ผมเริ่มรู้จัก Michael Jackson ตอนประมาณปี 92-93 นี่แหละครับ...ตอนนั้นน่าจะประมาณ 5-6 ขวบเองมั้ง...ความทรงจำแรกที่พอจะนึกออก คือ เทปอัลบั้ม Dangerous ของน้าคนหนึ่ง...ฟังแล้วรู้สึกชอบเลยขอยืมมาฟังต่อที่บ้านเป็นเดือนๆ...แล้วก็ได้เห็นทางทีวีบ้างเล็กน้อย...เพราะฉะนั้น ความรู้สึกที่มีต่อ ไมเคิล แรกๆ จะอยู่ที่เพลงในอัลบั้มนี้กันล้วนๆ...
ในปี 1995 พี่แกได้ออกอัลบั้ม HIStory: Past, Present and Future, Book I ออกมา โดยที่เป็น เทปคู่ ซึ่งม้วนแรกจะเป็นการรวมเพลงฮิตที่ผ่านมาของแก และม้วนสอง คือ เพลงใหม่หมด...ผมก็ได้เทปชุดนี้มาจากน้าอีกคนหนึ่งที่ซื้อให้...ด้วยความที่เคยฟังแต่อัลบั้ม Dangerous ทำให้ไม่รู้จักเพลงอื่นๆเลย...
พอฟังไปได้ถึงเพลงที่ 4 ของม้วนแรกเท่านั้นแหละ...ประตูของโลกการฟังเพลงของผมก็ถูกเปิดออกกว้างมากกว่าเดิม...เพลงๆนั้น คือ Rock with You...
Rock with You เป็นเพลงเด่นจากอัลบั้ม Off the Wall ที่ออกวางแผงมาในปี 1979 โน่นเลยครับ...และถือเป็น อัลบั้มเดี่ยวชุดแรกกันแบบจริงๆจังๆของ ไมเคิล อีกด้วย (เพราะว่าที่ผ่านมาตอนอยู่ค่าย Motown นั้น...ถึงแม้จะเป็นอัลบั้มเดี่ยวก็ตาม แต่ก็มักจะเป็นการนำเพลงที่เตรียมไว้ใช้กับวง The Jackson Five บ้างทุกกระบวนการนั้นแทบจะอยู่ในมือของ Motown ทั้งสิ้น โดยที่ตัว ไมเคิล แทบจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำเพลงมากนัก)
Producer หลักของอัลบั้มนี้คือ Quincy Jones ซึ่งตัว ไมเคิล เองนั้นก็มีส่วนร่วมในการเป็น co-producer กันถึง 3 เพลง จาก 10 เพลงในอัลบั้มนี้ (Don't Stop 'Til You Get Enough, Workin' Day and Night และ Get on the Floor)
ซึ่งในส่วนของเพลง Rock With You นั้น...ผู้แต่งคือ Rod Temperton (ผู้ล่วงลับ) ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีผลงานเด่นๆอย่างเพลง Boogie Nights ของวง Heatwave ที่ออกมาในปี 1977 และขึ้นไปถึง อันดับ 2 บน Billboard Hot 100 กันด้วย...
แว่บแรกที่ผมได้ฟังเพลง Rock with You ในช่วงเวลานั้น คือ รู้สึกชอบกันตั้งแต่ intro แล้ว...ตัวเพลงมีความเร้าใจแต่ก็มีความนุ่มนวลอยู่ในตัว...ซึ่งด้วยตัวเพลงมันมันเป็นเพลงจังหวะ disco แบบเต็มตัว แต่ด้วยการที่มีการใส่เสียง flute ลงไปด้วยทำให้ลดความหนักแน่นของเพลงนี้ลงไปได้และกลายเป็นเพลงที่ฟังสบายๆแต่ก็พอจะขยับได้อยู่...
และเพลงนี้ก็เป็นการเปิดประตูให้ผมรู้จักกับเพลง disco และชักนำผมให้ไปสู่เพลงยุค 70's และกลายเป็นแนวเพลงที่ผมชอบฟังที่สุดมาจนถึงทุกวันนี้...^_^
เหตุผลที่ชอบ : อย่างที่บอกไปครับ...มันทำให้ผมรู้จักเพลงแนว disco กันอย่างจริงจัง...อีกทั้งด้วยความที่ลงตัวมากๆของตัวเพลงนี้ด้วย...และที่ชอบมากๆก็คือ เสียง flute แบบพริ้วๆในเพลงนี้นั่นแหละ...^_^
It's the Falling in Love เป็นเพลงที่ผมรักมากๆพอๆกับ Rock with You
จริงๆเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมรักมันมากๆด้วยเช่นกัน...แทบจะเรียกได้ว่ารักมันเท่าๆกับ Rock with You เลยก็ว่าได้...แต่ที่จำต้องให้เป็นอันดับ 2 มีแค่เหตุผลเดียว คือ ผมชอบ Rock with You ก่อน เท่านั้นเอง...^_^
สืบเนื่องจากการที่ได้รู้จัก Rock with You ตามที่ได้เล่าไปด้านบน...ทำให้หลังจากนั้น ผมก็เริ่มที่จะพยายามเสาะหาเพลงของ ไมเคิล มาฟังมากขึ้น โดยเฉพาะ เพลงเก่าๆ...ตอน ป.5 จำได้ว่าไปเดินเล่นแถว คลองถม และก็ได้ไปซื้อเทปม้วนหนึ่งที่เป็นเทปรวมเพลงยุค 70's ซึ่งเหตุที่ซื้อเพราะว่ามันมีเพลงของ ไมเคิล ที่ชื่อว่า One Day in Your Life อยู่ด้วย เลยซื้อมาลองฟัง...
และพอเริ่มตามหาเพลงของ ไมเคิล ฟังเรื่อยๆ...ก็มาจนถึงตอนที่ Sony ได้ทำการ reissue อัลบั้ม Off the Wall นี้ออกมาในปี 2001...ผมก็เลยได้ซื้อเทปมาฟัง และ ทำให้ผมยกให้ Off the Wall เป็นอัลบั้มของ ไมเคิล ที่ชอบที่สุดกันไปโดยปริยาย...^_^
It's the Falling in Love เป็น track ที่ 9 ของอัลบั้ม ที่แต่งร่วมกันระหว่าง Carole Bayer Sager นักร้องนักแต่งเพลงที่มีผลงานการแต่งเพลงเด่นๆก่อนหน้านี้อย่าง When I Need You ของ Leo Sayer ซึ่งแต่งร่วมกันกับ Albert Hammond เป็นต้น...และ David Foster นักแต่งเพลงชื่อดังอีกคน ที่มีผลงานเพลงดังเยอะโคตรๆ ซึ่งในช่วงเวลานั้นก็มีเพลงดังอย่าง After the Love Has Gone ของ Earth, Wind & Fire นั่นเองครับ...
ที่จริงแล้ว เพลง It's the Falling in Love นี้นั้น ได้ถูกบันทึกเสียงกันไว้แล้วในปี 1978 นะครับ โดยอยู่ในอัลบั้ม ...Too ของตัว Carole Bayer Sager เองนั่นแหละ...ก่อนที่ ไมเคิล จะได้นำเอาเพลงนี้ไปบันทึกเสียงใหม่ในปลายปีเดียวกัน และรวมอยู่ในอัลบั้ม Off the Wall ที่ออกมาในเดือน สิงหาคม ปี 1979 นั่นเองครับ...^_^
และหลายๆท่านอาจจะยังไม่ทราบ...ถ้าฟังกันดีๆ...เพลง Mayonaka no Door (Stay with Me) ของ Miki Matsubara ซึ่งเป็นเพลงแนว city pop ที่เพิ่งจะเป็น viral จนโด่งดังในช่วงไม่กี่ปีนี้ ก็มีสารตั้งต้นมาจากเพลง It's the Falling in Love นี้ด้วยเช่นกันนะครับ...โดยที่เพลง Mayonaka no Door (Stay with Me) นี้ออกมาในเดือน พฤศจิกายน 1979 วางแผงหลังจาก It's the Falling in Love ของ ไมเคิล กันประมาณ 3 เดือน...^_^
ไม่เพียงเท่านั้น!!! เพราะถ้า Mayonaka no Door (Stay with Me) นั้นเป็นการได้ สารตั้งต้น มาจาก It's the Falling in Love เวอร์ชั่นดั้งเดิมกันแล้วล่ะก็... It's the Falling in Love เวอร์ชั่นของ ไมเคิล ก็มีคนเอาไป cover เป็นเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นด้วยเช่นเดียวกันครับ!!! ซึ่งร้องโดย Hatsumi Shibata ในอัลบั้มชุด Hazumide Daite (はずみで抱いて) ที่ออกมาในปี 1979 ด้วยเช่นกันครับ!!!
แม้ว่าหลายต่อหลายเพลงในอัลบั้มนี้มันจะยังคงเป็นที่ครหากันจนถึงตอนนี้ว่า มันไม่ใช่เสียงร้องของ ไมเคิล ซึ่งเพลงเหล่านี้ถูกเรียกว่าเป็น Cascio Tracks เพราะว่ามี Eddie Cascio เป็นคนที่กล่าวอ้างไว้ว่าได้ทำเพลงกับ ไมเคิล เก็บไว้ประมาณ 12 เพลง..โดยที่ถูกนำเอามาใส่ในอัลบั้ม Michael กันถึง 3 เพลง คือ Breaking News, Keep Your Head Up และ Monster...
และเผอิญว่า...ตอนแรกสุดเลยที่ Sony จะโปรโมตอัลบั้มนี้...ทางค่ายได้เลือกที่จะโปรโมต Breaking News ออกมากันเป็นเพลงแรก...แต่พอเพลงเต็มออกมาให้ได้ฟังกัน แฟนๆต่างก็เอะใจว่าเสียงร้องในเพลงนี้มันไม่ใช่เสียงของ ไมเคิล และก็ไปถล่มค่ายกันหนักมาก จน Sony รีบลบเพลงนี้ออกไปแทบไม่ทัน และประกาศใหม่ว่าจะโปรโมตเพลง Hold My Hand ที่ร้องกับ Akon เป็น single แรกของอัลบั้มแรกแทนนะครับ...- -"
ภาพโปรโมต single Breaking News ที่ปล่อยเพลงออกมาไม่ถึง 2 วันก็โดนไล่ลบจนแทบเกลี้ยง - -"
ซึ่งเดิมทีนั้น Hold My Hand เป็นเพลงที่ ไมเคิล ได้ทำไว้กับ Akon กันในปี 2007 เพื่อที่จะปล่อยเป็นเพลงในอัลบั้ม Freedom ของ Akon ที่จะปล่อยออกมาในปี 2008 นะครับ...แต่ว่าตัวเพลงที่ยังไม่สมบูรณ์ได้หลุดออกมาในโลกออกไลน์กันเสียก่อน เพลงนี้เลยถูกตัดออกจากอัลบั้มนั้นไป และ Akon ได้ตัดสินใจสานต่อเพลงนี้กันต่อหลังจากการจากไปของ ไมเคิล นั่นเอง...
(แต่ผมชอบเวอร์ชั่นที่หลุดออกมาก่อนนั้นมากกว่าเวอร์ชั่นในอัลบั้ม Michael อีกนะ...- -")
และเมื่ออัลบั้ม Michael ได้วางแผงกันจริงๆ...แฟนๆก็รู้สึกเอะใจกับบางเพลงกันว่า "ไม่ใช่เสียงของ ไมเคิล" กันนะครับ...และที่น่าตลกก็คือ 3 เพลงที่คนสงสัยกัน มันคือ Breaking News, Keep Your Head Up และ Monster ที่เป็นเพลงของ Eddie Cascio กันทั้งหมดซะงั้น!!! ตอนนี้เรื่องราวก็เลยยังฟ้องกันไปฟ้องกันมาไม่จบอยู่เลยฮะ (ล่าสุด ลามไปถึงระดับ เจ้าหน้าที่รัฐ มาตรวจสอบกันเลยด้วย - -")...
แม้ว่าจะมีเรื่องที่ไม่ค่อยน่าโสภากันบ้างก็ตาม แต่หลายๆเพลงในอัลบั้มก็ถือว่าช่วยให้แฟนๆได้รู้สึกหายคิดถึงกันไปบ้าง (หรือทำให้คิดถึงหนักกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ)...และ 1 ในเพลงที่หลายๆคนชอบในอัลบั้มนี้ คือ Best of Joy...ซึ่งคาดกันว่าเพลงนี้ "อาจจะเป็นเพลงท้ายๆ หรือ เพลงสุดท้าย ที่ ไมเคิล ได้ทำเสร็จสิ้นสมบูรณ์" กันด้วยซ้ำครับ...
และเมื่อได้ฟังเพลง Best of Joy นี้แล้ว...ผมรู้สึกได้ถึง "พลังงานดีๆ" ที่ออกมาจากเพลงนี้...เหมือนว่า ไมเคิล ตั้งใจที่จะมอบ "พลังงานดีๆ" ผ่านบทเพลงนี้ไปยังกลุ่มคนที่มอบ "พลังงานดีๆ" แก่ตัวเขาด้วยเช่นกัน...ซึ่งอาจจะหมายถึง แฟนเพลงของเขานั่นเอง...
อันดับที่ 4...อันนี้มาเพลง rare กันละ...เพราะว่ามันไม่ได้ถูกปล่อยมาใน studio album แบบทั่วไป และ มันถูกรวมไว้ในอัลบั้มรวมเพลงอย่างเป็นทางการกันแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น!!!
Someone Put Your Hand Out นั้นเป็นเพลงที่ ไมเคิล ได้ทำไว้ในช่วงปี 1987 ในยุคของอัลบั้ม Bad นะครับ...แต่ก็เช่นเดียวกับเพลงอื่นๆ เพลงนี้ถูกคัดออกจากการรวมอยู่ในอัลบั้ม Bad ที่วางแผงในปี 1987...
ซึ่งในช่วงปี 1992 นี้เอง...ทาง Pepsi ได้เข้ามาเป็น sponsor หลักของ Dangerous World Tour กันต่อเนื่องจาก Bad World Tour ที่เคยร่วมงานกันมาก่อนหน้า และได้เตรียมการโปรโมตคอนเสิร์ตนี้เอาไว้ โดยได้จัดทำ Pepsi Exclusive Release ออกมากัน 5 แสนชุด (ส่วนใหญ่จะเป็นเทป) เพื่อแจกในแคมเปญของ Pepsi เอง...ซึ่ง Pepsi ได้เลือกเพลง Someone Put Your Hand Out เป็นเพลงพิเศษในแคมเปญนี้นั่นเองครับ...
Michael Jackson "Someone Put your Hand Out" Pepsi Exclusive Release...ตอนนี้ราคาในออนไลน์โคตรแพงเลยครับ!!!
และนอกจากจะเอาเพลงนี้มาใช้เป็นเพลงแคมเปญโปรโมตงานคอนเสิร์ตนี้แล้ว...ในช่วงพักเบรคก่อนแสดงของ Dangerous World Tour นั้น...ก็ได้มีการเปิดเพลงบรรเลงของ Someone Put Your Hand Out คลอๆกันก่อนเข้าโชว์เพลง Will You Be There กันด้วยนะครับ....ซึ่งแน่นอนว่าตอนนั้นผมยังเด็กมากๆ ไม่รู้หรอกว่าเป็นเพลงอะไร กว่าจะหาเพลงนี้ฟังได้ก็ปาไปหลายปีเลย...^_^
ซึ่งก็อย่างที่บอกไว้ข้างต้นนั่นแหละครับ...นอกจากมันถูกปล่อยในฐานะ Pepsi Exclusive Release กัน 5 แสนชุดในปี 1992 แล้ว...เพลงนี้ก็ไม่ได้ถูกเอามาเผยแพร่กันอีก จนกระทั่งอัลบั้มรวมเพลงชุด The Ultimate Collection ที่ออกมาในปี 2004...เพลง Someone Put Your Hand Out นี้ก็ได้ถูกรวมเอาไว้ด้วย นับได้ว่าเป็นการวางขายกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก...
เพราะว่าหลังจากนั้นก็มีการทำอัลบั้มรวมเพลงชุด King of Pop ออกมาในปี 2008 ซึ่งอัลบั้มนี้ได้เปิดโอกาสให้แฟนๆทั่วโลกได้โหวตเลือกเพลงที่อยากใส่ไว้ในอัลบั้มนี้กันตามอัธยาศัย...และมีแค่ 2 ประเทศเท่านั้นที่ได้โหวตให้เพลง Someone Put Your Hand Out เข้ามารวมอยู่ในอัลบั้ม King of Pop นี้ด้วย คือ เวอร์ชั่นของ ออสเตรเลีย และ สหราชอาณาจักร (ซึ่งรวมใน Deluxe Edition) นั่นเอง...
แต่ก่อนที่ ไมเคิล จะได้ไปอยู่ที่ ไอร์แลนด์ อย่างสงบนั้น...ในปี 2004 แกได้ร่วมเขียนเพลงกับ Brad Buxer ที่เป็น producer ที่ร่วมงานกันมายาวนาน จนได้เพลงที่ชื่อว่า Days in Gloucestershire ขึ้นมานะครับ...แต่ว่าเพลงนี้ยังเป็นแค่ demo ที่ทำไม่เสร็จ...และก็คงจะไม่มีโอกาสได้ฟังเวอร์ชั่นสมบูรณ์กันเสียแล้ว...Y_Y
Days in Gloucestershire ได้แรงบันดาลใจมาจากการที่ ไมเคิล และวง The Jackson Five ได้เดินทางไปยังเมือง Gloucestershire ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอังกฤษ ในช่วงยุค 70's นะครับ...โดยการเดินทางครั้งนั้น ถือว่าเป็น 1 ในความทรงจำอันสวยงามของตัว ไมเคิล เองด้วย...
แต่ถึงแม้ว่าเพลง Days in Gloucestershire นั้นจะยังทำไม่เสร็จก็ตาม...แต่ด้วยความสวยงามของตัวเพลงและการบรรยายถึงความสวยงามของสถานที่ ทำให้ฟังแล้วรู้สึกสงบ และ อบอุ่นใจกันพอสมควร...และนี่คงเป็นแรงบันดาลใจหนึ่งที่ทำให้ ไมเคิล ตัดสินใจเดินทางไปอาศัยที่ ไอร์แลนด์ ในช่วงเวลาที่เขาไม่สามารถกลับไปที่ Neverland ซึ่งเป็นบ้านของเขาได้อีกแล้ว และได้ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขจริงๆกันช่วงหนึ่ง...
ไมเคิล และ ผู้กำกับภาพยนตร์ Spike Lee ได้มาร่วมงานกันครั้งแรกในปี 1996 นะครับ...จากการที่ ไมเคิล ได้ให้ผู้กำกับคนนี้มารับหน้าที่กำกับ MV เพลง They Don't Care About Us ที่อยู่ในอัลบั้มชุด HIStory: Past, Present and Future, Book I ซึ่งวางแผงในปี 1995...
โดยที่ MV เพลงนี้นั้น จริงๆแล้วมันมี 2 เวอร์ชั่นนะครับ คือ เวอร์ชั่นที่ถ่ายทำที่เมือง Rio de Janeiro ประเทศบราซิล และ เวอร์ชั่นที่อยู่ในคุก...แต่ว่า คุก เวอร์ชั่น นั้นโดนแบนไม่ให้ออกอากาศทางทีวีนะครับ...เลยอาจจะหาดูได้ยากกันหน่อย...- -"
โดยที่ในปี 1996 นั้น...ตัวผู้กำกับ Spike Lee ก็กำลังทำหนังเรื่อง Get on the Bus กันอยู่พอดี...ไมเคิล ก็เลยร่วมกับ Babyface ที่มีผลงานการแต่งเพลงเด่นๆในช่วงนั้นอย่าง Every Little Step ของ Bobby Brown และ End of the Road กับ I'll Make Love to You ของ Boyz II Men เป็นต้น...แต่งเพลงขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ และนั่นก็คือเพลง On the Line เพลงนี้นั่นเอง...
แต่...ความ อิหยังวะ ของเพลงนี้มันก็ดันเกิดขึ้นซะงั้นครับ!!! เพราะว่าเพลงนี้แม้ว่ามันจะได้ใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง Get on the Bus นี้กันจริงๆ ในฐานะเพลงเปิดเรื่อง...แต่ในอัลบั้มรวมเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น มันกลับไม่มีเพลงนี้รวมอยู่ด้วยซะงั้น!!! แล้ว ไมเคิล ก็ดันตัดเพลงนี้ออกขายในรูปแบบ Limited Edition Minimax CD กันในปี 1997 ซะงั้นครับ!!! (พี่จะอินดี้อะไรขนาดน้าน - -")
มันก็เลยทำให้เพลงนี้ไม่เป็นที่รู้จักกันเท่าไหร่นัก เพราะว่าประกอบในหนังอินดี้ แถมขายแผ่นก็ขายแบบอินดี้เข้าไปอีก...ยังดีครับที่สุดท้าย On the Line มันก็ถูกรวมไว้ใน The Ultimate Collection ในปี 2004 ด้วย..เลยทำให้แฟนๆหาฟังกันได้ง่ายขึ้นนิดนึง...^_^
ย้อนไปในปี 1997 หลังจากที่ ไมเคิล ได้ปล่อยอัลบั้ม "ฆ่าเวลา" กันอย่าง Blood on the Dance Floor: HIStory in the Mix ที่เป็นการเอาเพลงจากอัลบั้ม HIStory มา remix กันใหม่ และใส่เพลงใหม่ (ที่ถูกตัดออกจาก HIStory นั่นแหละ) กัน 5 เพลง...แกก็เริ่มต้นที่จะทำเพลงใหม่กัน และในช่วงเวลานั้น ไมเคิล เริ่มที่จะทดลองทำอะไรใหม่ๆกันหลากหลายแนวหลากหลายสไตล์นะครับ...
ทำให้แกจำต้องมาเร่งงานแบบไฟล้นก้นจนวินาทีสุดท้าย...ถึงขนาดที่ว่า เพลงสุดท้ายที่ใส่ในอัลบั้ม Invincible นี้อย่างเพลง You Are My Life นั้น เพิ่งจะได้บันทึกเสียงกันเสร็จก่อนที่อัลบั้มจะวางแผงกันแค่ 2 เดือนเท่านั้นด้วยซ้ำ...สุดท้าย Invincible ก็ได้วางแผงขายกันจริงๆในเดือน ตุลาคม 2001...และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่าง ไมเคิล และ Sony นั่นเอง...
แล้วเพลง You Are My Life ที่แกตัดสินใจเลือกเป็นเพลงสุดท้ายที่จะใส่ไว้ในอัลบั้ม Invincible นี้นั้น...ส่วนตัวผมชอบเพลงนี้น้อยที่สุด และเป็นเพลงที่ชอบน้อยมากๆเพลงหนึ่งเลยในบรรดาเพลงของ ไมเคิล ที่เคยได้ฟัง...โอเคแหละว่า เพลงนี้แกแต่งขึ้นมาเพื่อลูกๆทั้ง 3 คนของแก...แต่ตัวเพลงมันไม่ได้เลยครับ...
และเมื่อได้รู้ว่า เพลงที่ถูกคัดทิ้งออกไปเพื่อที่จะใส่ You Are My Life เข้ามานั้นเป็นเพลงอะไรบ้าง ผมก็ยิ่งเสียดาย...โคตรเสียดายเลยด้วย...
เนื่องด้วยความขัดแย้งระหว่าง ไมเคิล และ Sony (หรือถ้าระบุกันตรงๆก็คือ กับตัว Tommy Mottola ผู้เป็นประธาน Sony Music ในเวลานั้น) กำลังเริ่มคุกรุ่น...แม้ว่าจะมีการตั้งงบโปรโมตอัลบั้มนี้กันไว้ที่ 25 ล้านเหรียญแล้วก็ตาม...แต่เมื่อถึงเวลาที่อัลบั้มนี้วางแผงกันจริงๆ กลับแทบไม่มีการโปรโมตจากค่ายกันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก...
และเพลงเปิดตัวอัลบั้ม Invincible นี้...เดิมทีแล้ว ไมเคิล ตั้งใจจะใช้เพลง Unbreakable เป็นเพลงเปิดตัว...แต่ว่า Sony กลับตัดสินใจเลือกใช้เพลง You Rock My World เป็นเพลงโปรโมตแทน...แต่ถึงแม้จะมีปัญหากัน เพลง You Rock My World นี้ก็ดันตัวเองเข้า Top 10 บน Hot 100 ได้นะครับ...และเป็นเพลง Top 10 เพลงสุดท้ายในช่วงชีวิตของ ไมเคิล นั่นเอง...
หลังจากการจากไปของ ไมเคิล ในปี 2009...แฟนๆต่างก็เฝ้ารอว่า Sony จะจัดการกับเพลงที่ ไมเคิล ทิ้งเอาไว้ให้หากินต่อกัน "จำนวนมาก" นี้อย่างไรบ้าง...ซึ่งในปี 2010 ก็ได้มีอัลบั้ม Michael ออกมา (พร้อมกับคำครหาตามที่เล่าไว้ด้านบนนะครับ)...
แต่ในปี 2010 เช่นกัน ก็มีเพลงหลุดออกมาอยู่เพลงนึง และเป็นเพลงที่ทำให้แฟนๆถึงกับตาลุกวาวกันพอสมควร เพราะว่าเพลงมันว้าวกว่าบางเพลงที่อยู่ในอัลบั้มชุด Michael กันเสียอีก และก็ได้แต่สงสัยว่า ทำไมเพลงนี้มันไม่ถูกรวมมาอยู่ในแผ่น...เพลงนี้ชื่อว่า Slave to the Rhythm...
และความว้าวของเพลงมันไม่ได้หยุดแค่ที่แฟนคลับเท่านั้นครับ เพราะว่าในปี 2013...ก็มีการหลุดมาของ Slave to the Rhythm กันอีกรอบ แต่คราวนี้มีการ remix ใหม่ และมีเสียงร้องของ Justin Bieber อยู่ด้วยซะงั้นครับ!!!
คราวนี้เสียงแตกเลยฮะ บางส่วนก็ชอบ แต่บางส่วนก็ไม่เอาด้วยเช่นกัน...แต่มันก็มีกระแสออกมาด้วยว่า เพลงนี้อาจจะได้อยู่ในอัลบั้มรวมเพลงชุดใหม่...และเมื่อถึงปี 2014 มันก็มีเพลง Slave to the Rhythm รวมอยู่ในอัลบั้มชุด Xscape กันจริงๆ...แต่ไม่มีเสียงของ Justin Bieber อยู่ในนั้นเฉย...
ซึ่งเหตุผลมันก็ง่ายๆครับ...The Estate of Michael Jackson ได้ออกมาประกาศก่อนหน้านั้นว่า เวอร์ชั่น remix ที่มีเสียง Justin Bieber ร้องอยู่ด้วยนั้น...ไม่ได้รับอนุญาตกันอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด...และ The Estate ก็ไม่มีมีแผนที่จะปล่อยเพลงนี้แบบที่มี Justin Bieber ร่วมร้องด้วยกันแต่อย่างใดนั่นเอง...
แต่ถึงไม่มี JB ก็ไม่ได้ทำให้ความคาดหวังของแฟนๆลดลงแต่อย่างใด...แถมก่อนที่อัลบั้ม Xscape จะวางแผงแค่ 1-2 วัน ก็มีตัวอย่างสั้นๆของ Slave to the Rhythm ไปเปิดโปรโมตในรายการ The Ellen Show กันด้วยนะครับ...ทำให้แฟนๆมั่นใจว่า ยังไงเพลงนี้ก็มาแน่ๆ...
Slave to the Rhythm นั้น เวอร์ชั่นแรกเริ่มเดิมที มันทำกันในปี 1990 ช่วงอัลบั้ม Dangerous โน่นเลยครับ...แต่ก็โดนปัดตกกันไป...จนกระทั่งมาถูกใส่ใน Xscape Deluxe Edition ในปี 2014 นี่เอง...
ส่วนเพลงที่หลุดมากันตั้งแต่ปี 2010 นั้น...มันคือ Slave to the Rhythm เวอร์ชั่นที่ได้ Tricky Stewart มา remix ใหม่ แต่ก็ยังไม่มีแผนที่จะปล่อยออกมากันแต่อย่างใด...- -"
และเวอร์ชั่น 2013 ที่มีเสียง Justin Bieber ด้วยนั้น...เป็นการ remix โดย Max Methods ที่ได้ทำงานร่วมกันกับ Tricky Stewart และได้รับมอบหมายให้ลองทำเพลงนี้ขึ้นมาใหม่...แต่ก็ไม่รู้ว่าเพลงนี้มันหลุดออกมาได้ยังไงอีกเช่นกัน...- -"
ซึ่งใน Thriller 25 นั้น ก็ได้มีการนำเอาเพลงที่เก็บไว้ออกมาใส่แผ่นขายกันอย่าง For All Time ด้วยนะครับ...และใน Deluxe Edition ก็ยังมีเพลงที่เคยใส่ไว้ในตอนที่ remastered อัลบั้มนี้กันในปี 2001 แล้วอย่าง Someone in the Dark (ที่ใส่มาเป็นตัว Opening Version) และ Carousel (ที่ใส่มาครึ่งเพลง) มาขายอีกรอบนะครับ...และยังไม่พอ...Thriller 25 Japanese Version ก็แถมเพลงอย่าง Got the Hots กันอีกเพลงด้วยครับ!!!
และในบรรดาเพลงที่หลุดออกมาแล้วนั้น...หลายต่อหลายเพลงเลยที่เพลงค่อนข้างดีจนอดคิดไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่เอาใส่เข้าไปในอัลบั้ม Thriller ด้วย...และเพลงที่ผมคาใจที่สุดในบรรดาเพลงหลุดของยุคนี้ก็คือ Hot Street นั่นเอง...
Hot Street เป็นอีกเพลงที่แต่งโดย Rod Temperton นะครับ...ซึ่งเพลงนี้จริงๆแล้ว ไมเคิล ค่อนข้างที่จะชอบมาก และตั้งใจจะเอาใส่ในอัลบั้ม Thriller แล้วด้วย...แต่ว่าตัวของ Rod Temperton เอง และ Quincy Jones ผู้เป็น producer หลักของอัลบั้มนี้ กลับมองว่าเพลงนี้มันยังฟังดู "อ่อนเกินไป" เมื่อเทียบกับเพลงอื่นๆที่เลือกไว้แล้ว...
สาเหตุสำคัญที่ The Jackson Five นั้นออกจาก Motown ค่ายที่ปลุกปั้นกันมาในปี 1976 นั้นเป็นเพราะว่า ต้องการอิสระในการทำเพลงมากกว่านี้...เพราะว่าที่ผ่านมานั้น Motown เขามีทีมทำเพลงประจำค่าย ที่ได้รับการขนานนามว่า The Corporation ทำเพลงให้มาโดยตลอด...แต่เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น ก็เลยอยากจะลองทำงานแบบที่ต้องการดูบ้าง...
พอตกลงกันไม่ได้ วง The Jackson Five เลยออกจาก Motown มาอยู่กับ Epic Records แต่ว่าไม่สามารถใช้ชื่อวงว่า The Jackson Five ได้อีก เพราะว่าชื่อวงนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Motown...และหนำซ้ำ Jermaine Jackson ที่รับหน้าที่ มือเบส และ ร้องนำอีกคนของวง ได้แต่งงานกับลูกสาวของ Berry Gordy เจ้าของค่าย Motown เลยเลือกอยู่กับค่ายนี้ต่อไป...ทำให้ต้องดัน Randy น้องชายคนสุดท้อง ขึ้นมาเป็นสมาชิกคนใหม่แทน...
การเปลี่ยนผ่านจาก Motown มาอยู่กับ Epic (ที่มี CBS เป็นบริษัทแม่) ของ The Jacksons (ชื่อวงที่เปลี่ยนใหม่) นั้นค่อนข้างเป็นอะไรที่แปลกใหม่และท้าทายนะครับ เพราะว่าตอนอยู่ Motown นั้น สไตล์เพลงมันก็จะเป็นแบบ Motown ที่เน้นในทาง R&B และ Pop กันชัดเจน ในขณะที่ Epic นั้นจะเป็นแนวเพลงแบบ Philadelphia soul ที่มีความ funk มากกว่า...แม้ว่าชุดท้ายๆตอนอยู่ Motown นั้นก็เริ่มจะ funk ขึ้นบ้างแล้วก็ตาม...
ยกตัวอย่าง Philly soul ที่เห็นภาพชัดๆ คือ เพลงดังอย่าง TSOP (The Sound of Philadelphia) ของวง MFSB ที่ feat. กับวง The Three Degrees กันนะครับ...หรือถ้ายกตัวอย่างกันใหม่ๆหน่อยก็คือ Skate ของ Silk Sonic นั่นแหละ...เพลงนี้มีการผสมกลิ่นอายแบบ Motown และ Philly soul ไว้ด้วยกัน...^_^
และเมื่อ The Jacksons มาอยู่ใน Epic กันแล้ว...ค่ายก็เลยจัดให้ "เทพแห่ง Philly soul" อย่างคู่หูนักแต่งเพลง Gamble and Huff มาเป็นคนดูแลเพลงให้วงนี้กันนะครับ...โดยที่ผลงานเด่นๆของคู่นี้ก็จะมีเพลงอย่าง Back Stabbers และ Love Train ของ The O'Jays และ Me and Mrs. Jones ของ Billy Paul เป็นต้นนะครับ...
แม้ว่าอัลบั้ม The Jacksons ในปี 1976 และ Goin' Places ในปีต่อมา จะไม่ได้รับการตอบรับดีมากเท่ายุคของ Motown ก็ตาม แต่ทั้ง 2 ชุดนี้ก็มีเพลงดีๆอยู่บ้างนะครับ เช่น Enjoy Yourself, Dreamer, Even Though You're Gone, Find Me a Girl และ...Show You the Way to Go...
Show You the Way to Go เป็น single ที่ 2 จากอัลบั้ม The Jacksons ในปี 1976 ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกหลังจากย้ายออกมาจาก Motown นะครับ...โดยที่เพลงโปรโมตก่อนหน้าอย่าง Enjoy Yourself นั้นประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง โดยสามารถขึ้นไปถึงอันดับ 6 บน Hot 100 ได้... แต่ว่าเพลงนี้ อาจจะไม่ได้ฮิตมากเท่าเพลงแรกนัก...เพราะว่าได้เพียงแค่อันดับ 28 เท่านั้น...
แต่เหตุผลที่ผมเลือกเพลงนี้เป็นอันดับที่ 10 ก็เพราะว่า...โดยรวมของเพลงนี้มันฟังดูลงตัวและให้ความรู้สึกสบายแบบอบอุ่นนั่นเองครับ...มันไม่ได้จัดจ้านแบบ disco funk ทั่วไป แต่ก็พอขยับได้เนิบๆ...^_^
และนี่ก็คือ 10 อันดับเพลงของ Michael Jackson ที่ผมชอบมากที่สุด...จากการคัดเลือกมาอย่างยากลำบาก...หลายๆเพลงก็จำต้องหลุดโผไปอย่างน่าเสียดาย...