21 ก.ค. 2022 เวลา 00:54 • ปรัชญา
จิตของคนเรานั้น ที่เกิดมาก็เพราะเรามีกรรม กรรมที่เราเคยสร้างไว้ ด้วยกายวาจาใจ ที่ถูกปรุงแต่งด้วยอารมณ์โลภโกรธหลง เนื่องด้่วยความอยากได้อยากมี จากการที่เรามีวิญญาณทั้งหกไปสัมผัส วัตถุสิ่งของทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ที่เค้าเรียกว่า ของๆโลก ที่เค้าสมมุติให้เรามาอาศัยอยู่ในเรือนกายนี้ชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อเรายังยึดอยู่ มันก็หมายความเรานั้น เป็นผู้สร้างพันธะ สร้างสัญญา สร้างกรรมดีกรรมชั่ว อันเนื่องด้วยความคิดความยึดถือที่เกิดขึ้นในกายนี้ สิ่งเหล่านี้แหละ คือ ..กรรมที่ปกปิดจิต เป็นอวิชชา อุปาทาน วิบากกรรม เกิดขึ้นในเรือนกายที่จิตเราอาศัยอยู่ หุ้มห่อจิตของเรา ที่อาศัยอยู่ในเรือนกายที่พ่อแม่ให้มา เมื่อจิตมาจุติในสังขารน้อยๆที่ประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ ที่รวบรวมกรรมที่เราเคยสร้างไว้
เหมือนเป็นบัญชี ที่จะค่อยไหลออกมาให้ต้องผจญ..มีชีวิตใช้ชีวิต ดำเนินไป มีอาชีพทำมาหากิน ..อะไรต่างๆ ก็ล้วนเกิดขึ้น จากเรื่องราวเหล่านี้ ทำมาหากินยากลำบาก ยากจน รำ่รวย ก็เรื่องทานบุญกุศลที่เคยทำมา
แต่เรื่องความสุขที่แท้จริงของจิตนั้นไม่มี มีแต่อารมณ์ ที่เกิดขึ้นในเรือนกาย เป็นสภาพภวตัณหา ภวตัณหา วืภวตัณหา ไม่เคยหยุดนิ่งเลยในเรือนกายนี้ เป็นไฟเผาจิต เผาเรือนกายให้จิตนี้ ต้องหงุดหงิด ไม่สบายกาย ฝืนอารมณ์ทิฐิมานะที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย จิตจึงต้องตกเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกรรมที่ต้องชดใช้กรรม ที่ประกอบเป็นสังขารกรรมขึ้นในเรือนกายที่จิตอาศัย
อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นในเรือนกายนั้นบีบบังคับจิต ให้ต้องใช้กายไปทำกิริยาต่างๆ ตามที่อารมณ์กรรม สั่งให้มีพฤติกรรมของกายวาจาใจไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น นั่นก็เป็นเพราะ จิตนั้นไม่เคยฝึกหัดกายให้นิ่งจิตนิ่ง เพื่อที่จะให้จิตเข้มแข็ง มีกำลังฝืนอารมณ์กรรม สลัดละอารมณ์กรรมที่เกิดขึ้น ไหลออกมาจากธาตุสี่ที่มีกรรม ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม เรียบเรียงเหตุผล สิ่งที่เกิดขึ้นในการ มาสำรวจตรวจสอบ พิจารณา สะสางให้แก่จิตของตน แยกแยะ เรื่องกาย เรื่องอารมณ์ เรื่องของจิต
เมื่อจิตนี้ใช้กายไป ไม่กิริยาของกายวาจาใจ ตามที่อารมณ์สั่ง ก็เกิดเป็นกรรม เป็นการบันทึกภาพ บันทึกเสียง ด้วยตาด้วยหู ของตนเอง บันทึกหลักฐานกรรม ลงไปที่ธาตุทั้งสี่ที่ตนอาศัย เป็นสีเวรสีกรรม ที่จะติดตามไปกับจิตเมื่อละออกจากสังขาร
จิตเมื่อจุติมาอาศัยกายมนุษย์ ก็ต้องดูแลกายตน กายนี้มีความหิวกระหาย จิตนี้ก็ต้องนำกายไปเสาะแสวงหา เอาเนื้อผู้อื่นมากิน เนื้อสัตว์เนื้อกุ้งหอยปูปลา เนื้อของผู้ที่มีกรรม เอามาสงเคราะห์ให้เกิดเป็นน้ำเลือดน้ำหนอง ด้วยการกินเข้าไปเพื่อประทังสังขารกรรมของตน ดับความหิวกระหายที่กายต้องการ นำไปบำรุงส่วนต่างของกาย ให้ดำรงอยู่ได้ แต่กายนี้ก็ไม่เที่ยง ถึงเวลาหมดสัญญา ก็ดับลง ตายลงไป
น้ำเลือดน้ำหนองที่ประกอบในเรือนกาย มันก็น้ำเลือดน้ำหนองที่ได้มาจากเนื้อของจิตผู้มีกรรม ไปอาศัยในสังขารหมูเป็ดไก่ กุ้งหอยปูปลา ที่จิตที่มีกรรมไปอยู่ในสังขารกรรมนั้น ก็ต้องดูแลสังขารกรรมของเค้าเหมือนกัน ไม่ได้มีความแตกต่างจากจิตที่มาอาศัยในกายมนุษย์ ที่อาศัยอยู่ในสังขารกรรม เป็นผู้มีกรรม เป็นสร้างเวรกรรม ด้วยกายวาจาใจที่ตนอาศัย มีอารมณ์ปรุงแต่ง ทุกข์อยู่กับอารมณ์กรรมของตน มีทิฐิความคิดเห็น เหตุผลอะไรต่างปรุงแต่งให้ยึด หลงใหล ยินดีพอใจ ยึดเป็นอัตตา เป็นตัวตน เห็นตัวเองดีแล้ว จึงไม่มีการแก้ไขนิสัยตน
เรื่องราวของคำว่ากรรม ที่เกิดมาอาศัยกายมนุษย์ ผู้ที่มีปัญญาเห็นกรรม ที่เกิดจากการยึดถือ ทรัพย์สมบัติ เงินทอง ที่อยู่อาศัย เวียงวัง ข้าทาสบริวาร ท่านเห็นสิ่งเหล่านีเป็นกรรม มีความเบื่อหน่าย สิ่งเหล่านี้ จึงต้องหนี สิ่งเหล่านี้ ที่เป็นของๆโลก ไม่นำมาใช้ ไม่ให้จิตไปยึดไปถือ ต้องมาเกิดมาตายอีก จิตต้องนี้ออกจากเวียงวัง ไปอยู่ป่า ไปชำระสะสางจิตของตน ครั้งสุดท้าย ให้ถึงพระนิพพาน ไม่ต้องมาจุติ มีกายเกิดแก่เจ็บตาย ที่ต้องมีทุกข์อีก เกิดมามันก็ทุกข์ ทำเหตุให้ไม่ต้องเกิด ก็ไม่มีทุกข์
นั้นก็คือเรื่องราวการสร้างบุญกุศลบารมี สะสมปัญญาธรรมให้แก่จิต ลดละการเกิดแก่เจ็บตาย ให้แก่จิตเพื่อเดินทางออกจากทุกข์ ทุกข์ที่จิตนี้สะสมกรรมเอง ก็ต้องเกิดมาชดใช้สะสางกรรม แล้วสร้างสิ่งที่เป็นทานบุญกุศลบารมีให้แก่จิตของตน ต้องกระทำเอง ใครก็ช่วยไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของคำว่าจิต
โฆษณา