครั้งนี้ในที่สุดพวกลูก ๆ จึงตัดสินใจลงคะแนนเสียงกัน
ซึ่งผลการตัดสินใจของลูก ๆ ออกมาเป็นบทสรุปว่า ควรทำการผ่าตัด 5 เสียง และไม่ผ่าตัด 5 เสียง พวกเขาจึงได้มาบอกให้ผมทราบถึงผลการตัดสินใจ และให้ผมตัดสินใจเองครั้งสุดท้ายว่าจะผ่าหรือไม่... เวลานั้นผมคิดถึงพระเจ้า ถึงแม้ขณะนั้นผมจะไม่รู้เรื่องของพระองค์มากนักและผมก็ตัดสินใจว่า “ไม่ผ่า” ความรู้สึกสบายใจได้เข้ามาแทนที่ความวิตกกังวล...
ในเช้าวันต่อมา ผมจึงได้แจ้งกับแพทย์ที่ทำการตรวจรักษาผมว่า ผมตัดสินใจยกเลิกการผ่าตัดและจะกลับไปรักษาตัวเองต่อที่บ้าน ทางแพทย์ก็อนุญาตตามทผี่ มต้องการหลังออกจากโรงพยาบาลได้2 วัน ลูกชายก็ได้ชวนผมไปคริสตจักร ผมก็ตอบตกลงทันที.. เมื่อผมมาถึงคริสตจักรก็พบว่าคนที่นั่นรู้เรื่องราวของผม จึงเข้ามาทักทายผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และบอกว่าอธิษฐานเผื่อสำหรับสุขภาพของผมเสมอ
ในวันนั้นผมได้รู้จักพระเจ้าผู้ทรงสร้างผมมากขึ้น ผมได้รู้แล้วว่าชีวิตของมนุษยไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่มีพระเจ้าเป็นผู้สร้าง ซึ่งพระองค์ประสงค์ให้มนุษย์นั้นเชื่อฟังพระองค์
แต่มนุษย์เรากลับปฏิเสธพระเจ้าและไม่เชื่อฟังพระองค์ ทั้งยังหันไปทำความผิดบาปหลายอย่าง ชีวิตของมนุษย์จึงต้องพบกับปัญหาและสิ่งที่เลวร้ายต่าง ๆ มากมาย มนุษย์ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะอยู่รอด ต้องดิ้นรนเพื่อได้มาซึ่งความสุข แต่กระนั้นมนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะพบกับความสุขที่แท้จริงในชีวิตได้เลย
ยิ่งกว่านั้นก็คือเมื่อมนุษย์เราจากโลกนี้ไป ก็จะต้องไปรับการพิพากษาโทษความผิดบาปจากพระเจ้าตามการกระทำของแต่ละคนและในที่สุดก็จะต้องทุกข์ทรมานในบึงไฟนรก... แต่พระเจ้าทรงรักมนุษย์ พระองค์ไม่อยากให้มนุษย์ต้องพบกับจุดจบที่น่ากลัวเช่นนี้เลย
ดังนั้นเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์จึงได้ทรงส่งพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นจากโทษบาป... ผมได้รู้ว่าพระเยซูไม่ได้มาเพื่อการอย่างอื่น แต่เหตุผลเดียวที่พระองค์เข้ามาในโลกก็เพื่อมาตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปให้แก่มนุษย์เรา และนำชีวิตของมนุษย์เรากลับไปสู่พระหัตถ์แห่งความรักของพระเจ้า
ดังนั้นหากผู้ใดที่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนผิดคนบาป และหันกลับมาพึ่งในพระเยซูคริสต์ พระองค์ก็จะเป็นผู้รับโทษบาปแทนเขา เขาจึงพ้นจากโทษบาปทันที และพระองค์ยังสัญญาว่า จะให้เขาได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์หลังจากที่เขาจากโลกนี้ไป
เมื่อผมได้รู้เช่นนี้ ผมจึงได้สารภาพความผิดบาปและได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตของผม ทั้งยังได้มอบสิทธิ์ในชีวิตของผมให้พระองค์เป็นผู้ดูแล ต่อไปนี้ชีวิตข้างหน้าของผมจะดีจะร้าย จะเป็นจะตาย ผมก็ไม่กลัวอีกต่อไปเพราะผมรู้ว่าสถานที่ที่ผมจะได้อยู่อย่างถาวรนั้นคือที่ใด ผมมีความหวังแล้ว...
เวลานี้ความชื่นชมยินดีและสันติสุขที่มาจากพระเจ้าได้หลั่งไหลเข้ามาสู้ชีวิตของผมอย่างเปี่ยมล้นผมรู้ว่าการตัดสินใจในการเชื่อพระเจ้าของผมนี้ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและดีที่สุดในชีวิตของผม และผมขอบคุณพระเจ้าในการเจ็บป่วยครั้งนี้ เพราะทำให้ผมมีโอกาสได้รู้จักกับพระเจ้าที่ให้อภัยในความผิดบาปของผม และยังเมตตาให้ผมมีชีวิตจนถึงวันนี้ เพื่อที่จะผมจะได้บอกถึงความรักของพระองค์แก่คนอื่น ๆ...
ท่านทราบไหมว่าคณะแพทย์ที่เชี่ยวชาญโรคนี้ที่ได้ทำการวินิจฉัยโรคของผม รวมทั้งในครอบครัวที่ใกล้ชิดของผมเองก็มีแพทย์อยู่หลายคน ต่างมีความเห็นว่าอาการของผมนี้ถ้าไม่ทำการผ่าตัดอาจมีชีวิตอยู่ได้แค่ 1-2 สัปดาห์หรืออย่างมากก็เพียง 1 เดือนเท่านั้น แต่เพราะพระคุณของพระเจ้าที่เมตตาต่อผม ทำให้ผมยังมีชีวิตที่ยืนยาวมาจนถึงบัดนี้ซึ่งก็ผ่านมา 2 ปีแล้วผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงควบคุมโรคนี้ไว้
ซึ่งถ้าหากจะกำเริบขึ้นมาอีกผมก็ขอน้อมรับสิ่งที่พระองค์ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น ผมรู้แล้วว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ประทานชีวิตและลมหายใจให้กับมนุษย์เรา ดังนั้นจึงมแี ต่พระองค์เดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์ชี้ขาดว่า ผมจะมีชีวิตอีกยาวนานเท่าไหร่ ผมพร้อมอยู่เสมอ ไม่ว่าพระองค์จะให้ผมมีชีวิตอยู่ในวันนี้ หรือวันพรุ่งนี้พระองค์จะให้ผมจากโลกนี้ไป ผมก็ไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว
เพราะผมรู้แล้วว่าใครเป็นผู้นำทางชีวิตของผม และผมมั่นใจอย่าง100% ว่าถ้าผมต้องจากโลกนี้ไป ผมก็จะได้ไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้าผู้ทรงสร้างชีวิตของผมเป็นนิจนิรันดร์...
ผู้อ่านที่รัก...หลายคนคิดว่าเมื่อมาหาพระเจ้าแล้วโรคร้ายต้องหายแน่นอน แต่ความจริงแล้วอาจไม่ใช่เช่นนั้น เพราะคนที่เชื่อพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้น เขาจะมอบชีวิตของเขาให้อยู่ภายใต้สิทธิ์ของพระองค์ ต่อไปนี้ชีวิตจะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับพระองค์
แต่สิ่งที่เขาที่จะได้รับจากพระองค์ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกว่า การหายจากโรคร้ายทางร่างกายก็คือ การได้รู้จักความรักของพระเจ้า ได้รับการอภัยโทษความผิดบาป และได้มีส่วนในแผ่นดินสวรรค์ของพระองค์... วันนี้ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่กำลังต่อสู้กับความผิดบาป หรือกำลังเผชิญกับสิ่งที่เลวร้าย ซึ่งท่านไม่สามารถที่จะควบคุมหรือเอาชนะมันได้ หรือถ้าหากท่านเป็นคนหนึ่งที่กำลังกังวลกับวันพรุ่งนี้
ขอเชิญท่านกลับมาหาพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงรักท่าน จนได้ประทานพระเยซูคริสต์ให้มาเป็นผู้ช่วยท่านให้รอดจากความผิดบาป พระองค์เป็นผู้ที่สามารถช่วยให้ท่านเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ในวันพรุ่งนี้ และพระองค์ปรารถนาที่จะให้ท่านได้อยู่ในแผ่นดินสวรรค์กับพระองค์ตลอดไปถ้าท่านปรารถนาที่จะหันกลับมาหาพระเจ้า ขอให้ท่านอธิษฐานทูลต่อพระองค์ดังน.ี้ ..
“ข้าแต่พระเจ้า... ข้าพระองค์ได้ทราบแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิตให้แก่ข้าพระองค์แต่ข้าพระองค์กลับปฏิเสธพระองค์และได้ทำความผิดบาปมากมายขอพระองค์ที่ทรงให้พระเยซูคริสต์มารับโทษความผิดบาปแทนข้าพระองค์บนไม้กางเขนแล้ว ข้าพระองค์ขอเชื่อพึ่งในพระองค์และขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์มีกำลังที่จะเผชิญกับวันพรุ่งนี้ต่อไปอธิษฐานทูลขอให้พระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน”...
ถ้าท่านได้ทูลต่อพระองค์ด้วยความจริงใจแล้ว ก็ขอให้มั่นใจเถิดว่า พระเจ้าได้ทรงอภัยโทษบาปให้แก่ท่านแล้วอย่างแน่นอน และพระองค์จะทรงดูแลชีวิตของท่านตลอดไป...
โดยอาจารย์ นิกร สิทธิจริยาภรณ์
สารบัญ Blockdit christianthai
ซีรีส์ หนังสือเสียงคริสเตียน
 
ซีรีส์ แบ่งปันข้อพระคัมภีร์โดย ChatGPT
ซีรีส์ ใบปลิวคริสเตียน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา