3 ก.ค. 2022 เวลา 00:03 • ความคิดเห็น
ทำไมเราถึงไม่ควรคิดแบบนักการเมือง
2
Adam Grant นักคิดผู้โด่งดังแห่งยุคสมัยที่เพิ่งมีหนังสือ think again ที่กระตุกความคิดเล่มล่าสุดได้จัดลำดับวิธีคิดที่จำเป็นในยุคสมัยแห่ง VUCA ที่ไม่มีอะไรแน่นอน โลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนประสบการณ์เดิมแทบจะใช้อะไรไม่ได้อีก ความกระหายใคร่รู้และความสามารถในการเรียนรู้ใหม่จึงเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เราไม่ตกยุคและยัง relevant ต่อโลกที่กำลังจะมาถึงได้
6
โปรเฟสเซอร์แกรนท์ได้จัดลำดับวิธีคิดจากวิธีที่ล้าสมัยและตกยุคที่สุดไปจนถึงวิธีที่เราควรจะคิดในยุคสมัยนี้ไว้อย่างน่าสนใจ โดยวิธีคิดแบบแรกเรียกว่าการคิดแบบ cult leader ก็คือยกตนเป็นศาสดา ฉันคือถูกตลอดเวลา ฉันเก่งที่สุด ซึ่งพบได้ในผู้นำขององค์กรที่อยู่มาอย่างยาวนาน มีอำนาจจนไม่มีใครเถียง
7
วิธีคิดแบบนี้จะไม่สามารถรับอะไรใหม่ๆได้เลยแม้แต่นิดเดียว เป็นพวก. I am always right วิธีคิดแบบที่สองเรียกว่าแบบนักการเมือง (politician) คือการคิดแบบพวกเราถูก พวกนั้นผิด หรือแนวไม่เลือกเราเขามาแน่ พวกนี้เป็นพวกที่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดตัวเอง ใครไม่เห็นด้วยคือศัตรูที่ต้องกำจัด พวกเราเท่านั้นที่ถูก กลุ่มความคิดแบบนี้ที่เห็นได้เวลาเราพูดถึง “การเมือง” ที่เลือกข้าง
17
ประเทศไทยน่าจะจัดอยู่ในลำดับต้นๆของโลกในเรื่องนี้ ความคิดแบบนี้ก็จะไม่สามารถทนรับความเห็นที่ต่างใดๆได้ ไม่ว่าโลกจะหมุนไปอย่างไรก็ตาม. เป็นพวก They are wrong! We are right!
1
วิธีคิดแบบที่สามเรียกว่าแบบ contrarian หรือประมาณว่ามองเป็นปัญหาคนอื่นใหญ่เท่าภูเขาของเราเล็กนิดเดียว การคิดแบบนี้ชอบมองเห็นคนอื่นผิด คนอื่นต้องเปลี่ยน ไม่พอใจอะไรไปเสียหมดยกเว้นตัวเอง มีเหตุผลในการบอกว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูก
เหมือนกับที่ลีโอ ตอลสตอยเคยกล่าวประโยคอมตะไว้ว่า....
6
ทุกคนอยากเปลี่ยนโลก แต่ไม่มีใครอยากเปลี่ยนตัวเอง ความคิดแบบนี้ก็จะทำให้ไม่อยากเปลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยนตัวเองในขณะที่โลกเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว เป็นพวก You are all wrong!
ลีโอ ตอลสตอย
10
วิธีคิดที่สี่เรียกว่าพวก critical thinker คือพวกที่ใคร่ครวญคิดอย่างมีวิจารณญาน ไม่ด่วนตัดสินใจอะไรว่าถูกหรือผิด ต้องหาข้อมูล พูดคุย สงสัยที่มาที่ไปของข้อมูลข่าวสาร หาความจริงมายันจนกว่าจะมั่นใจ กลุ่มนี้เรียกว่าเป็นพวก That might be wrong! หรือพวกที่ชอบ “เอ๊ะ” ไว้ก่อน ความคิดสร้างสรรค์ในอดีตก็มักจะมาจากการคิดแบบนี้
8
ส่วนวิธีคิดสุดท้ายที่โปรเฟสเซอร์แกรนท์บอกว่าสำคัญและจำเป็นที่สุดในยุคสมัยนี้ เรียกว่าการคิดแบบ Learner ด้วยความไม่รู้และกระหายใคร่รู้ ไม่ยึดติดกับความรู้เดิม และดีใจที่ “คิดผิด” คนเหล่านี้จะรายล้อมตัวเองด้วยคนที่จะมาท้าทายความคิดเดิมของเรา ทำลายความเชื่อเดิมๆ และสนุกกับการคิดผิดและคิดใหม่ตามบริบทที่เปลี่ยนไป ไม่อายที่จะทำผิดแต่สนุกกับการเรียนรู้ใหม่ๆนั้นได้
11
เรื่องกระบวนการคิดของโปรเฟสเซอร์แกรนท์ ทำให้ผมคิดถึงสี่ประโยคที่พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์เคยโพสต์ไว้ในเฟสบุ๊ค สองประโยคแรกนั้นทำให้นึกถึงสามกลุ่มแรกที่ยึดตัวเองเป็นสรณะ มีตัวเองเป็นศูนย์กลาง สองประโยคแรกก็คือ
1
ความสำเร็จมาจากการตัดสินใจที่ถูก
การตัดสินใจที่ถูกมาจากประสบการณ์….
ประภาส ชลศรานนท์
14
เพราะคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนที่ผ่านอะไรมามาก มีอายุมากหน่อยมักจะคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์ รอบรู้ มีความรู้มากพอที่ไม่ต้องการรับอะไรใหม่อีก หลายคนหลงคิดไปว่าสิ่งที่ตัวเองรู้ ที่ตัวเองมีคือสุดยอดจนไปพร่ำสอนคนอื่นรวมถึงพยายามกำจัดหรือรังเกียจคนที่เห็นไม่เหมือนตัวเองไป ด้วยความคิดที่ว่าพวกนั้นไม่มีประสบการณ์เหมือนเรา ไม่เข้าใจ และคิดผิดจากเรา
3
แต่สองประโยคหลัง ถ้าพินิจพิจารณาให้ดี คนที่มีประสบการณ์ ที่มั่นใจในตัวเองสูงจนไม่ฟังใครนั้น มักจะลืมสิ่งที่เขาผ่านมา ทำให้เขามีวันนี้ไป สองประโยคหลังมีใจความว่า
3
…..ประสบการณ์มาจาก การตัดสินใจที่ผิด
การตัดสินใจที่ผิด มาจากความกล้า
6
คนเหล่านี้ในอดีตก็เคยมีวิญญาณแห่ง learner และ critical thinker มาก่อน แต่กลับลืมเลือนสูญหายระหว่างทาง ถ้าโลกใหม่หมุนเร็วขนาดนี้ มีอะไรที่เราทั้งรู้ว่าตัวเองไม่รู้และไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ เพิ่มขึ้นมากมายในแต่ละวัน การที่เราจะตัดสินใจได้ถูกอีกครั้งก็ดูจะต้องกลับไปสู่แนวทางเดิมที่เราเคยทำมา ไม่ใช่ใช้ประสบการณ์เดิม อีโก้ที่เต็มตัว แต่เป็นการเปิดโอกาส ต้องกล้าให้ตัวเองลองทำอะไรผิดๆแป้กๆ คิดอะไรๆผิดๆอีกครั้ง
10
เราถึงจะสะสมประสบการณ์ใหม่ที่เข้ากับยุคสมัยนี้ได้ และซักพักก็จะต้องลืมประสบการณ์ใหม่ที่เพิ่งได้มาแล้วทำผิด ลองผิด คิดผิด ซ้ำใหม่อีกครั้ง
5
การทบทวนว่าเราจัดอยู่ในกลุ่มไหนโดยไม่มีอคติ คิดเพื่อปรับปรุงตัวเองเป็นหลัก ค่อยๆพินิจว่าเราชอบคิดเป็น politician หรือเป็น contrarian มากน้อยแค่ไหน แล้วจะพยายามค่อยๆคิดแบบเป็น learner ให้ได้มากขึ้นเรื่อยๆได้อย่างไร จึงเป็นคำถามที่ผมชวนถามตัวเองในวันนี้
2
เพราะโลกในยุคสมัยนี้จะรอดได้ต้องเป็น learner ไม่ใช่ politician …ตัวอย่างในชีวิตจริงก็เห็นชัดมากอยู่แล้วจนแทบไม่ต้องอธิบายเลยละครับ
เขียนไว้ให้เธอ
4
โฆษณา