23 มิ.ย. 2022 เวลา 11:03 • การเมือง
มุมมองชีวิตในยุคเศรษฐกิจติดลบ โดย ธนินท์ธรณ์
cr.ข่าวสด
ผมออกมาตัดผมในช่วงบ่าย ๆ เย็น ๆ ตอนที่โรงเรียนกำลังเลิก ในร้านตัดผมติดแอร์ อากาศกำลังเย็นสบาย และสบายมากขึ้น เมื่อเจ้าของร้าน ติดพัดลมเพดานตัวใหญ่ เปิดเบา ๆ ให้มันทำงานร่วมกับเครื่องปรับอากาศ ที่ปรับความเย็นไว้ที่ 28 องศาฯ ก็ทำให้รู้สึกว่า แต่ละธุรกิจ แต่ละผู้ประกอบการ ก็มีวิธีการประหยัดพลังงานในยุคที่พลังงานโลกแพงในแบบของตน
ผมมองออกไปข้างนอกร้าน บนถนนที่แดดยังแรงจัด แม้จะเป็นเวลาบ่ายสามกว่า ๆ มันเต็มไปด้วยบรรดารถรับส่ง ไม่ว่าจะเป็นรถส่วนตัว รถตู้ รถสองแถวเล็ก(กะบะ) และที่เยอะที่สุด คือรถมอเตอไซค์ที่เด็กนักเรียนขี่มาโรงเรียนกันเอง
ผมมองย้อนไปยังวันที่ผมยังเด็ก
สมัยผมยังเด็ก ก่อน พ.ศ. 2528 ช่วงอนุบาล ประถม ผมนั่งรถบัสของโรงเรียน เพราะโรงเรียนอยู่ในตลาด ห่างจากบ้านที่อยู่ในค่ายพอสมควร พ่อเป็นทหารอากาศ มีลูกสองคน พ่อมีมอเตอไซค์แค่คันเดียว เอาไว้ขี่ไปทำงาน มีจักรยานแม่บ้านเอาไว้ให้แม่ใช้หนึ่งคัน มี bmx ให้ผม อีกหนึ่งคัน ส่วนน้องชาย ยังไม่มี เพราะยังเล็กเกินกว่าจะขี่จักรยานได้
ในทุกวัน พ่อกับแม่ต้องตื่นเช้ามาจักแจงเรื่องอาหาร พ่อต้องช่วยแม่ทำกับข้าวแต่เช้า เพื่อให้ลูกและทุกคนในครอบครัวได้มีข้าวกินในตอนเช้า แต่งตัวไปทำงาน แม่ก็รอส่งผมกับน้องชายขึ้นรถบัสของโรงเรียน และพ่อเอง ก็กลับบ้านมากินข้าวเที่ยงที่บ้านอีกด้วย
ในสมัยนั้น ไม่มีเตาแกส แต่ก็ยังมีเตาไฟฟ้าเอาไว้ต้มน้ำฝนดื่ม มีหม้อหุงข้าวไฟฟ้า มีตู้เย็นเอาไว้เก็บอาหารสด ซึ่งในยุคสมัยนั้นแต่ละบ้านก็จะลุกขึ้นมาหุงหาอาหารเอาไว้กันตั้งแต่เช้า วันหยุดเสาร์ อาทิตย์
วันหยุดของพ่อ พ่อลากไม้ฟืนมาจากหลังบ้าน เขตติดกับ ขส.กองบินสี่ พ่อสับไม้เป็นท่อนเตรียมไว้ให้แม่ เอาฟืนมาเผาถ่านใช้ในช่วงวันธรรมดา เรียกได้ว่า แม่ เผาถ่านใช้เองด้วยตัวคนเดียว
เรามีถ่านใช้ ไม่มีเตาแกส ไม่รู้จักด้วย ว่าหน้าตามันเป็นยังไง แต่เรามีเตาไฟฟ้า รุ่นล่าสุดในยุคนั้น คือเตากลม ๆ แบน ๆ เตี้ย ๆ เป็นเตาดินเผา มีร่องไว้ใส่ขดลวดสปริง เอาขดลวดสปริงมาวางในร่องเตาดินเผา ร่องหน้าตาเหมือนขดยากันยุงยังไงยังงั้น เกี่ยวขั้วสองข้างเสร็จก็เสียบไฟใช้ได้เลย มีข้อระวังคืออย่าทำน้ำหกใส่ เดี๋ยวขดลวดสปริงขาด
ข่าวสารที่เราได้รับในยุคสมัยนั้นก็มีแค่ ทีวี และวิทยุ ซึ่ง เราจะฟังวิทยุกันเป็นหลัก รายการทีวี จะมีแค่ช่วงบ่ายสี่โมง ถึงสามสี่ทุ่มเท่านั้น
เราไม่เคยได้ยินข่าวมะนาวแพง พริกแพง หมูแพง ไม่ใช่เพระเพราะแม่เปิดแต่ละครทางวิทยุ เปิดรายการเพลงลูกทุ่ง ในยุคที่คนยังเขียนจดหมายเข้ามาของเพลงกับนักจัดรายการ แล้วแกก็จะอ่าน และตอบคำถามกับแฟนรายการในทุกฉบับ
บ่าย ๆ ก็จะมีลิเกทางวิทยุ จนย้ายไปออกสื่ออีกชนิดนึงคือรายการทีวีลิเกรวมดาวดารา เจ๊วิญญู จันทร์เจ้า นึกไปก็ขำ ลิเกแต่งเต็ม แต่คนดูก็เพลินกับชุดระยิบระยับในทีวีขาวดำ นอกจากจะเปิดฟังรายการบันเทิง แม่ก็จะเปิดรายการข่าวด้วย ซึ่ง อาจจะไม่ได้ตั้งใจเปิดนักเพราะเป็นช่วงเวลาที่โดนบังคับฟัง หมุนคลื่นไหน ก็มีข่าวจากกรมประชาสัมพันธ์ทุกช่อง
เรียกได้ว่า ข่าวที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด น่าจะเป็นข่าวสงครามระหว่าง อังกฤษ กับหมู่เกาะฟอร์คแลนด์ ที่อยู่อีกซีกโลกนึงก็ได้ ก็คงจะเหมือน ข่าวรัสเซียกับยูเครนที่ถูกหนุนโดยนาโต้ ที่ถูกหนุนโดยไอ้กันกันอีกต่อนึง สงครามในสมัยนี้ มันซับซ้อนนะครับ
ไอ้ที่เราไม่เคยได้ยินข่าวของแพง ก็อาจจะเป็นเพราะ ในยุคนั้น แทบทุกบ้าน จะใช้ประโยชน์จากพื้นดินที่แต่ละบ้านมีให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เรา....เรียกว่า แต่ละบ้าน มีมะม่วง มะนาว กล้วย พริก กะเพรา ตะไคร้ มะกรูด ขิง ข่า ชะอม มะยม ขนุน มะขาม ที่พ่อกับแม่ และบรรดาข้าราชการในค่ายแต่ละบ้านปลูกไว้ เรียกได้ว่า ปั่นจักรยานไปบ้านไหน ก็เด็ดกินกันได้ไม่เคยมีใครว่า
เรามีไข่จากไก่ที่เลี้ยงไว้ไม่เคยขาด เงินเดือนพ่อน้อย แต่ไม่เคยอดอยาก ในส่วนของลูก ๆ เช้าตื่มมาดูสี่ยอดกุมาร กินข้าว ล้างจานชาม คว้าจักรยาน bmx ออกไปเล่นสนุกกับเพื่อน ช่วยแม่รดน้ำต้นไม้ อยู่ใกล้ ๆ พ่อแม่ ให้เขาได้เรียกใช้
พ้นยุคประถม ผมย้ายมาอยู่ในค่ายทหารที่นครปฐม เป็นอำเภอชายแดนติดสุพรรณบุรี ความแปลกใหม่ของการย้ายบ้าน ย้ายโรงเรียนของผม คือ คนที่นี่แทบทุกคน พูดเหน่อ
นอกจากพูดเหน่อ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอีกอย่าง คือผมต้องขี่จักรยานไปโรงเรียน พ่อขายจักรยาน bmx สีแดงคันเก่งของผมไป แล้วซื้อจักรยานแม่บ้านมาอีกคัน ด้วยเหตุผลที่ว่า ผมต้องเอาน้องชายซ้อนท้ายไปโรงเรียนด้วย ซึ่ง การปั่นจักรยานไปโรงเรียน มันเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับผมมาก จากที่เคยตื่นมา อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว รอรถโรงเรียน แต่ครั้งนี้ ผมต้องขี่จักรยานโดยมีน้องชายซ้อนท้ายไปโรงเรียนด้วย
ระยะทางร่วมสองกิโลจากบ้านไปโรงเรียนนั้นไม่ใกลเลย และบนถนนช่วงเช้า และช่วงเลิกเรียน ก็เต็มไปด้วยนักเรียน ทั้งชั้นประถม และมัธยม ที่ต่างก็ขี่จักรยานไปโรงเรียนกันทั้งนั้น เรียกได้ว่า 80% ของนักเรียนทั้งหมด ไปโรงเรียนด้วยรถจักรยาน
ที่เหลือ จะนั่งรถสองแถวคันใหญ่มาโรงเรียน (หกล้อ) เพราะบ้านอยู่ต่างอำเภอ ใกลเกินที่จะขี่จักรยานมากันเองได้ ส่วน รถส่วนตัว หรือการที่เด็กนักเรียน จะขี่มอเตอไซค์มา ยังไม่เคยเจอในช่วงเวลานั้น
จบจากประถมหก ขึ้นมัธยมต้น ผมขี่จักรยานไปโรงเรียนอยู่สี่ปี ก็ย้ายมาเรียนมัธยมปลายที่นครสวรรค์ มาเรียนที่โรงเรียนชาย โรงเรียนประจำจังหวัด ที่นี่ ผมต้องเดินจากบ้านเช่าของน้า ออกมาประมาณกิโลครึ่ง มาถึงถนนใหญ่ ต่อรถสองแถว ค่าโดยสารราคานักเรียน สามบาท นั่งต่อเดียว ถึงหน้าโรงเรียน
ถึงที่นี่ จะเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด อยู่ในเมือง เขตเศรษฐกิจใหญ่ เป็นแหล่งรวมแม่น้ำสี่สาย ต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยา สายน้ำที่หล่อเลี้ยงประเทศนี้มาช้านาน แต่ที่นี่ โรงเรียนนี้ ก็ยังไม่อนุญาตให้เด็กนักเรียน เอารถส่วนตัวมาโรงเรียน เรียกได้ว่า ถึงจะเป็นเด็กในเมือง ที่บ้านมีเงิน มีมอเตอไซค์ มีใบขับขี่ ก็ไม่สามารถขี่รถมอเตอไซค์มาโรงเรียนได้ ยกเว้นวันเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการอื่น ๆ
ซึ่ง นักเรียนแต่ละคน ก็มีทั้งเด็กเรียน หัวดี หัวไม่ดี เกเร เฟี้ยว ซ่า ซน ดื้อ ที่ฝ่ายปกครองต้องปวดหัวกับทรงผม เครื่องแต่งกาย เสื้อ กางเกง รองเท้า เข็มขัด ยันกระเป๋านักเรียน ที่บางจนไม่รู้จะบางยังไง เรียกได้ว่า บางไม่พอ ต้องเอาคลิปหนีบกระดาษสีดำตัวใหญ่ มาหนีบให้กระเป๋ามันแบนลงไปอีก นั่นละ ซึ่งละคน ต่างก็ไม่มีปัญหากับกฏที่ห้ามขี่มอเตอไซค์มาโรงเรียนในข้อนี้
จน พ.ศ.2536 จบมัธยม เข้ามาใช้ชีวิตในเมืองกรุง เข้ามาเรียนรามฯ ชีวิตก็เปลี่ยน เปลี่ยนมานั่งรถเมล์ครับ ระหว่างที่นั่งรถเมล์ ผ่านร้านขายมอเตอไซค์ ก็มองรถที่จอดโชว์อยู่หน้าร้าน สมัยนั้น คาวา เคอาร์ กำลังฮิทมาก ไอ้ผมเองก็ฝังใจซะด้วย เพราะสาวที่เคยมองไว้ในสมัยเรียนมัธยม เธอมีหนุ่มขี่คาวาเคอาร์มารับเธอทุกเย็น ข้ามไปครับ ข้ามไป
การซื้อมอเตอไซค์ในสมัยนั้น ไม่ได้ง่ายเหมือนทุกวันนี้ ภาพป้ายที่แขวนหน้าเคอาร์ ดาวน์ 9,900 ต้องมีสลิปเงินเดือน ต้องมีคนค้ำ คนค้ำต้องมีโน่น นี่ นั่น มาถึงยุคนี้ ดาวบาทเดียว ไม่ต้องค้ำ ไม่นู่น ไม่นี่ ไม่นั่น ร้านพร้อมให้คุณเป็นหนี้แทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง ผิดกับกฏหมายในประเทศเจริญ ต้องมีใบขับขี่ก่อน หรือถ้าจะซื้อรถยนต์ ต้องมีที่จอดรถก่อนด้วย ข้ามไปครับ ข้ามไป
ภาพที่เห็นในทุกวันนี้ เราใช้รถสาธารณะน้อยลง ทั้ง ๆ ที่บริการรถสาธารณะดีขึ้น เทียบกับสามสิบปีก่อนในยุคของผม ใช้รถส่วนตัวมากขึ้น ให้เด็กขี่มอเตอไซไปโรงเรียนเอง โดยที่เด็กเอง ก็ยังไม่มีใบขับขี่ บางที จะเห็นเด็กตัวเล็กมาก ๆ ขี่มอเตอไซค์ และขี่กันเร็ว น่ากลัวมาก
สม้ยนี้ แต่ละบ้าน มีรถสามสี่คัน โทรศัพท์คนละเครื่อง ทีวีจอแบนใหญ่ยักษ์ ลูกเรียนประถม มัธยม มีตังซื้อมอเตอไซให้ลูกใช้ เรียกได้ว่า ตามใจเด็ก แค่เด็กโวยวาย ถ้าไม่ซื้อรถให้ จะไม่ไปโรงเรียน ก็ซื้อให้กันแล้ว สุดท้ายเด็กก็เอารถที่พ่อแม่กัดฟันผ่อนไปแต่งแว้นซ์ได้อีก ซึ่งพ่อแม่เอง ก็ไม่ค่อยจะได้สำนึก
ตามใจลูก จนมีคำว่า "ลูกเทวดา"ให้ได้ยินกันบ่อย ๆ พูดถึงตัวผมเอง ผมก็ชอบมอเตอไซค์ ผมมีไว้ในครอบครองหลายคัน เป็นรถยุคเก่า เทคโนโลยีเก่า ๆ พ้นสมัยเสียด้วย อย่าง honda cbr400f ,nsr250se mc21,crm250r ,vf750magna ,suzuki vx800 และรถในประเทศ อีกสองสามคัน รวมถึง yamaha rx100 คันเก่งของพ่อ
ผมสะสมรถเก่า รถสองจังหวะก็จริง แต่ผมก็เอือมระอากับแก๊งรถแว้น ยิ่งพวกที่เอารถสองจังหวะรุ่นเก่า อย่าง kawa kr มาแต่งซิ่งแข่งแดรกในสนาม ใช่ครับ ในสนาม
ทำไมถึงรังเกียจการแข่งในสนาม ควรจะสนับสนุนให้ไปวิ่งในสนามรึครับ
การแข่งขันในสนาม จุดประสงค์ที่ดูดีที่สุด คือการพัฒนายานพาหนะ และนักแข่ง ในยุคที่พลังงานแพงอย่างทุกวันนี้ ผมมองวงการแข่งแดรก ว่าเป็นวงการส่งเสริมเด็กแว้น ไม่ได้มีการพัฒนายานพาหนะหรืออะไรที่ทำให้วงการแข่งดูดีนั่นเลย
เทคโนโลยีสองจังหวะ เบนซินผสมออโตลูป จบไปแล้ว ไม่มีใครผลิตแล้ว จาก nsr500เครื่อง v4 จนมาถึง nsr500 vtwin ที่ทำลุงดูฮานกลิ้งในหลายโค้ง เพราะไม่คุ้นกับเครื่อง v twin 2 stork เสียที
ลบทฤษฎีที่ว่า เครื่องสองจังหวะไม่มีทอร์คไปได้ในยุคนั้น ยุคเปลี่ยนผ่าน ก็ยุคที่ลุงดูฮานเกษียน เดอะด๊อคเตอร์ วาเลนติโน รอสซี่มารับช่วงไม้ต่อเครื่อง v twin 500 2 stork จากลุง แล้ว moto gp ก็เข้าสู่ยุคใหม่ ยุคสี่จังหวะ เรียกได้ว่า เดอะด๊อคเตอร์ ก็พาเครื่องสี่จังหวะกห้าสูบของ honda cr211v ขึ้นโพเดียมครองแช้มป์อยู่หลายปี
จนในที่สุด เดอะด๊อกเตอร์ ก็ย้ายค่าย จาก honda มาอยู่ yamaha อาจจะเรียกได้ว่า นักแข่งอย่างรอสซี่ เคยควบรถที่ดีที่สุดในโลกคว้าแช้มป์มานาน ก็อยากจะมาหาความท้าทางใหม่ ๆ มาลองรถที่ด้อยกว่าดูบ้าง ปล่อยให้รุ่นน้อง อย่างนิคกี้ เฮย์เด้น นักขับสัญชาติอเมริกัน เข้ามานั่งเป็นหัวหอกของค่าย honda แทน
พร้อมทั้งแบกภาระที่รุ่นพี่ อย่าวรอสซี่ทำไว้อีกด้วย ซึ่งหลังจากรอสซี่ย้ายค่ายมาคล่อมรถ yamaha มาได้สักพัก รอสซี่ ก็พาตนและค่าย yamaha ขึ้นโพเดี้ยมรับตำแหน่งแช้มป์ moto gp อย่างสมศักดิ์ศรีแช้มป์เก่า ทำให้ยอดขายมอเตอไซค์รุ่นเรือธงของ yamaha อย่าง yzf r1m เป็รถที่ขายดิบขายดีไปทั่งโลก และนี่เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า วงการแข่งขัน เป็นการพัฒนายานพาหนะ และพัฒนานักแข่งอย่างแท้จริง
ต่างกับวงการแข่งแดรกในบ้านเรา ที่ยังมีเทคโนโลยีที่โลกไม่เอา อย่างเครื่องยนต์สองจังหวะ เอามาหวดทำเวลากันอยู่ จะว่าไป ก็จะมีเครื่องยนต์สองจังหวะที่ขายอยู่บนโลกไม่กี่แบรนด์
อย่าง ฮาสวาน่า ที่ทำรถมอเคอไซวิบากสองจังหวะออกมาขาย หรือ ronax ที่ผลิตสปอร์ตเรพพลิก้า เครื่อง v4 2 stork 500cc.ออกมาจำหน่ายในราคาแสนแพงระยับ เรียกได้ว่า ไม่มีวางขายทั่วไป ต้อง made to order เท่านั้น เรียกได้ว่ส เป็นมอเตอไซค์สั่งตัด ยังไงยังงั้น
ส่วนรถสี่จังหวะที่มีแข่งในสนาม ส่วนใหญ่ ก็เป็นรถครอบครัว เวฟ 110i 125i yamaha x-max 300 ที่ส่วนใหญ่ เป็นรถที่ผู้ผลิต ออกแบบมาให้เป็นรถครอบครัว ขี่ง่าย ขี่สบาย แต่ถูกวัยรุ่ยเอามาดัดแปลง แปลงกันจนผิดกฏหมาย แหกกฏความปลอดภัย และใช้งานลำบากมากขึ้น
ซึ่งผมก็บอกตรง ๆ ว่าไม่ได้เป็นการพัฒนายานพาหนะ หรือนักแข่งแต่อย่างได น่าจะเป็นการส่งเสริม ให้เด็กวัยเรียนเสียคน และผลาญเงินทองของผู้ปกครอง ให้กับธุรกิจที่เผาผลาญพลังงานทิ้งเสียมากกว่า
แต่ในมุมดี ๆ ที่เห็น ก็เห็นมีการเอาแบตเตอรี่ และมอเตอร์ มาติดตั้งกับมอเตอไซค์ และมีการนำมาวิ่งในสนามแดร็กบ้างแล้ว แม้จะออกแนวรถแว้น แต่ผมมองว่า เป็นนิมิตหมายอันดี ในวงการเสื่อม ๆ วงการนี้
สังคมในทุกวันนี้ เป็นสังคมที่ไม่รู้จักประหยัด วันหยุดที โพสรูปไปเที่ยวหรู โพสกินอยู่แพง
แต่เสือกบ่น ไม่มีจะแดกกัน
ผมดูปัจจุบัน ย้อนไปดูอดีตของผม การที่ลุงแก่เลยวัยเกษียน จะมาบอกว่า ให้เลี้ยงไก่ เอาไว้กินไข่ ให้เปิดแอร์ที่ 27 องศาฯ + พัดลม หรือใช้เตาถ่าน เตาฟืน ร่วมกับการใช้เตาแกส หรือเตาไฟฟ้าเดิม ก็เป็นเหตุผลที่เข้าท่าดี และอีกอย่าง คำค่อนแคะจากคนเมืองที่อยู่คอนโด บ่นว่าจะให้ใช้เตาถ่านบนคอนโดหรืออย่างไร
ในเมื่อคุณ ๆ เลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบ กินหรู อยู่สบาย ต้องจ่ายแพง ยังจะมาบ่นหาอะไรกัน มีใครบังคับให้ไปใช้ชีวิตในคอนโด รึก็เปล่า ผมมองว่า ก็เหมือนคนชอบผู้ว่าฯ คนใหม่นี่แหละ
อะไรที่คนเก่าทำไว้ มักมองว่าไม่ได้เรื่อง ไม่เข้าท่า พอคนใหม่เข้ามาทำต่อ ก็อวยกันยกใหญ่ หันมาด่าคนทิ้งขยะลงคลอง ลงท่อ ทั้ง ๆ ที่แม่มก็ทิ้งกันมาแบบนี้หลายสิบปีแล้ว และผู้ว่าแต่ละยุค ก็แก้ปัญหาความเสื่อมของคนมาทุกรุ่นเช่นกัน
ในเรื่องล่าสุดที่ กระทรวงพลังงานออกมาแนะประชาชน กระทรวง ออกมาแนะแนวทาง ให้คนส่วนใหญ่ในประเทศ ซึ่งก็ต้องบอกไว้ตรงนี้เลยว่า คนส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่ได้อยู่คอนโดนะครับ และ พลังงานราคาถูก ก็ฟืนนี่แหละครับ
บางพื้นที่ ไม่ใช่สิ หลาย ๆ พื้นที่ ฟืนนั้น ฟรีเสียด้วยซ้ำ และถ้าคุยกันในประเด็น มลพิษ อยากถามว่า จะมีคนกลุ่มเดียวกันนี้ ไปก่อม็อบไล่รถเข็นหมูปิ้งไก่ปิ้งหมูสะเต๊ะเตาถ่านกันมั้ย ไหนจะร้านดังที่ขึ้นป้าย ผัดไทเตาถ่าน สเต๊กเตาถ่าน เนื้อย่าง ใส้กรอกรมควัน หรือพิซซ่าเตาถ่าน เหล่านี้ ก็น่าจะมีคนกลุ่มเดียวกันนี้นี่แหละ ที่ไปอวยร้านพวกนี้จนเลิศเลอ
ถ้ามองกันดี ๆ เมือง ไม่ได้เสื่อม คน สิเสื่อม
ประเทศ ไม่ได้สิ้นหวัง แต่คนคุณภาพต่ำ ทำให้ประเทศ ไม่มีความหวัง
เปลี่ยนตัวเองให้ได้ก่อน ค่อยไปเปลี่ยนประเทศ
โฆษณา