1 ก.ค. 2022 เวลา 09:05 • ข่าว
บินรบ “พม่า” เหนือน่านฟ้าไทย คำถามถึงความรับผิดชอบของกองทัพ
หลังจากเป็นข่าวใหญ่กับการที่เครื่องบินรบแบบ Mig-29 ของกองทัพอากาศพม่ารุกล้ำน่านฟ้าของไทยที่ ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2565 ซึ่งเป็นพื้นที่ตรงข้ามกับพื้นที่สู้รบในฝั่งรัฐกะเหรี่ยงของพม่า ทำให้ประชาชนในพื้นที่ต้องหลบหนีกันด้วยความหวาดกลัว ซึ่งไม่เพียงแค่มีการบินรุกล้ำน่านฟ้าเท่านั้น ยังมีการใช้อาวุธจากเขตพื้นที่ประเทศไทยเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลในพื้นที่ประเทศพม่าอีกด้วย และมีรถยนต์ของประชาชนไทยได้รับความเสียหายจากลูกหลง
ที่น่าสนใจก็คือ เรื่องดังกล่าวเป็นข่าวเนื่องจากการลงคลิปวิดีโอที่ชาวบ้านถ่ายลง social network แทนที่จะเป็นกองทัพที่ควรรับรู้และดำเนินการใดใดเป็นหน่วยงานแรก เพราะเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรง ซึ่งเหตุการณ์โดยสรุปพบว่าเครื่องบิน Mig-29 ของพม่ารุกล้ำน่านฟ้าของไทยเป็นเวลาประมาณ 15 นาที แต่ก็ยังไม่เห็นว่ามีการตอบโต้หรือดำเนินการป้องกันใดใดจากกองทัพอากาศไทย
เรื่องนี้ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานและประสิทธิภาพในการปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยของกองทัพอย่างมาก ว่ามีความล่าช้า ไม่มีความสามารถในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้ พล.อ.ต. ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ ออกมาแถลงชี้แจงกรณีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการนำเครื่องบินรบ F-16 ของกองทัพอากาศ ขึ้นบินเพื่อรับมือกับเครื่องบินรบฝ่ายเมียนมาว่ามีความล่าช้า โดยยืนยันว่า "ปฏิบัติตามขั้นตอน วิธีการปฏิบัติ ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง"
"นักบินก็พร้อมวิ่งขึ้นภายใน 5 นาที ระยะทาง 100 กว่าไมล์ ประมาณ 10 กว่านาทีก็จะถึงเป้าหมาย แต่การไปด้วยเครื่องรบทางอากาศ นักบินก็ต้องระมัดระวัง" พล.อ.ต. ประภาส ระบุ
"เครื่องที่เข้ามาเมื่อวาน เขาเข้ามาแป๊ปเดียวแล้วก็ออกไป ในลักษณะการใช้อาวุธและโอเวอร์ชูต เข้ามาในพื้นที่ ที่เป็นภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ต้นไม่ ซึ่งเขาไม่เห็นหรอก ก็เห็นใจนักบินที่อยู่ข้างในเครื่องบิน"
ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ถ้อยแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่กล่าวว่า
“ทูตทหารเองก็ได้พูดคุยกันแล้ว เขาก็ขอโทษมา และตัวเองเองก็คุยกันแล้ว นี่เป็นเรื่องที่มองดูอาจเป็นเรื่องใหญ่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำให้เรื่องใหญ่ ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกหรือไม่ ซึ่งวันนี้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมีอะไรก็พูดคุยหารือกัน สิ่งสำคัญคือเรามีสมรรถนะพอเพียงที่จะป้องกันอธิปไตยของเราไว้ได้...ย้ำว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
หากจะมีประชาชนคิดว่าการแถลงของนายกรัฐมนตรี และกองทัพอากาศ แทบจะเป็นการแก้ตัวแทนกองทัพพม่าก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทั้งแสดงความเห็นอกเห็นใจเรื่องการรุกล้ำน่านฟ้า แถมตัวนายกรัฐมนตรีเองยังระบุว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เสียอีก
คำถามก็คือ การที่เครื่องบินรบของประเทศอื่นบุกเข้ามายังน่านฟ้าของประเทศไทย ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์กันแบบไหนก็ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของประเทศอย่างไม่สามารถยอมได้ หากเหตุการณ์เมื่อวานมีการใช้อาวุธกับประชาชนไทย รับรองได้เลยว่าต้องมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นอันมาก ไม่รวมความเสียหายต่อทรัพย์สิน แน่นอนว่าเราไม่เห็นการป้องกันภัยคุกคามใดใดจากกองทัพอากาศและกองทัพไทยตลอดระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์
ไม่เพียงแค่นั้น ในทางยุทธวิธีการที่เครื่องบินรบของประเทศใดข้ามเข้ามาในประเทศไทย ย่อมทำให้เขาทราบถึงขีดความสามารถ และระบบป้องกันภัยทางอากาศของประเทศเราได้เป็นอย่างดี การที่นักบินรบพม่ากล้าที่จะข้ามมาใช้พื้นที่น่านฟ้าไทยในการปฏิบัติภารกิจ แสดงว่าเขาทราบว่าเข้ามาแล้วก็ไม่เป็นไร ไม่มีความเสี่ยงหรือภัยคุกคามใดใด เมือเป็นเช่นนี้เราจะลงทุนมูลค่านับแสนล้านกับอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพไปทำไม หรือจะถามให้ตรงกว่านั้นคือเราจะมีกองทัพไปเพื่ออะไรในเมื่อการกระทำเช่นนี้ก็เหมือนการตบหน้ากองทัพไทยเล่นอยู่แล้ว
อีกประเด็นสำคัญที่ลืมไม่ได้ก็คือ การที่เครื่องบินรบของพม่าใช้พื้นที่น่านฟ้าไทยในการโจมตีกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ในประเทศเขา ย่อมทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าประเทศไทยเปิดพื้นที่ให้กองทัพพม่าใช้น่านฟ้าหรือไม่ อย่าลืมว่าตอนนี้รัฐบาลพม่ากำลังเผชิญความกดดันจากการสังหารประชาชน และมีคดีติดตัวเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญา ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศไทยไม่ควรแม้แต่จะถูกมองว่ามีส่วนรู้เห็น เกี่ยวข้อง หรือให้การสนับสนุน
โฆษณา