26 มิ.ย. 2022 เวลา 01:08 • ปรัชญา
ความกล้าหาญ…ผู้เร้นกายอยู่หลังม่านหมอกแห่งความกลัว
หากมองลึกๆเข้าไปในจิตใจของมนุษย์เราแล้วดูเหมือนกับว่าภารกิจที่เกิดมาส่วนมากจะเพื่อกำจัดความหวาดกลัวที่มีอยู่ในใจของตัวเราเอง เรากลัวความยากจนและอดตายเราจึงต้องรวย เรากลัวไม่มีงานทำเราจึงต้องเรียน เรากลัวพ่อแม่ลำบากเราจึงต้องต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่จะอำนวยให้พวกท่านสบาย เรากลัวว่าผู้คนจะไม่รักเราเลยต้องทำตัวดีๆ
เรากลัวผู้คนจะดูถูกเราเลยต้องพยายามพิสูจน์ตัวเอง เหล่านี้คือความกลัวเพียงบางส่วนที่พวกเราต้องเจอในเส้นทางของการมีชีวิตอยู่ ม่านหมอกแห่งความกลัวเหล่านี้มีกันอยู่ทุกๆคน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะมีทักษะในการรับมือกับมัน บางคนยังไม่รู้ตัวเลยด้วยช้ำว่าตัวเองมีความกลัว รู้แต่ว่าต้องรวย ต้องเรียนสูงๆ ต้องไปอยู่ในจุดที่ที่สบายเหนือกว่าคนอื่น
ถ้าเป็นอย่างนั้นการใช้ชีวิตก็คงจะเหมือนคนตาบอดคลำทางไม่รู้ว่าจะไปที่แห่งหนใด ไม่รู้ด้วยช้ำว่าตรงนั้นคือที่ไหน แต่ก็นั้นแหละรากลึกของกิเลสทั้งมวลก็น่าจะมาจากความกลัวนี้แหละแล้วเราจะขจัดมันออกมาได้อย่างไรนี้ก็เป็นปัญหาอยู่เหมือนกัน เพราะเราสามารถขจัดได้เป็นบางอย่างเท่านั้นเอง บางอย่างที่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาจะสามารถทำได้ และยังพอที่จะประคับประคองชีวิตให้อยู่ในรองในรอยได้
แต่ผู้ที่ขจัดได้อย่างเต็มรูปแบบก็มีเช่นกันคือองค์ศาสดาของศาสนาพุทธ(พระพุทธเจ้า)และเหล่าพระอรหันต์ พวกท่านเหล่านี้ ใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อที่จะฝึกขจัดความกลัวที่มันค่อยสร้างกิเลสขึ้นทำให้เกิดความอยากได้ อยากมี อยากเป็น สำหรับพวกเราแล้วคงไม่เอาถึงขั้นบรรลุธรรมขั้นสูงหรอก เอาแค่ให้ใช้ชีวิตที่ปราศจากความกลัวให้น้อยลงอีกหน่อยก็พอเเล้ว
เราจึงต้องอิงการขจัดความกลัวจากหลักอริยะสัจสี่ของพระพุทธเจ้า(ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค)นำมาเป็นแนวทางในการขจัดความกลัวของเรา โดยการเริ่มต้นที่การรู้จักความกลัวก่อน จากนั้นก็วิเคราะห์ว่าความกลัวนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรสาเหตุมากจากอะไร เมื่อวิเคราะห์สาเหตุได้แล้วจึงวิเคราะห์ความจริงของการขจัดความกลัวว่าถ้าปล่อยมันไว้จะเป็นอย่างไรต่อไปถ้าขจัดมันแล้วจะดีขึ้นอย่างไรเมื่อตกลงปรงใจได้แล้ว
ก็เข้าสู่วิธีการขจัดซึ่งความกลัวเราจะขจัดมันได้อย่างไรมีวิธีไหนบ้างที่จะลองใช้ดู เหล่านี้คือการนำหลักอริยะสัจสี่มาประยุกต์ใช้ให้เป็นขั้นเป็นตอนบางคนอาจจะคิดว่ามันไกลตัวเกินไปนั้นก็ไม่เสมอไป หากเรารู้จักความกลัวอย่างถ่องแท้แล้วเราก็จะไม่กลัวมัน เช่นคนขี้อายแต่เก่งในงานเฉพาะด้านกำลังจะขึ้นไปพูดบนเวที ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ของเขาตอนนี้ก็คือไม่กล้าขึ้นเวที
พฤติกรรมต่อมาคือเขาจะอยากหนีและขอบ่ายเบี่ยงไม่ยอมขึ้น แต่ก็นั้นแหละนี้คือไฟต์บังคับจากหัวหน้า เมื่อขึ้นไปบนเวทีแล้วรู้สึกตัวสั่นและพูดไม่ออก สาเหตุ?เกิดจากเขารู้สึกว่ามีตัวตนในสายตาของคนอื่นและคนอื่นจะคิดยังไงกับเขาในด้านต่างๆนาๆ(คิดไปเอง) (นี้คือทุกข์) หากเขาตรองดูอีกซักนิดสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนร่วมงานในวันนี้เป็นอย่างมาก
และสิ่งที่เขาจะพูดออกไปจะช่วยให้คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ตกงานน้อยลงแล้วถ้าหากว่าเขาไม่พูดหล่ะแน่นอนคนพวกนี้ก็จะไม่รู้เรื่องอะไรเลยและคงต้องตกงานเพราะปรับตัวไม่ทัน และอีกอย่างเขาไม่จำเป็นต้องคิดว่าคนอื่นจะคิดกับเขายังไงหรือสนใจเขายังไง นี้ขนาดเขามายืนอยู่บนเวทีขนาดนี้เขายังเอาแต่คิดถึงแต่เรื่องของตัวเองเลยคงไม่ต้องพูดถึงคนข้างล่างเลยพวกเขาก็คงจะคิดถึงแต่ตัวเองเช่นกัน(สมุทัย)
เมื่อคิดได้ดั่งนี้แล้วจึงตกลงปรงใจว่าจะพูดด้วยจิตใจที่แน่วแน่(นิโรธ) จากนั้นจึงเริ่มเรียงลำดับขั้นตอนการพูดเพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจเนื้อหามากที่สุดเท่าที่จะทำได้(มรรค)…ความกลัวในช่วงแรกก็ทุเลาลงไปบ้างยังไม่หายในครั้งเดียวหรอกเราต้องทุบมันไปเรื่อยๆจนเราชนะมัน แต่สำหรับครั้งแรกนี้ก็เพียงพอที่เราจะแหวกม่านหมอกไปสัมผัสกับความกล้าหาญได้บ้างแล้ว…
พระอาทิตย์ยังคงขึ้นในทางทิศตะวันออกและตกในทางทิศตะวันตกมาช้านานและมันก็คงจะยังเป็นแบบนี้ต่อไปอีก ปรัชญาที่ลึกซึ้งนี้(อริยสัจ4)มีมาช้านานและก็ยังคงใช้ได้ต่อไปอีกเฉกเช่นพระอาทิตย์ขึ้นและตกนั้นแล
โฆษณา