28 ก.ค. 2022 เวลา 01:52 • ความคิดเห็น
เดี๋ยวนี้ คนเราเครียดนิดหน่อย อยู่ๆก็นอนไม่หลับ กับเรื่องราวที่บางครั้งไปเจอะเจอ คนเจ้าอารมณ์ ทิฐิตัวแม่ โดนกระแทกอารมณ์ เป็นคำพูด เป็นกิริยาที่ไม่ค่อย จิตน้อยๆ โดนแบบนี้ก็แย่ มันไปรับอารมณ์เค้าโดยอัตโนมัติ แล้วตามที่ทำงาน ก็ขอบเอา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งนั้นสิ่งนี้ เข้ามา เกจิอาจารย์ ผ้ายันต์ บ้างก็มีจรเข้ เอาเค้ามา บูชา รูปสัตว์ ต่างๆ คนบางคนก็ไปสักอะไรมันมากมาย จนเกลื่อนกลาดไปหมด มันก็เลยมีคนทำมาหากินกับการทำสิ่งเหล่านี้ ร่ำรวยง่าย แถมมีตำแหน่งเป็นอาจารย์ที่เค้าเรียกกัน
สิ่งเหล่านี้ จะทำให้จิตใจตกต่ำ โหดเหี้ยม อันธพาล เกเร ดื้อด้านไม่ฟังใคร ไม่ค่อยรับฟังเหตุผล เหมือนอะไรก็ไม่รู้ มีความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว เจ้าเล่ห์ มันมากมาย บ้างก็เป็นโรคที่เจ็บป่วยหาสาเหตุไม่เจอ หรือ เจอรักษาตรงนี้ ตัดตรงนี้ ไปโผล่ตรงโน้น ให้ทุกข์เล่น ที่สุดโรคมะเร็ง เค้าชอบเข้ามาหา คนที่นิยมเรื่องราวเหล่านี้ แล้วจิตใจเค้าเป็นยังไง สังเกตกันเอง
เร็วนี้ มีน้องไปประชุม ครูผู้ปกครอง หลังท่าน ผอ. ก็มียันต์ไอ้เข้ตัวใหญ่ มาวางเป็นฉากหลัง (ไม่รู้ว่าท่าน ผอ. ต้องอาศัยยันต์จรเข้มาทำไม จะเอาไว้ยันงาบกับผู้ปกครองหรือไง) คนที่เค้าสัมผัสได้ เค้าก็มึนหัวเวียนหัว อ้วก เมื่อกลัยมาบ้านต้องรีบเข้าห้องพระ ถึงหาย น้องรายนี้ ที่เจอกันตอนแรก เป็นลักษณะของจิตหลอนเกิดขึ้น มีพี่เป็นพยาบาล จะไปพาไปหาหมอจิตเวช
น้องคนนี้ ก่อนที่จะเป็นอาการนี้ ไปปฏิบัติธรรม ที่วัดมีชื่อแห่งหนึ่ง กลับมาก็มีอาการจิตหล่อน คลุมสติตัวเองไม่ค่อยได้ เราก็บอกอย่างแรกที่ทำ คือ เอาพวกเครื่องรางของขลังทั้งหลายเอาไปลงแม่น้ำเสียก่อน แล้วไปใส่บาตร เรื่องคาถาที่เอามาท่อง ต้องหยุดให้หมด ท่องคำของพระ ภาวนา แค่สองคำพอ คือ พุทโธ
เรื่องลมเพลมพัดเดี๋ยวนี้ ก็มากมาย เพราะเป็นยุคที่ไสยศาสตร์เค้าเจริญรุ่งเรือง มีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อสมัยเราเด็กๆ มันไม่เห็นมีมากมายขนาดนี้ ตามร้านค้า หน้ารถในรถ ล้วนมีของ ..ของดี เค้าว่ากัน.. มีตาที่รู้จัก ..แกบอกว่าของพวกนี้มันติดมากับแรงงานต่างด้าว เขมรพม่านั้นแหละ ติดมากับความเชื่ออะไรของเค้า มันก็เลยเจริญรุ่งเรื่อง พระที่นับถือ ท่านเล่าให้ฟังเรื่องนี้ สมัยก่อนเค้าทำเอาบ้านเอาเมืองกันเลย
ในตำราจิตวิทยา ฝรั่งที่เค้าเล่าเรียนกัน เค้าไม่มีเรื่องราวแบบนี้ เหมือนในสังคมบ้านเรา แล้วยังมีหมอดู มีตุ๊กตาอะไรมากมายที่เค้าว่าดีเอามาบูชากัน ที่จริงเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องราวราวของไสยศาสตร์ มันมีตัวกระทำที่ไม่ดี จะเรียกว่า ผีก็ได้ เราก็เอามาอยู่ด้วย พวกนี้มันก็เลย มาเกาะมากินนอนอยู่กับเรา ของที่เค้าพูดเป็นปริศนา ที่ว่าไม่มี นี่แหละมี
ตอนที่ได้มาใหม่ๆ อาจจะดี แต่มันไม่ดีจริง เอาเข้าบ้านก็มักจะ ทะเลาะ ระหองระแหงกัน ต้องมีอารมณ์ กระทบกระเทียบกัน คุยกันไม่ค่อยเข้าหู ยิ่งไปกินเหล้า มันก็ยิ่งขย่มคอเราไปเลย มันจึงมีเรื่องราวที่คนเราขาดสติมากขึ้นไปอีกเพราะสิ่งเหล่านี้
จิตบางคนนั้นอ่อนแอ บางคนเจอะคน เจ้าอารมณ์คนมีของดี แสดงอารมณ์มา ตาที่เราเห็นหูที่เราได้ยินนั้นแหละ จะเปิดให้สิ่งเหล่านี้เข้ามา ครั้งหนึ่งมีหลาน โทรเข้ามา ร้องห่มร้องให้ เราก็คุยกับเค้า เค้าก็เล่าเรื่องที่เค้าเครียด เจอให้ฟัง นอนไม่หลับ คิดวกวน เราก็คุย กับเค้า จนหัวเราะได้ ..ก็คุยกัยต่อ..สักพัก หลานบอกว่า หมอเรียก ..ถามเค้าว่าหมออะไร หมอจิตเวช ..เราก็ถามเค้าขนาดนั้นเลยหรือ แล้วก็วางสาย ..
เราก็นั่งทำงานของเราต่อ ก็มีเสียงโทรศัพท์เข้ามา พอเรากดรับ เราก็ได้ยิน การสนทนาของหลานกับหมอ น้ำเสียงหมอเหมือนคนที่กดให้จิตรับฟังเค้า ก็ฟังเค้าคุยกันจนจบ เมื่อรู้ว่าเค้าคุยกันจบแล้ว เราก็ตัดสาย รอเวลา ให้หลานไปรับยา ที่หมอสั่งเรียบร้อย แล้วเราก็โทรเข้าไปใหม่ คุยกับหลาน เค้าก็ปกติดี มีเสียงพูดคุยเป็นปกติ
เราก็บอกหลาน ยาที่หมอให้มา ให้เอาทิ้งไป กลับบ้านสวดมนต์ วันพรุ่งนี้ ไปใส่บาตรพระ กรวดน้ำอุทิศให้กับสิ่งที่เกาะเรามา หลานก็เป็นปกติ เค้าก็เลยชอบ ทำบุญใส่บาตร
แต่เราก็บอกเค้า เวลาใส่บาตร มองดูที่มือเรา มือพ่อแม่เรา เราอาศัยอยู่ในเรือนกายพ่อแม่ เราเอากายพ่อแม่มาทำบุญ ถวายต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธะเจ้า ทำบุญกับเครื่องหมายธรรม คือ ผ้าเหลือง อย่าไปมองหน้าพระที่รับบาตร มองที่ผ้าเหลือง เรื่องราวเครื่องรางของขลังอะไรที่หลานเรามี เค้าก็เอาโยนทิ้งไป ชีวิตเค้าก็ค่อยดีขึ้น บางคนเราบอกแล้วเค้าไม่เชื่อไม่ฟัง ก็เรื่องของเค้า บอกได้ก็บอก บอกไม่ได้เราก็ต้องเงียบ จะไปรบกับทิฐิความเชื่อที่คุมจิตคุมใจเข้าได้อย่างไร บอกให้สังเกตเอง ไม่ได้บอกให้เชื่อ
ที่จริงก็มีเรื่องทำนองนี้อีกหลายราย แม้น้องที่รู้จักคนหนึ่ง ไปเจอเค้างานศพ เค้าเป็นพยาบาลจิตเวช ก็ถามเค้าว่า กินยาซึมเศร้าอยู่ใช่มั้ย เค้าถามว่า รู้ได้ยังไง ..เราก็บอกเค้าว่า ก็ข้างในเรามันร้องไห้ ก็คุยกันแค่นั้น
แล้วก็ยังน้องอีกคน ที่เจอกันครั้งแรก ที่วัด เห็นหน้าตา เค้าอมทุกข์มากไม่ยอมพูดจากับใคร เราก็ค่อยๆ หาโอกาสคุย ถามเค้าว่า ก่อนมาวัดนี้ ไปสถานที่หมอดู ร่างทรง ตำหนักอะไรมาหรือเปล่า เค้าก็บอกว่าไปมา ที่บ้านก็มีเครื่องรางของขลัง ผ้ายันต์ เราก็บอกเค้าให้เอาไปเผาทิ้ง ตอนเผาทิ้ง ผ้ายันต์ผืนนิดเดียว มีควันดำมากเกิดขึ้น เหมือนกับเราเผาน้ำมันเตา บอกเค้าว่านั้นแหละของไม่ดี คนที่ไปยุ่งเกี่ยวก็รับกรรมไป
เรื่องราวทำนองนี้ ไปรับขันธ์อะไรพวกนี้ มักจบด้วยจิตหลอน สุดท้ายก็ต้องไปพึงยาซึมเศร้า แล้วก็มักจะได้ยาที่เพิ่มแรงขึ้น เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เค้าเรียกว่า ตัวกระทำไสยศาสตร์มาอาศัยที่ตัวเรา
เรื่องพวกนี้ ที่เล่ามา อย่าเชื่อน่ะ เพราะของมันมองไม่เห็น ก็ถือว่าเป็นบุญกรรมของ แต่ละคนที่ทำมาก็แล้วกัน
พระพุทธเจ้าท่านก็ปล่อยวางเป็นแบบอย่าง ไม่ได้สร้างอะไรมายึดมาถือ ตลอดการสร้างบุญกุศลบารมีของท่าน จนมาถึงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านก็ยังทิ้งเวียงวัง
แต่คนสมัยนี้ ที่บอกว่าเป็นชาวพุทธ กลับไปทำในสิ่งที่ไม่ใช่ การสร้างบุญ สร้างกุศล มีแต่เรื่องราวของความยึดถือ พระท่านบอกให้ปล่อยวาง แต่เรากลับไม่รู้จัก คำว่า ปล่อยวาง มีแต่เสาะแสวงหาอะไรเข้ามายึด ท่านสอนเรื่องให้ลดละโลภโกรธหลง นักบวชก็บอกว่า เอาไอ้ไปนะ ไอ้นั่น ไปบูชา คาถานี้ไปบูชา จะร่ำรวย ยศฐานบรรดาศักดิ์ เราก็ดูเอา ว่าสิ่งเหล่านี้ ทำให้เรามีความสุข จิตใจเราเป็นอย่างไร แล้วเราก็ดูให้มันจริงๆใครล่ะ ทีรำรวย กับการค้าขาย มีคนเค้าว่ามา มนุษย์ยุคนี้ เอาศาสนาของพระพุทธเจ้ามาขายกิน เยี่ยงอย่างเดรัจฉาน
โฆษณา