25 มิ.ย. 2022 เวลา 11:46 • ดนตรี เพลง
และนี่คือ Top 10 เพลงของ Michael Jackson ที่ข้าพเจ้าชื่นชอบมากที่สุด...
เนื่องด้วยวาระที่ อัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาลอย่าง Thriller มีวาระอันดีครบรอบ 40 ปีในปีนี้..และทาง Sony Music ก็ได้ประกาศแล้วว่าจะมีอัลบั้มฉลองครบรอบ 40 ปีของ Thriller ออกมาช่วงปลายปี พร้อมทั้งมีเพลงที่ไม่เคยถูกเผยแพร่ออกมาอีกด้วย...
(ท่ามกลางเสียงก่นด่าของแฟนๆที่ Sony ดันเ*ือกไปเปลี่ยน font อันเป็นตำนานของอัลบั้มนี้ไปเป็นแบบนี้ - -")
นี่แหละฮะ...font เจ้าปัญหาที่แฟนๆทั่วโลกรับไม่ได้...--"
และในวันที่ 25 มิถุนายนนี้ (ซึ่งก็น่าจะเป็นวันที่บทความนี้พิมพ์เสร็จกันพอดี ^_^) ก็จะเป็นการครบรอบการจากไปของ ราชาเพลง pop ตลอดกาลผู้นี้ ที่ได้จากไปกันตั้งแต่ปี 2009 นะครับ...ผมก็เลยมานั่งนึงเล่นๆว่า "เออว่ะ...ตั้งแต่เกิดมานี่ กุยังไม่เคยมานั่งจัด Top 10 เพลงของ ไมเคิล กันเลยนี่หว่า"...
เพราะว่าทุกครั้งที่ผมถูกถามหรือลองถามตัวเองว่า เพลงที่ชอบที่สุดของ ไมเคิล นั้นมีเพลงอะไรบ้าง...ทุกครั้ง คำตอบผมจะถูกล็อคตำแหน่งที่ 1 และ 2 เอาไว้เสมอ...และก็ไม่เคยเลือกอันดับที่ 3 ลงไปได้ซักที!!! อันนี้พูดจริงๆนะฮะ...เหตุเพราะว่า เพลงดีๆพี่แกเยอะมากๆ และเพลงที่ชอบมันก็เยอะมากๆ แต่ก็เลือกไม่ได้ว่าชอบเพลงไหนมากน้อยกว่ากัน...- -"
ฉะนั้นแล้ว...ปีนี้ ผมก็เลยจะมานั่งคัด Top 10 เพลงของ Michael Jackson ที่ชอบมากที่สุดกันอย่างเป็นทางการซะที...
ซึ่งใน list นี้ก็จะรวมทั้งหมดที่เป็นเพลงที่ ไมเคิล ได้ร้องกันเป็นหลักนะครับ แบบว่าที่ได้ยินเสียงของ ไมเคิล กันชัดๆ...ไล่มาตั้งแต่ The Jackson Five กันมาเลย...อาจจะเว้นเพลงที่แกแอบไปแจมร้อง background vocal แบบที่หาเสียงแกไม่ค่อยเจอละกันครับ พวก demo และ unreleased ที่หลุดออกมา นับหมด!!!
ทุกครั้งที่ถาม คำตอบแรกจะเป็น Rock with You เสมอ
ผมเริ่มรู้จัก Michael Jackson ตอนประมาณปี 92-93 นี่แหละครับ...ตอนนั้นน่าจะประมาณ 5-6 ขวบเองมั้ง...ความทรงจำแรกที่พอจะนึกออก คือ เทปอัลบั้ม Dangerous ของน้าคนหนึ่ง...ฟังแล้วรู้สึกชอบเลยขอยืมมาฟังต่อที่บ้านเป็นเดือนๆ...แล้วก็ได้เห็นทางทีวีบ้างเล็กน้อย...เพราะฉะนั้น ความรู้สึกที่มีต่อ ไมเคิล แรกๆ จะอยู่ที่เพลงในอัลบั้มนี้กันล้วนๆ...
ในปี 1995 พี่แกได้ออกอัลบั้ม HIStory: Past, Present and Future, Book I ออกมา โดยที่เป็น เทปคู่ ซึ่งม้วนแรกจะเป็นการรวมเพลงฮิตที่ผ่านมาของแก และม้วนสอง คือ เพลงใหม่หมด...ผมก็ได้เทปชุดนี้มาจากน้าอีกคนหนึ่งที่ซื้อให้...ด้วยความที่เคยฟังแต่อัลบั้ม Dangerous ทำให้ไม่รู้จักเพลงอื่นๆเลย...
พอฟังไปได้ถึงเพลงที่ 4 ของม้วนแรกเท่านั้นแหละ...ประตูของโลกการฟังเพลงของผมก็ถูกเปิดออกกว้างมากกว่าเดิม...เพลงๆนั้น คือ Rock with You...
Rock with You เป็นเพลงเด่นจากอัลบั้ม Off the Wall ที่ออกวางแผงมาในปี 1979 โน่นเลยครับ...และถือเป็น อัลบั้มเดี่ยวชุดแรกกันแบบจริงๆจังๆของ ไมเคิล อีกด้วย (เพราะว่าที่ผ่านมาตอนอยู่ค่าย Motown นั้น...ถึงแม้จะเป็นอัลบั้มเดี่ยวก็ตาม แต่ก็มักจะเป็นการนำเพลงที่เตรียมไว้ใช้กับวง The Jackson Five บ้างทุกกระบวนการนั้นแทบจะอยู่ในมือของ Motown ทั้งสิ้น โดยที่ตัว ไมเคิล แทบจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำเพลงมากนัก)
Producer หลักของอัลบั้มนี้คือ Quincy Jones ซึ่งตัว ไมเคิล เองนั้นก็มีส่วนร่วมในการเป็น co-producer กันถึง 3 เพลง จาก 10 เพลงในอัลบั้มนี้ (Don't Stop 'Til You Get Enough, Workin' Day and Night และ Get on the Floor)
ซึ่งในส่วนของเพลง Rock With You นั้น...ผู้แต่งคือ Rod Temperton (ผู้ล่วงลับ) ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีผลงานเด่นๆอย่างเพลง Boogie Nights ของวง Heatwave ที่ออกมาในปี 1977 และขึ้นไปถึง อันดับ 2 บน Billboard Hot 100 กันด้วย...
(และในเพลง Off the Wall นั้น...ก็ได้มีการ sampled เพลง Boogie Nights กันมาอย่างหนักหน่วงด้วยเช่นกัน 5555555555+)
กลับมาที่เพลง Rock with You กันต่อ...^_^
แว่บแรกที่ผมได้ฟังเพลง Rock with You ในช่วงเวลานั้น คือ รู้สึกชอบกันตั้งแต่ intro แล้ว...ตัวเพลงมีความเร้าใจแต่ก็มีความนุ่มนวลอยู่ในตัว...ซึ่งด้วยตัวเพลงมันมันเป็นเพลงจังหวะ disco แบบเต็มตัว แต่ด้วยการที่มีการใส่เสียง flute ลงไปด้วยทำให้ลดความหนักแน่นของเพลงนี้ลงไปได้และกลายเป็นเพลงที่ฟังสบายๆแต่ก็พอจะขยับได้อยู่...
และเพลงนี้ก็เป็นการเปิดประตูให้ผมรู้จักกับเพลง disco และชักนำผมให้ไปสู่เพลงยุค 70's และกลายเป็นแนวเพลงที่ผมชอบฟังที่สุดมาจนถึงทุกวันนี้...^_^
เหตุผลที่ชอบ : อย่างที่บอกไปครับ...มันทำให้ผมรู้จักเพลงแนว disco กันอย่างจริงจัง...อีกทั้งด้วยความที่ลงตัวมากๆของตัวเพลงนี้ด้วย...และที่ชอบมากๆก็คือ เสียง flute แบบพริ้วๆในเพลงนี้นั่นแหละ...^_^
It's the Falling in Love เป็นเพลงที่ผมรักมากๆพอๆกับ Rock with You
จริงๆเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมรักมันมากๆด้วยเช่นกัน...แทบจะเรียกได้ว่ารักมันเท่าๆกับ Rock with You เลยก็ว่าได้...แต่ที่จำต้องให้เป็นอันดับ 2 มีแค่เหตุผลเดียว คือ ผมชอบ Rock with You ก่อน เท่านั้นเอง...^_^
สืบเนื่องจากการที่ได้รู้จัก Rock with You ตามที่ได้เล่าไปด้านบน...ทำให้หลังจากนั้น ผมก็เริ่มที่จะพยายามเสาะหาเพลงของ ไมเคิล มาฟังมากขึ้น โดยเฉพาะ เพลงเก่าๆ...ตอน ป.5 จำได้ว่าไปเดินเล่นแถว คลองถม และก็ได้ไปซื้อเทปม้วนหนึ่งที่เป็นเทปรวมเพลงยุค 70's ซึ่งเหตุที่ซื้อเพราะว่ามันมีเพลงของ ไมเคิล ที่ชื่อว่า One Day in Your Life อยู่ด้วย เลยซื้อมาลองฟัง...
(แต่กลายเป็นว่า เทปม้วนนั้น นำพาให้ผมรู้จักกับ Carpenters...และนั่นทำให้การฟังเพลงของผม เปลี่ยนไปจากเดิมตลอดกาล!!! 55555555555+)
และพอเริ่มตามหาเพลงของ ไมเคิล ฟังเรื่อยๆ...ก็มาจนถึงตอนที่ Sony ได้ทำการ reissue อัลบั้ม Off the Wall นี้ออกมาในปี 2001...ผมก็เลยได้ซื้อเทปมาฟัง และ ทำให้ผมยกให้ Off the Wall เป็นอัลบั้มของ ไมเคิล ที่ชอบที่สุดกันไปโดยปริยาย...^_^
It's the Falling in Love เป็น track ที่ 9 ของอัลบั้ม ที่แต่งร่วมกันระหว่าง Carole Bayer Sager นักร้องนักแต่งเพลงที่มีผลงานการแต่งเพลงเด่นๆก่อนหน้านี้อย่าง When I Need You ของ Leo Sayer ซึ่งแต่งร่วมกันกับ Albert Hammond เป็นต้น...และ David Foster นักแต่งเพลงชื่อดังอีกคน ที่มีผลงานเพลงดังเยอะโคตรๆ ซึ่งในช่วงเวลานั้นก็มีเพลงดังอย่าง After the Love Has Gone ของ Earth, Wind & Fire นั่นเองครับ...
ที่จริงแล้ว เพลง It's the Falling in Love นี้นั้น ได้ถูกบันทึกเสียงกันไว้แล้วในปี 1978 นะครับ โดยอยู่ในอัลบั้ม ...Too ของตัว Carole Bayer Sager เองนั่นแหละ...ก่อนที่ ไมเคิล จะได้นำเอาเพลงนี้ไปบันทึกเสียงใหม่ในปลายปีเดียวกัน และรวมอยู่ในอัลบั้ม Off the Wall ที่ออกมาในเดือน สิงหาคม ปี 1979 นั่นเองครับ...^_^
และหลายๆท่านอาจจะยังไม่ทราบ...ถ้าฟังกันดีๆ...เพลง Mayonaka no Door (Stay with Me) ของ Miki Matsubara ซึ่งเป็นเพลงแนว city pop ที่เพิ่งจะเป็น viral จนโด่งดังในช่วงไม่กี่ปีนี้ ก็มีสารตั้งต้นมาจากเพลง It's the Falling in Love นี้ด้วยเช่นกันนะครับ...โดยที่เพลง Mayonaka no Door (Stay with Me) นี้ออกมาในเดือน พฤศจิกายน 1979 วางแผงหลังจาก It's the Falling in Love ของ ไมเคิล กันประมาณ 3 เดือน...^_^
ไม่เพียงเท่านั้น!!! เพราะถ้า Mayonaka no Door (Stay with Me) นั้นเป็นการได้ สารตั้งต้น มาจาก It's the Falling in Love เวอร์ชั่นดั้งเดิมกันแล้วล่ะก็... It's the Falling in Love เวอร์ชั่นของ ไมเคิล ก็มีคนเอาไป cover เป็นเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นด้วยเช่นเดียวกันครับ!!! ซึ่งร้องโดย Hatsumi Shibata ในอัลบั้มชุด Hazumide Daite (はずみで抱いて) ที่ออกมาในปี 1979 ด้วยเช่นกันครับ!!!
และที่ตลกก็คือ อัลบั้ม Off the Wall ของ ไมเคิล นั้นวางแผงวันที่ 10 สิงหาคม...แต่ว่าอัลบั้ม Hazumide Daite ของ Hatsumi Shibata นั้น...วางแผงวันที่ 25 สิงหาคม ปีเดียวกันนี่แหละครับ!!! อะไรจะ cover กันไวขนาดนั้น!!! 555555555555555+
เหตุผลที่ชอบ : แทบจะเหมือนกันกับ Rock with You เลยล่ะ...แตกต่างแค่รายละเอียดยิบย่อยเล็กน้อย...
I am forever...We are forever...
Best of Joy มันคือรอยยิ้มทั้งน้ำตา...
อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่า ผมเลือกเพลงที่ชอบอันดับที่ 3 ไม่ได้เลยซักที...แต่ในเมื่อคราวนี้ต้องเลือก...ผมขอเลือกให้เป็น Best of Joy...
25 มิถุนายน 2009...แน่นอนครับว่าแฟนเพลงทั้งโลกคงไม่อยากให้มันเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น...แต่ตอนนี้เราก็อยู่กับมันมาได้ 13 ปีแล้ว...Y_Y
พอ ไมเคิล จากไป...ทุกสิ่งทุกอย่างของเขา เลยการเป็นเรื่องของ เงินๆทองๆ กันเสียหมด...Sony ก็ไม่รอช้า เตรียมเอาเพลงที่ ไมเคิล ได้ทำเก็บเอาไว้มาหากินกันระยะยาว...โดยที่ปล่อยออกมาชุดแรกในปี 2010 กับอัลบั้มชื่อว่า Michael...
แม้ว่าหลายต่อหลายเพลงในอัลบั้มนี้มันจะยังคงเป็นที่ครหากันจนถึงตอนนี้ว่า มันไม่ใช่เสียงร้องของ ไมเคิล ซึ่งเพลงเหล่านี้ถูกเรียกว่าเป็น Cascio Tracks เพราะว่ามี Eddie Cascio เป็นคนที่กล่าวอ้างไว้ว่าได้ทำเพลงกับ ไมเคิล เก็บไว้ประมาณ 12 เพลง..โดยที่ถูกนำเอามาใส่ในอัลบั้ม Michael กันถึง 3 เพลง คือ Breaking News, Keep Your Head Up และ Monster...
และเผอิญว่า...ตอนแรกสุดเลยที่ Sony จะโปรโมตอัลบั้มนี้...ทางค่ายได้เลือกที่จะโปรโมต Breaking News ออกมากันเป็นเพลงแรก...แต่พอเพลงเต็มออกมาให้ได้ฟังกัน แฟนๆต่างก็เอะใจว่าเสียงร้องในเพลงนี้มันไม่ใช่เสียงของ ไมเคิล และก็ไปถล่มค่ายกันหนักมาก จน Sony รีบลบเพลงนี้ออกไปแทบไม่ทัน และประกาศใหม่ว่าจะโปรโมตเพลง Hold My Hand ที่ร้องกับ Akon เป็น single แรกของอัลบั้มแรกแทนนะครับ...- -"
ภาพโปรโมต single Breaking News ที่ปล่อยเพลงออกมาไม่ถึง 2 วันก็โดนไล่ลบจนแทบเกลี้ยง - -"
ซึ่งเดิมทีนั้น Hold My Hand เป็นเพลงที่ ไมเคิล ได้ทำไว้กับ Akon กันในปี 2007 เพื่อที่จะปล่อยเป็นเพลงในอัลบั้ม Freedom ของ Akon ที่จะปล่อยออกมาในปี 2008 นะครับ...แต่ว่าตัวเพลงที่ยังไม่สมบูรณ์ได้หลุดออกมาในโลกออกไลน์กันเสียก่อน เพลงนี้เลยถูกตัดออกจากอัลบั้มนั้นไป และ Akon ได้ตัดสินใจสานต่อเพลงนี้กันต่อหลังจากการจากไปของ ไมเคิล นั่นเอง...
(แต่ผมชอบเวอร์ชั่นที่หลุดออกมาก่อนนั้นมากกว่าเวอร์ชั่นในอัลบั้ม Michael อีกนะ...- -")
และเมื่ออัลบั้ม Michael ได้วางแผงกันจริงๆ...แฟนๆก็รู้สึกเอะใจกับบางเพลงกันว่า "ไม่ใช่เสียงของ ไมเคิล" กันนะครับ...และที่น่าตลกก็คือ 3 เพลงที่คนสงสัยกัน มันคือ Breaking News, Keep Your Head Up และ Monster ที่เป็นเพลงของ Eddie Cascio กันทั้งหมดซะงั้น!!! ตอนนี้เรื่องราวก็เลยยังฟ้องกันไปฟ้องกันมาไม่จบอยู่เลยฮะ (ล่าสุด ลามไปถึงระดับ เจ้าหน้าที่รัฐ มาตรวจสอบกันเลยด้วย - -")...
แม้ว่าจะมีเรื่องที่ไม่ค่อยน่าโสภากันบ้างก็ตาม แต่หลายๆเพลงในอัลบั้มก็ถือว่าช่วยให้แฟนๆได้รู้สึกหายคิดถึงกันไปบ้าง (หรือทำให้คิดถึงหนักกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ)...และ 1 ในเพลงที่หลายๆคนชอบในอัลบั้มนี้ คือ Best of Joy...ซึ่งคาดกันว่าเพลงนี้ "อาจจะเป็นเพลงท้ายๆ หรือ เพลงสุดท้าย ที่ ไมเคิล ได้ทำเสร็จสิ้นสมบูรณ์" กันด้วยซ้ำครับ...
และเมื่อได้ฟังเพลง Best of Joy นี้แล้ว...ผมรู้สึกได้ถึง "พลังงานดีๆ" ที่ออกมาจากเพลงนี้...เหมือนว่า ไมเคิล ตั้งใจที่จะมอบ "พลังงานดีๆ" ผ่านบทเพลงนี้ไปยังกลุ่มคนที่มอบ "พลังงานดีๆ" แก่ตัวเขาด้วยเช่นกัน...ซึ่งอาจจะหมายถึง แฟนเพลงของเขานั่นเอง...
ทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ผมจะรู้สึกมีความสุขจากการได้รับความสุขที่แผ่ออกมาจากเพลงนี้...และมันจะมาพร้อมกับความเศร้าด้วยเช่นกัน เมื่อตระหนักได้ว่า นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ ไมเคิล ตั้งใจมอบให้กับแฟนเพลง...Y_Y
แต่ก็อย่างที่เนื้อเพลงนี้ได้เขียนไว้นะครับ...
I am forever...ไมเคิล จะไม่มีวันถูกลบลืมหายไปจากความทรงจำของแฟนเพลงบนโลกนี้...
We are forever...และถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่อยู่แล้ว แต่แฟนๆก็จะไม่ทอดทิ้งเขาไปด้วยเช่นกัน...
เหตุผลที่เลือก : นอกจากที่มันจะเป็น "เพลงท้ายๆ" ที่ ไมเคิลได้ทำเสร็จสมบูรณ์แล้วนั้น...ทุกอย่างของเพลงนี้ มันสวยงามจริงๆ...
Someone Put Your Hand Out เป็นเพลง rare เพียงไม่กี่เพลงที่มีการบันทึกและเผยแพร่กันอย่างเป็นทางการ มากกว่า 1 ครั้ง...
อันดับที่ 4...อันนี้มาเพลง rare กันละ...เพราะว่ามันไม่ได้ถูกปล่อยมาใน studio album แบบทั่วไป และ มันถูกรวมไว้ในอัลบั้มรวมเพลงอย่างเป็นทางการกันแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น!!!
Someone Put Your Hand Out นั้นเป็นเพลงที่ ไมเคิล ได้ทำไว้ในช่วงปี 1987 ในยุคของอัลบั้ม Bad นะครับ...แต่ก็เช่นเดียวกับเพลงอื่นๆ เพลงนี้ถูกคัดออกจากการรวมอยู่ในอัลบั้ม Bad ที่วางแผงในปี 1987...
อันนี้เป็น demo เวอร์ชั่นที่ทำไว้ในปี 1987 นะครับ...
พอเพลงนี้ถูกคัดออกจาก Bad...ไมเคิล ก็ยังเอาเพลงนี้มาทำต่อกันอยู่นะครับ จนมาถึงช่วงปี 1991 ที่เป็นยุคของการทำอัลบั้ม Dangerous...เพลงนี้ก็ยังถูกตัดออกไปอีกเช่นกัน...แต่ว่าหลังจากที่ปล่อยอัลบั้ม Dangerous ไปแล้วในปี 1991...ไมเคิล และ Teddy Riley ที่เป็น producer ร่วมในอัลบั้ม Dangerous ก็ทำเพลงนี้ขึ้นมาใหม่ และเสร็จในปี 1992...
ซึ่งในช่วงปี 1992 นี้เอง...ทาง Pepsi ได้เข้ามาเป็น sponsor หลักของ Dangerous World Tour กันต่อเนื่องจาก Bad World Tour ที่เคยร่วมงานกันมาก่อนหน้า และได้เตรียมการโปรโมตคอนเสิร์ตนี้เอาไว้ โดยได้จัดทำ Pepsi Exclusive Release ออกมากัน 5 แสนชุด (ส่วนใหญ่จะเป็นเทป) เพื่อแจกในแคมเปญของ Pepsi เอง...ซึ่ง Pepsi ได้เลือกเพลง Someone Put Your Hand Out เป็นเพลงพิเศษในแคมเปญนี้นั่นเองครับ...
Michael Jackson "Someone Put your Hand Out" Pepsi Exclusive Release...ตอนนี้ราคาในออนไลน์โคตรแพงเลยครับ!!!
และนอกจากจะเอาเพลงนี้มาใช้เป็นเพลงแคมเปญโปรโมตงานคอนเสิร์ตนี้แล้ว...ในช่วงพักเบรคก่อนแสดงของ Dangerous World Tour นั้น...ก็ได้มีการเปิดเพลงบรรเลงของ Someone Put Your Hand Out คลอๆกันก่อนเข้าโชว์เพลง Will You Be There กันด้วยนะครับ....ซึ่งแน่นอนว่าตอนนั้นผมยังเด็กมากๆ ไม่รู้หรอกว่าเป็นเพลงอะไร กว่าจะหาเพลงนี้ฟังได้ก็ปาไปหลายปีเลย...^_^
ซึ่งก็อย่างที่บอกไว้ข้างต้นนั่นแหละครับ...นอกจากมันถูกปล่อยในฐานะ Pepsi Exclusive Release กัน 5 แสนชุดในปี 1992 แล้ว...เพลงนี้ก็ไม่ได้ถูกเอามาเผยแพร่กันอีก จนกระทั่งอัลบั้มรวมเพลงชุด The Ultimate Collection ที่ออกมาในปี 2004...เพลง Someone Put Your Hand Out นี้ก็ได้ถูกรวมเอาไว้ด้วย นับได้ว่าเป็นการวางขายกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก...
เพราะว่าหลังจากนั้นก็มีการทำอัลบั้มรวมเพลงชุด King of Pop ออกมาในปี 2008 ซึ่งอัลบั้มนี้ได้เปิดโอกาสให้แฟนๆทั่วโลกได้โหวตเลือกเพลงที่อยากใส่ไว้ในอัลบั้มนี้กันตามอัธยาศัย...และมีแค่ 2 ประเทศเท่านั้นที่ได้โหวตให้เพลง Someone Put Your Hand Out เข้ามารวมอยู่ในอัลบั้ม King of Pop นี้ด้วย คือ เวอร์ชั่นของ ออสเตรเลีย และ สหราชอาณาจักร (ซึ่งรวมใน Deluxe Edition) นั่นเอง...
เหตุผลที่เลือก : นอกจากความหาฟังยากแล้ว...เมโลดี้เพลงนี้มันสวยงามจริงๆ...^_^
Days In Gloucestershire...นี่อาจจะเป็น "ความสงบ" ที่แท้จริงที่ตัวเขาต้องการ...
หลังจากอัลบั้ม Invincible ในปี 2001...ชีวิตของ ไมเคิล ก็พบเจอวิบากกรรมกันอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่องเลยนะครับ...และในปี 2006 หลังจากที่ ไมเคิล หมดพันธะกับทาง Epic (จริงๆคือ Sony นั่นแหละ) ก็ได้ไปเซ็นสัญญากับ ค่ายเพลงของ สมาชิกราชวงศ์บาห์เรน และได้ย้ายไปอยู่ที่ Westmeath ในประเทศไอร์แลนด์ เพื่อทำเพลงกันต่อ...
และไม่น่าเชื่อว่า ไมเคิล จะได้ใช้เวลาอยู่ที่ ไอร์แลนด์ กันอย่างสงบกันนานหลายเดือนเลยทีเดียว โดยที่ปราศจากการรบกวนจากเหล่าสื่อและแฟนๆ...จนกระทั่งแกได้เปิดเผยออกสื่อในปี 2006 กับการที่ให้ Access Hollywood ได้เข้าไปสัมภาษณ์ที่ Westmeath ซึ่งในช่วงเวลานั้น ไมเคิล กำลังทำเพลงใหม่ร่วมกันกับ will.i.am แห่งวง Black Eyed Peas นะครับ...
(แต่ว่าจากการจากไปของ ไมเคิล ทำให้ตัว will.i.am ได้ประกาศไว้แล้วนะครับว่า เพลงที่เขาได้ร่วมทำกับ ไมเคิล (ที่คาดกันไว้ว่าประมาณ 4 เพลง) จะไม่ปล่อยออกมาเด็ดขาด เพาะเขาต้องการเคารพในความเป็น perfectionist ของ ไมเคิล นั่นเอง)
แต่ก่อนที่ ไมเคิล จะได้ไปอยู่ที่ ไอร์แลนด์ อย่างสงบนั้น...ในปี 2004 แกได้ร่วมเขียนเพลงกับ Brad Buxer ที่เป็น producer ที่ร่วมงานกันมายาวนาน จนได้เพลงที่ชื่อว่า Days in Gloucestershire ขึ้นมานะครับ...แต่ว่าเพลงนี้ยังเป็นแค่ demo ที่ทำไม่เสร็จ...และก็คงจะไม่มีโอกาสได้ฟังเวอร์ชั่นสมบูรณ์กันเสียแล้ว...Y_Y
Days in Gloucestershire ได้แรงบันดาลใจมาจากการที่ ไมเคิล และวง The Jackson Five ได้เดินทางไปยังเมือง Gloucestershire ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอังกฤษ ในช่วงยุค 70's นะครับ...โดยการเดินทางครั้งนั้น ถือว่าเป็น 1 ในความทรงจำอันสวยงามของตัว ไมเคิล เองด้วย...
แต่ถึงแม้ว่าเพลง Days in Gloucestershire นั้นจะยังทำไม่เสร็จก็ตาม...แต่ด้วยความสวยงามของตัวเพลงและการบรรยายถึงความสวยงามของสถานที่ ทำให้ฟังแล้วรู้สึกสงบ และ อบอุ่นใจกันพอสมควร...และนี่คงเป็นแรงบันดาลใจหนึ่งที่ทำให้ ไมเคิล ตัดสินใจเดินทางไปอาศัยที่ ไอร์แลนด์ ในช่วงเวลาที่เขาไม่สามารถกลับไปที่ Neverland ซึ่งเป็นบ้านของเขาได้อีกแล้ว และได้ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขจริงๆกันช่วงหนึ่ง...
เหตุผลที่เลือก : แม้ว่าเพลงนี้จะไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ตาม...แต่ความสวยงามของเพลงนี้มันมากมายจริงๆ...น่าเสียดายที่เราไม่มีโอกาสได้ฟังเพลงที่สมบูรณ์กันแล้ว...Y_Y
On the Line คือเพลงที่สวยงามที่สุดเพลงหนึ่งของ ไมเคิล ที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้ฟัง...
อันดับที่ 6 ที่ผมเลือกมานั้น...เป็นอีกเพลงที่เรียกได้ว่า หาฟังยากมากจริงๆ...เพราะว่ามันแทบจะไม่ได้เผยแพร่ออกมากันเท่าไหร่นัก...
ไมเคิล และ ผู้กำกับภาพยนตร์ Spike Lee ได้มาร่วมงานกันครั้งแรกในปี 1996 นะครับ...จากการที่ ไมเคิล ได้ให้ผู้กำกับคนนี้มารับหน้าที่กำกับ MV เพลง They Don't Care About Us ที่อยู่ในอัลบั้มชุด HIStory: Past, Present and Future, Book I ซึ่งวางแผงในปี 1995...
โดยที่ MV เพลงนี้นั้น จริงๆแล้วมันมี 2 เวอร์ชั่นนะครับ คือ เวอร์ชั่นที่ถ่ายทำที่เมือง Rio de Janeiro ประเทศบราซิล และ เวอร์ชั่นที่อยู่ในคุก...แต่ว่า คุก เวอร์ชั่น นั้นโดนแบนไม่ให้ออกอากาศทางทีวีนะครับ...เลยอาจจะหาดูได้ยากกันหน่อย...- -"
อันนี้เป็น Brazil Version นะครับ...
และนี่คือ Prison Version...ซึ่งกำกับโดย Spike Lee ทั้งคู่...
โดยที่ในปี 1996 นั้น...ตัวผู้กำกับ Spike Lee ก็กำลังทำหนังเรื่อง Get on the Bus กันอยู่พอดี...ไมเคิล ก็เลยร่วมกับ Babyface ที่มีผลงานการแต่งเพลงเด่นๆในช่วงนั้นอย่าง Every Little Step ของ Bobby Brown และ End of the Road กับ I'll Make Love to You ของ Boyz II Men เป็นต้น...แต่งเพลงขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ และนั่นก็คือเพลง On the Line เพลงนี้นั่นเอง...
แต่...ความ อิหยังวะ ของเพลงนี้มันก็ดันเกิดขึ้นซะงั้นครับ!!! เพราะว่าเพลงนี้แม้ว่ามันจะได้ใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง Get on the Bus นี้กันจริงๆ ในฐานะเพลงเปิดเรื่อง...แต่ในอัลบั้มรวมเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น มันกลับไม่มีเพลงนี้รวมอยู่ด้วยซะงั้น!!! แล้ว ไมเคิล ก็ดันตัดเพลงนี้ออกขายในรูปแบบ Limited Edition Minimax CD กันในปี 1997 ซะงั้นครับ!!! (พี่จะอินดี้อะไรขนาดน้าน - -")
มันก็เลยทำให้เพลงนี้ไม่เป็นที่รู้จักกันเท่าไหร่นัก เพราะว่าประกอบในหนังอินดี้ แถมขายแผ่นก็ขายแบบอินดี้เข้าไปอีก...ยังดีครับที่สุดท้าย On the Line มันก็ถูกรวมไว้ใน The Ultimate Collection ในปี 2004 ด้วย..เลยทำให้แฟนๆหาฟังกันได้ง่ายขึ้นนิดนึง...^_^
ซึ่งด้วยความสวยงามของตัวเพลง และ ความหมายของเนื้อร้องที่เป็นการให้กำลังใจ...ทำให้อดเสียดายในความ อินดี้ ตอนที่ปล่อยเพลงนี้ออกมาครั้งแรกไม่ได้เหมือนกันนะครับ...ถ้าโปรโมตและขายกันดีๆ เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงที่ดังและน่าจดจำในวงกว้างอีกเพลงของ ไมเคิล เลยก็ว่าได้...- -"
เหตุผลที่เลือก : มันเป็นเพลงที่ดีมาก...เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว...^_^
Whatever Happens เป็นอีก 1 เพลงดี จากอัลบั้มที่ถูกเมิน...
Invincible วางแผงในปี 2001...ซึ่งในเวลานั้น ไม่มีใครคาดคิดหรอกครับ ว่ามันจะเป็น studio album ชุดสุดท้ายในชีวิตของ Michael Jackson...
และในช่วงเวลาของอัลบั้มนี้ มันก็มีอะไรเกิดขึ้นหลายอย่างด้วยเช่นเดียวกัน...
ย้อนไปในปี 1997 หลังจากที่ ไมเคิล ได้ปล่อยอัลบั้ม "ฆ่าเวลา" กันอย่าง Blood on the Dance Floor: HIStory in the Mix ที่เป็นการเอาเพลงจากอัลบั้ม HIStory มา remix กันใหม่ และใส่เพลงใหม่ (ที่ถูกตัดออกจาก HIStory นั่นแหละ) กัน 5 เพลง...แกก็เริ่มต้นที่จะทำเพลงใหม่กัน และในช่วงเวลานั้น ไมเคิล เริ่มที่จะทดลองทำอะไรใหม่ๆกันหลากหลายแนวหลากหลายสไตล์นะครับ...
ซึ่งด้วยความเป็น perfectionist ของพี่แก...ทำให้แกก็ก้มหน้าก้มตาทำเพลงกันอย่างไม่จบไม่สิ้น ถ้าเพลงยังไม่เป็นที่น่าพอใจก็ทำใหม่แก้ใหม่กันไปเรื่อยๆ...แถมยังใช้งบในการทำอัลบั้มนี้กันแบบบ้าคลั่ง (ว่ากันว่าอาจจะสูงถึง 30 ล้านเหรียญ กันเลยครับ) จน Sony ชักจะอดรนทนไม่ไหว ขีดเส้นตายให้ต้องปล่อยอัลบั้มใหม่กันได้แล้ว...
ทำให้แกจำต้องมาเร่งงานแบบไฟล้นก้นจนวินาทีสุดท้าย...ถึงขนาดที่ว่า เพลงสุดท้ายที่ใส่ในอัลบั้ม Invincible นี้อย่างเพลง You Are My Life นั้น เพิ่งจะได้บันทึกเสียงกันเสร็จก่อนที่อัลบั้มจะวางแผงกันแค่ 2 เดือนเท่านั้นด้วยซ้ำ...สุดท้าย Invincible ก็ได้วางแผงขายกันจริงๆในเดือน ตุลาคม 2001...และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่าง ไมเคิล และ Sony นั่นเอง...
***ไหนๆก็ไหนๆละ...พูดถึงเพลงนี้ทีไรแล้วแค้นใจไม่หาย ขอระบายกันซักหน่อยละกันครับ...***
โดยปกติแล้ว ในแต่ละอัลบั้มที่ ไมเคิล ได้ทำนั้น...พี่แกมักจะทำเพลงเก็บกันไว้ "หลักร้อยเพลง" ต่อครั้งกันเลยนะครับ...ก่อนที่จะค่อยๆคัดเลือกกันจนได้เพลงที่อยู่ในแต่ละอัลบั้ม...ซึ่งในแต่ละช่วงเวลาของแต่ละอัลบั้มนั้น ก็จะมีเพลงดีๆที่ถูกตัดทิ้งจากการใส่ไว้ในอัลบั้มนั้นๆกันเยอะมาก...บางเพลงแกก็อาจจะเอามาแก้ไขใหม่ต่อไปเรื่อยๆ บางเพลงนี่ถึงกับรื้อทำใหม่กันไปเลยนะครับ...
แล้วเพลง You Are My Life ที่แกตัดสินใจเลือกเป็นเพลงสุดท้ายที่จะใส่ไว้ในอัลบั้ม Invincible นี้นั้น...ส่วนตัวผมชอบเพลงนี้น้อยที่สุด และเป็นเพลงที่ชอบน้อยมากๆเพลงหนึ่งเลยในบรรดาเพลงของ ไมเคิล ที่เคยได้ฟัง...โอเคแหละว่า เพลงนี้แกแต่งขึ้นมาเพื่อลูกๆทั้ง 3 คนของแก...แต่ตัวเพลงมันไม่ได้เลยครับ...
และเมื่อได้รู้ว่า เพลงที่ถูกคัดทิ้งออกไปเพื่อที่จะใส่ You Are My Life เข้ามานั้นเป็นเพลงอะไรบ้าง ผมก็ยิ่งเสียดาย...โคตรเสียดายเลยด้วย...
เอาตัวอย่างที่ชัดเจนหน่อยก็ Xscape นี่แหละครับ...เพลงนี้ทำไว้ตั้งแต่ปี 1999 เพื่ออัลบั้ม Invincible กันนี่แหละ...แต่สุดท้ายก็โดนเบียดออกไป...และเพลงนี้ก็หลุดออกมาในโลกออนไลน์หลังจากนั้น (น่าจะปี 2002 นะครับ ถ้าจำไม่ผิด)...แล้วภายหลังถูกเอาไปใช้ในอัลบั้มรวมเพลงในปี 2014...แต่ก็โดน Timbaland และพวก เอาไปยำจนเสียของกันเสียอีก...ยังดีที่มี original version แถมมาใน Deluxe Edition ให้ได้ฟังกัน...- -"
อันนี้เป็น original version ที่เคยหลุดมาตอนปี 2002 นะครับ...
และนี่คือเวอร์ชั่นที่ถูกยำใหม่และวางขายในปี 2014 นะครับ...- -"
และอีกเพลงที่ผมเสียดายมากๆที่ถูกเบียดหลุดอัลบั้มไปเพราะเพลง You Are My Life นั่นก็คือ Shout นั่นเองครับ...ซึ่งเพลงนี้ ไมเคิล ได้ sampled ท่อน hook มาจากเพลง Shout ของ The Isley Brothers ที่ออกมาในปี 1959 นะครับ...ซึ่งเพลงนี้ยังดีหน่อยที่มันยังถูกเอามารวมเป็นเพลง b-side ของ single Cry ที่ออกมาในช่วงปลายปี 2001 นะครับ...และจนบัดนี้ Shout ก็ยังไม่เคยถูกเผยแพร่กันอย่างเป็นทางการอีกเลย...- -"
กลับมาที่อัลบั้ม Invincible กันต่อ...
เนื่องด้วยความขัดแย้งระหว่าง ไมเคิล และ Sony (หรือถ้าระบุกันตรงๆก็คือ กับตัว Tommy Mottola ผู้เป็นประธาน Sony Music ในเวลานั้น) กำลังเริ่มคุกรุ่น...แม้ว่าจะมีการตั้งงบโปรโมตอัลบั้มนี้กันไว้ที่ 25 ล้านเหรียญแล้วก็ตาม...แต่เมื่อถึงเวลาที่อัลบั้มนี้วางแผงกันจริงๆ กลับแทบไม่มีการโปรโมตจากค่ายกันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก...
และเพลงเปิดตัวอัลบั้ม Invincible นี้...เดิมทีแล้ว ไมเคิล ตั้งใจจะใช้เพลง Unbreakable เป็นเพลงเปิดตัว...แต่ว่า Sony กลับตัดสินใจเลือกใช้เพลง You Rock My World เป็นเพลงโปรโมตแทน...แต่ถึงแม้จะมีปัญหากัน เพลง You Rock My World นี้ก็ดันตัวเองเข้า Top 10 บน Hot 100 ได้นะครับ...และเป็นเพลง Top 10 เพลงสุดท้ายในช่วงชีวิตของ ไมเคิล นั่นเอง...
แต่ด้วยความสัตย์จริง...ตั้งแต่วันแรกที่อัลบั้มนี้วางแผง ผมได้ไปซื้อเทปชุดนี้มาเปิดฟัง...ผมก็รู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกเลยนะครับว่า Unbreakable มันควรจะเป็นเพลงเปิดตัวอัลบั้มนี้กันจริงๆ...และผ่านมา 20 ปี...เพลงนี้ก็ดันกลับมาเป็นกระแสใน Tiktok กันซะงั้นครับ!!! ^_^
สงครามเย็นระหว่าง ไมเคิล และ Sony ยังคงดำเนินกันต่อไป...แผนโปรโมตที่เคยวางไว้ โดนยกเลิกไปเพียบ โดยเฉพาะ World Tour ที่โดนเรื่องของ 9/11 เข้ามาเป็นอีกปัจจัยให้ถูกยกเลิกแผนนี้ไป...ในขณะที่ single ที่ 2 ของอัลบั้มนี้อย่าง Cry ก็แทบจะไม่มีการโปรโมตอะไรด้วย แถมตัว ไมเคิล เองก็ไม่ได้ไปมีส่วนร่วมใน MV เพลงนี้กันอีกต่างหาก...
และไม่เพียงเท่านั้น...เพลงที่ถูกวางให้เป็น single ถัดไปอย่าง Butterflies นี่ถึงกับไม่มีการโปรโมตใดๆทั้งสิ้นเลยด้วยซ้ำ นอกจากตัดแผ่นส่งไปเปิดในคลื่นวิทยุในอเมริกาเท่านั้น...แต่ถึงมันจะถูกปิดกั้นการมองเห็นกันขนาดนี้ Butterflies ก็ดันตัวเองไปถึงอันดับที่ 14 บน Hot 100 ได้แบบงงๆเช่นกัน...และในที่สุด Sony ก็ประกาศเลิกโปรโมตอัลบั้ม Invincible กันในช่วงกลางปี 2002 นะครับ...
นอกจากปัญหาเรื่องการโปรโมตแล้ว...นักวิจารณ์เพลงในยุคนั้นก็ไม่ค่อยปลื้มกับอัลบั้มนี้กันเท่าไหร่...คนฟังบางส่วนก็ อิหยังวะ กับบางเพลง...มันก็เลยทำให้อัลบั้ม Invincible นี้ ไม่ประสบความสำเร็จกันเท่าที่ควร...
แต่ว่า...ไมเคิล เป็นคนที่มักจะทำอะไรก้าวล้ำล่วงหน้าคนอื่นอยู่เสมอ...และจากการที่อัลบั้ม Invincible นี้เป็นเหมือน การทดลอง อะไรหลายๆอย่าง...ทำให้หลายๆเพลงที่คนฟัง "เข้าไม่ถึง" กันในช่วงเวลานั้น ต้องใช้เวลากันพอสมควรกว่าที่จะ "เก็ต" ในสิ่งที่ ไมเคิล นำเสนอกันนะครับ...
อย่างเพลง Butterflies ด้านบนนี่ก็เป็นการทดลองแนวแบบ neo soul+lo-fi นะครับ...และอีกเพลงหนึ่งที่ในปี 2001 นั้น ผมฟังแล้วยังเข้าไม่ค่อยถึง แต่รู้สึกได้ว่ามันล้ำมากๆ...เพลงนั้นชื่อว่า Heartbreaker...
ก่อนที่ในอีก 10 กว่าปีต่อมา จะมีคนไปถาม Rodney Jerkins ซึ่งเป็น 1 ใน producer คู่ใจของ ไมเคิล กันมายาวนานว่า "ไมเคิล เคยทำเพลงแนว dubstep ด้วยไหม" ซึ่งตอนแรกนึกว่าถามเอาขำๆกัน เพราะว่าช่วงเวลาที่ dubstep เริ่มโด่งดังทั่วโลกนั้น เป็นช่วงเวลาที่ ไมเคิล จากไปแล้ว...แต่ Rodney Jerkins a.k.a. Darkchild ก็ดันตอบกลับคนถามมาว่า "มีนะ...ก็ Heartbreaker นั่นไง"...
ปริศนาทุกอย่างไขกระจ่างแล้ว!!! ไอ้เพลงที่ผมเข้าไม่ถึงในปี 2001 นั่น...มันคือเพลงแนวที่เรียกว่า dubstep กันในปัจจุบันนั่นเอง!!! และทำให้ในภายหลังเริ่มมีการยอมรับเพลง Heartbreaker กันว่า "เป็นเพลง dubstep เพลงแรกๆที่ปล่อยออกมาแบบ mainstream" นะครับ...^_^
แม้ว่าอัลบั้ม Invincible นั้นจะถูกด้อยค่าในช่วงเวลาที่มันออกมาตอนแรกกันไปหน่อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็เริ่มจะแสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงในตัวมันกันแล้วนะครับ นอกจาก Unbreakable แล้วนั้น ก็ยังมีเพลงอย่าง Heaven Can Wait ที่กำลังเริ่มเป็นกระแสใน Tiktok ช่วงนี้ด้วยเช่นกัน...
และอีกเพลงในอัลบั้มนี้ที่ดีจนอยากให้หลายๆคนได้ลองฟังกัน และ ผมเลือกให้เป็น อันดับที่ 7 ของ list นี้ คือ Whatever Happens...
เดิมทีนั้นเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นมาให้นักร้องคนอื่นก่อนแล้ว แต่พอ ไมเคิล และ Teddy Riley ที่เป็น producer คู่ใจอีกคนได้ฟังเพลงนี้แล้วชอบก็เลยขอนำเอาไปใช้...
ความพิเศษของเพลง Whatever Happens นี้ก็คือ เป็นเพลงที่มีกลิ่นอายแบบคาวบอยผสมละตินอยู่ด้วย และถ้าคิดว่ายัง ละติน ไม่พอ...เพลงนี้ได้ Carlos Santana มาร่วม feat. ด้วยครับ!!!
และที่น่าเสียดายที่สุด คือ เพลงนี้ถูกวางไว้ว่าจะปล่อยออกมาเป็น single ที่ 4 ของอัลบั้ม Invincible นี้ด้วย...แต่มันก็ถูกยกเลิกไป ตามที่เล่าไว้ด้านบนนี่แหละครับ...Y_Y
เหตุผลที่เลือก : Santana!!! (แต่ว่าเพลงนี้มันก็ดีจริงๆแหละ ^_^)
ถ้า Sony เลือกปล่อย Slave to the Rhythm เวอร์ชั่นนี้ออกมา...มันน่าจะดีกว่านี้เยอะเลยล่ะ...
เพลงที่ 8...เพลงนี้เลือกมาเพราะว่า ความเสียดาย(และความแค้น) ส่วนตัวล้วนๆครับ...- -"
หลังจากการจากไปของ ไมเคิล ในปี 2009...แฟนๆต่างก็เฝ้ารอว่า Sony จะจัดการกับเพลงที่ ไมเคิล ทิ้งเอาไว้ให้หากินต่อกัน "จำนวนมาก" นี้อย่างไรบ้าง...ซึ่งในปี 2010 ก็ได้มีอัลบั้ม Michael ออกมา (พร้อมกับคำครหาตามที่เล่าไว้ด้านบนนะครับ)...
แต่ในปี 2010 เช่นกัน ก็มีเพลงหลุดออกมาอยู่เพลงนึง และเป็นเพลงที่ทำให้แฟนๆถึงกับตาลุกวาวกันพอสมควร เพราะว่าเพลงมันว้าวกว่าบางเพลงที่อยู่ในอัลบั้มชุด Michael กันเสียอีก และก็ได้แต่สงสัยว่า ทำไมเพลงนี้มันไม่ถูกรวมมาอยู่ในแผ่น...เพลงนี้ชื่อว่า Slave to the Rhythm...
และความว้าวของเพลงมันไม่ได้หยุดแค่ที่แฟนคลับเท่านั้นครับ เพราะว่าในปี 2013...ก็มีการหลุดมาของ Slave to the Rhythm กันอีกรอบ แต่คราวนี้มีการ remix ใหม่ และมีเสียงร้องของ Justin Bieber อยู่ด้วยซะงั้นครับ!!!
คราวนี้เสียงแตกเลยฮะ บางส่วนก็ชอบ แต่บางส่วนก็ไม่เอาด้วยเช่นกัน...แต่มันก็มีกระแสออกมาด้วยว่า เพลงนี้อาจจะได้อยู่ในอัลบั้มรวมเพลงชุดใหม่...และเมื่อถึงปี 2014 มันก็มีเพลง Slave to the Rhythm รวมอยู่ในอัลบั้มชุด Xscape กันจริงๆ...แต่ไม่มีเสียงของ Justin Bieber อยู่ในนั้นเฉย...
ซึ่งเหตุผลมันก็ง่ายๆครับ...The Estate of Michael Jackson ได้ออกมาประกาศก่อนหน้านั้นว่า เวอร์ชั่น remix ที่มีเสียง Justin Bieber ร้องอยู่ด้วยนั้น...ไม่ได้รับอนุญาตกันอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด...และ The Estate ก็ไม่มีมีแผนที่จะปล่อยเพลงนี้แบบที่มี Justin Bieber ร่วมร้องด้วยกันแต่อย่างใดนั่นเอง...
แต่ถึงไม่มี JB ก็ไม่ได้ทำให้ความคาดหวังของแฟนๆลดลงแต่อย่างใด...แถมก่อนที่อัลบั้ม Xscape จะวางแผงแค่ 1-2 วัน ก็มีตัวอย่างสั้นๆของ Slave to the Rhythm ไปเปิดโปรโมตในรายการ The Ellen Show กันด้วยนะครับ...ทำให้แฟนๆมั่นใจว่า ยังไงเพลงนี้ก็มาแน่ๆ...
แต่พอถึงวันวางแผงกันจริงๆ...สิ่งที่แฟนๆได้ฟังกัน...มันกลับเป็นเพลงนี้...- -"
เหวอกันไปทั้งโลกเลยสิครับ!!! แต่ก็ยังปลอบใจกันว่า Deluxe Edition มันยังมี...ไปลองฟังแผ่นนั้นดูกันต่อ...หนักกว่าเดิมอีกครับ!!! Y_Y
งงหนักกันทั้งโลกครับ!!! แล้วไอ้ที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ 4-5 ปี นี่มันคืออะไรกัน??
คำตอบของเรื่องนี้ก็คือ...
Slave to the Rhythm นั้น เวอร์ชั่นแรกเริ่มเดิมที มันทำกันในปี 1990 ช่วงอัลบั้ม Dangerous โน่นเลยครับ...แต่ก็โดนปัดตกกันไป...จนกระทั่งมาถูกใส่ใน Xscape Deluxe Edition ในปี 2014 นี่เอง...
ส่วนเพลงที่หลุดมากันตั้งแต่ปี 2010 นั้น...มันคือ Slave to the Rhythm เวอร์ชั่นที่ได้ Tricky Stewart มา remix ใหม่ แต่ก็ยังไม่มีแผนที่จะปล่อยออกมากันแต่อย่างใด...- -"
และเวอร์ชั่น 2013 ที่มีเสียง Justin Bieber ด้วยนั้น...เป็นการ remix โดย Max Methods ที่ได้ทำงานร่วมกันกับ Tricky Stewart และได้รับมอบหมายให้ลองทำเพลงนี้ขึ้นมาใหม่...แต่ก็ไม่รู้ว่าเพลงนี้มันหลุดออกมาได้ยังไงอีกเช่นกัน...- -"
และเวอร์ชั่นที่อยู่ในอัลบั้ม Xscape นั้น..เป็นการ remix โดย Audien ภายใต้การควบคุมดูแลโปรเจคต์นี้โดย Timbaland นั่นเอง...- -"
ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วนั้น...ถ้าเลือกได้ ผมอยากจะเลือกเวอร์ชั่นของ Tricky Stewart มาใส่แผ่นมากที่สุดครับ...แต่ว่าสุดท้าย Sony ก็ไม่ได้เลือก...
(อะไรที่แฟนๆต้องการ Sony แ*่งก็ไม่เคยจะทำตามซักทีเลยจริงๆ - -")
เหตุผลที่เลือก : ในช่วงเวลาที่เพลงนี้เวอร์ชั่นของ Tricky Stewart หลุดออกมา...มันว้าวมากจริงๆครับ...และเป็นเพลงที่หลุดออกมาไม่กี่เพลงในช่วงหลังๆที่ฟังแล้วว้าวแบบสุดๆขนาดนี้...
9 เพลงในอัลบั้ม Thriller นั้นยอดเยี่ยม...แต่เพลงที่ถูกคัดออกก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน...อย่างเช่น Hot Street เพลงนี้...
มาถึงเพลงที่ 9 แล้ว...ท่านที่ไล่อ่านมาจนถึงตอนนี้ก็อาจจะแอบคิดว่า มันจะไม่มีเพลงจากอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาลอย่าง Thriller ติดมากันด้วยเหรอ?
คำตอบคือ มีครับ...แต่เพลงที่ผมชอบที่สุดจากยุคนี้...มันไม่ได้อยู่ในอัลบั้ม Thriller ด้วยสิครับ!!! - -"
อย่างที่เล่าไปด้านบนนะครับ ว่าในทุกอัลบั้ม ไมเคิล จะทำเพลงเก็บไว้ใช้เลือกกันหลักร้อยเพลง...และในช่วงที่กำลังทำอัลบั้ม Thriller นั้น...ว่ากันว่า มีเพลงที่ ไมเคิล และ ทีมงาน ช่วยกันทำเก็บไว้กันถึงประมาณ 2-300 เพลงเลยทีเดียว!!!
แต่ว่าสุดท้าย Thriller ก็ออกมาเพียงแค่ 9 เพลงแบบนี้คัดกันเนื้อเน้นๆแล้ว...แต่ว่ามันก็มีหลายๆเพลงที่ถูกคัดออกมาเหมือนกันและหลุดออกมาให้ได้ฟังกันทีหลัง ที่ฟังแล้วก็รู้สึกว่า มันก็ยัดใส่ในอัลบั้มกันเลยก็ได้นะ...- -"
แต่ถึงจำนวนเพลงที่ทำเก็บไว้จะดูเยอะนะครับ แต่หลายๆเพลงมันก็เป็นการต่อยอด หรือ ทำซ้ำ กันนะครับ...ซึ่งบางเพลงที่โดนต่อยอดไปแล้ว บางทีพี่แกก็กลับเอามาทำใหม่กันอีก...
ยกตัวอย่างกันชัดเจน คือ Thriller ที่เป็นชื่ออัลบั้ม...แรกเริ่มเดิมทีนั้น มันเกือบจะไม่ได้ชื่ออัลบั้มว่า Thriller กันแล้วด้วยนะครับ...เพราะว่าก่อนหน้านั้น เพลงนี้มันถูกสร้างขึ้นมาในชื่อว่า Starlight..ก่อนที่จะถูกพัฒนาต่อยอดกันมาจนเคาะที่ Thriller กันในที่สุด...^_^
และมีอีกเพลงอย่าง P.Y.T. (Pretty Young Thing) ที่ตอนแรกนั้น demo เพลงนี้ มันกลายเป็นคนละเพลงกับเวอร์ชั่นที่อยู่ในอัลบั้มกันเลยด้วยซ้ำครับ!!! และในปี 2008 ที่มีการออกอัลบั้ม Thriller 25 ออกมา...will.i.am เจ้าเก่า ได้รับหน้าที่ให้ทำการ remix เพลงนี้กันใหม่...และพี่ william แกเลือกเอา P.Y.T. ตัว demo นี้มา remix กันนั่นเองครับ...^_^
ซึ่งใน Thriller 25 นั้น ก็ได้มีการนำเอาเพลงที่เก็บไว้ออกมาใส่แผ่นขายกันอย่าง For All Time ด้วยนะครับ...และใน Deluxe Edition ก็ยังมีเพลงที่เคยใส่ไว้ในตอนที่ remastered อัลบั้มนี้กันในปี 2001 แล้วอย่าง Someone in the Dark (ที่ใส่มาเป็นตัว Opening Version) และ Carousel (ที่ใส่มาครึ่งเพลง) มาขายอีกรอบนะครับ...และยังไม่พอ...Thriller 25 Japanese Version ก็แถมเพลงอย่าง Got the Hots กันอีกเพลงด้วยครับ!!!
ทำให้ในปีนี้ที่มีการประกาศแล้วว่าจะขาย Thriller 40 กันนั้น...จะมีเพลงที่แถมมาด้วยมากน้อยกันแค่ไหน และจะเป็นเพลงอะไรกันบ้าง...รวมทั้งจะเป็นเพลงที่หลุดออกมากันแล้ว หรือ เป็นเพลงที่ยังไม่เคยหลุดออกมากันเลย...รอฟังกันได้ตอนปลายปีครับ ^_^
และในบรรดาเพลงที่หลุดออกมาแล้วนั้น...หลายต่อหลายเพลงเลยที่เพลงค่อนข้างดีจนอดคิดไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่เอาใส่เข้าไปในอัลบั้ม Thriller ด้วย...และเพลงที่ผมคาใจที่สุดในบรรดาเพลงหลุดของยุคนี้ก็คือ Hot Street นั่นเอง...
Hot Street เป็นอีกเพลงที่แต่งโดย Rod Temperton นะครับ...ซึ่งเพลงนี้จริงๆแล้ว ไมเคิล ค่อนข้างที่จะชอบมาก และตั้งใจจะเอาใส่ในอัลบั้ม Thriller แล้วด้วย...แต่ว่าตัวของ Rod Temperton เอง และ Quincy Jones ผู้เป็น producer หลักของอัลบั้มนี้ กลับมองว่าเพลงนี้มันยังฟังดู "อ่อนเกินไป" เมื่อเทียบกับเพลงอื่นๆที่เลือกไว้แล้ว...
ฟังแล้วก็ได้แต่เสียดายล่ะครับ...และก็แอบหวังว่า มันจะได้ถูกเผยแพร่อย่างเป็นทางการใน Thriller 40 ด้วยละกัน...Y_Y
เหตุผลที่เลือก : จริงๆแล้วเพลงในยุค Thriller นั้น...ผมชอบเพลงนี้กับ Thriller มากที่สุดแล้วนะครับ...แต่เหตุผลที่เลือกเพลงนี้ติดอันดับ เป็นเพราะว่า ฟังแล้วรู้สึกสนุกกว่า และ เสียดายที่มันโดนคัดออกจากอัลบั้มในนาทีสุดท้ายนี่แหละ...Y_Y
Show You The Way To Go เป็นการก้าวผ่านจากเพลงแบบ Motown สู่ Philly soul ที่โอเคอยู่นะ...
สาเหตุสำคัญที่ The Jackson Five นั้นออกจาก Motown ค่ายที่ปลุกปั้นกันมาในปี 1976 นั้นเป็นเพราะว่า ต้องการอิสระในการทำเพลงมากกว่านี้...เพราะว่าที่ผ่านมานั้น Motown เขามีทีมทำเพลงประจำค่าย ที่ได้รับการขนานนามว่า The Corporation ทำเพลงให้มาโดยตลอด...แต่เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น ก็เลยอยากจะลองทำงานแบบที่ต้องการดูบ้าง...
พอตกลงกันไม่ได้ วง The Jackson Five เลยออกจาก Motown มาอยู่กับ Epic Records แต่ว่าไม่สามารถใช้ชื่อวงว่า The Jackson Five ได้อีก เพราะว่าชื่อวงนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Motown...และหนำซ้ำ Jermaine Jackson ที่รับหน้าที่ มือเบส และ ร้องนำอีกคนของวง ได้แต่งงานกับลูกสาวของ Berry Gordy เจ้าของค่าย Motown เลยเลือกอยู่กับค่ายนี้ต่อไป...ทำให้ต้องดัน Randy น้องชายคนสุดท้อง ขึ้นมาเป็นสมาชิกคนใหม่แทน...
การเปลี่ยนผ่านจาก Motown มาอยู่กับ Epic (ที่มี CBS เป็นบริษัทแม่) ของ The Jacksons (ชื่อวงที่เปลี่ยนใหม่) นั้นค่อนข้างเป็นอะไรที่แปลกใหม่และท้าทายนะครับ เพราะว่าตอนอยู่ Motown นั้น สไตล์เพลงมันก็จะเป็นแบบ Motown ที่เน้นในทาง R&B และ Pop กันชัดเจน ในขณะที่ Epic นั้นจะเป็นแนวเพลงแบบ Philadelphia soul ที่มีความ funk มากกว่า...แม้ว่าชุดท้ายๆตอนอยู่ Motown นั้นก็เริ่มจะ funk ขึ้นบ้างแล้วก็ตาม...
ยกตัวอย่าง Philly soul ที่เห็นภาพชัดๆ คือ เพลงดังอย่าง TSOP (The Sound of Philadelphia) ของวง MFSB ที่ feat. กับวง The Three Degrees กันนะครับ...หรือถ้ายกตัวอย่างกันใหม่ๆหน่อยก็คือ Skate ของ Silk Sonic นั่นแหละ...เพลงนี้มีการผสมกลิ่นอายแบบ Motown และ Philly soul ไว้ด้วยกัน...^_^
และเมื่อ The Jacksons มาอยู่ใน Epic กันแล้ว...ค่ายก็เลยจัดให้ "เทพแห่ง Philly soul" อย่างคู่หูนักแต่งเพลง Gamble and Huff มาเป็นคนดูแลเพลงให้วงนี้กันนะครับ...โดยที่ผลงานเด่นๆของคู่นี้ก็จะมีเพลงอย่าง Back Stabbers และ Love Train ของ The O'Jays และ Me and Mrs. Jones ของ Billy Paul เป็นต้นนะครับ...
แต่ว่าการมาอยู่ภายใต้การทำเพลงโดย Gamble and Huff พร้อมๆกับได้ลองทำเพลงกันเองด้วยนั้น...ผลตอบรับกลับไม่ค่อยดีเท่ากับสมัยที่อยู่กับค่าย Motown นะครับ...และทางวงก็คิดว่าเพลงที่คนอื่นแต่งให้มันไม่ค่อยจะเข้ากับตัววงเท่าไหร่...จนในที่สุดหลังจากที่ผ่านมา 2 อัลบั้ม...The Jacksons เลยตัดสินใจที่จะทำเพลงกันเองแบบเต็มตัว โดยเริ่มจากอัลบั้ม Destiny ในปี 1978...
แม้ว่าอัลบั้ม The Jacksons ในปี 1976 และ Goin' Places ในปีต่อมา จะไม่ได้รับการตอบรับดีมากเท่ายุคของ Motown ก็ตาม แต่ทั้ง 2 ชุดนี้ก็มีเพลงดีๆอยู่บ้างนะครับ เช่น Enjoy Yourself, Dreamer, Even Though You're Gone, Find Me a Girl และ...Show You the Way to Go...
Show You the Way to Go เป็น single ที่ 2 จากอัลบั้ม The Jacksons ในปี 1976 ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกหลังจากย้ายออกมาจาก Motown นะครับ...โดยที่เพลงโปรโมตก่อนหน้าอย่าง Enjoy Yourself นั้นประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง โดยสามารถขึ้นไปถึงอันดับ 6 บน Hot 100 ได้... แต่ว่าเพลงนี้ อาจจะไม่ได้ฮิตมากเท่าเพลงแรกนัก...เพราะว่าได้เพียงแค่อันดับ 28 เท่านั้น...
แต่เหตุผลที่ผมเลือกเพลงนี้เป็นอันดับที่ 10 ก็เพราะว่า...โดยรวมของเพลงนี้มันฟังดูลงตัวและให้ความรู้สึกสบายแบบอบอุ่นนั่นเองครับ...มันไม่ได้จัดจ้านแบบ disco funk ทั่วไป แต่ก็พอขยับได้เนิบๆ...^_^
และนี่ก็คือ 10 อันดับเพลงของ Michael Jackson ที่ผมชอบมากที่สุด...จากการคัดเลือกมาอย่างยากลำบาก...หลายๆเพลงก็จำต้องหลุดโผไปอย่างน่าเสียดาย...
สุดท้ายนี้...ขอแถมอีกเพลงละกัน...
เพลงนี้เดิมที ไมเคิล เริ่มแต่งขึ้นมาในปี 1998 ซึ่งเป็นยุคของการทำอัลบั้ม Invincible นั่นเอง...และเพลงนี้ก็ไม่เสร็จ...แต่แกก็ทำต่อเนื่องมาจนถึงปี 2004...เพลงนี้ก็ยังไม่เสร็จนะครับ แต่แกก็ปล่อยตัว demo ลงแผ่นในอัลบั้มชุด The Ultimate Collection ที่วางแผงในปี 2004 ด้วย...
และจนถึงวาระของชีวิต...เพลงนี้ก็ยังคงเป็น 1 ในรายชื่อเพลงที่ ไมเคิล ตั้งใจไว้ว่าจะต้องทำให้เสร็จให้ได้ ถึงขนาดเขียนแปะไว้บนหัวเตียงกันเลยนะครับ...แต่ก็คงจะได้แค่นั้นแล้วล่ะ...Y_Y
รายชื่อส่วนหนึ่งของเพลงที่ ไมเคิล ยังทำไม่เสร็จสมบูรณ์ และ เขียนโน้ตไว้ที่ห้องนอนนะครับ...บางเพลงก็มีหลุดออกมาบ้างแล้ว...
และเพลงที่ผมขอฝากปิดท้ายบทความนี้ คือ demo ของเพลง Beautiful Girl นะครับ...
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ครับ...^_^
โฆษณา