31 ก.ค. 2022 เวลา 12:19 • หุ้น & เศรษฐกิจ
"Michael Burry" เพราะมองการณ์ไกล จึงนำไปสู่กำไร
ในปี 2007 ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ที่รู้จักกันในชื่อ “Subprime Crisis” เหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลกระทบกับคนหมู่มาก ทุกฝ่ายต่างเผชิญกับปัญหาที่เกินจะรับมือไหว
Michael Burry หนึ่งในนักลงทุนที่สร้างกำไรจากวิกฤต Subprime จากการมองเห็นถึงฟองสบู่ก้อนโตจากตลาดบ้านในสหรัฐอเมริกาที่รอคอยวันจะเเตก
📌 ย้อนรอยวิกฤต Subprime
การล่มสลายของตลาดบ้านในสหรัฐอเมริกา เริ่มต้นขึ้นจากการที่สถาบันการเงินได้ปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มคนที่มีเครดิตต่ำกว่าระดับมาตรฐาน หรือที่เรียกว่ากลุ่ม Subprime และให้นำบ้านมาแลกเพื่อเป็นหลักประกัน
สาเหตุที่สถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกากล้าที่จะปล่อยกู้และให้ใช้บ้านเป็นหลักค้ำประกัน เนื่องจากราคาบ้านในสหรัฐอเมริกามีราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1996 และพุ่งไปถึง 283,000 ดอลล่าร์สหรัฐในปี 2005
สถาบันการเงินยังได้มีการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Mortgage-backed Securities หรือ MBS คือ สินเชื่อที่มีการค้ำประกัน โดยธนาคารจะนำ MBS ของลูกหนี้ทั้งกลุ่มที่มีเครดิตดีและเคตรดิตต่ำกว่าระดับมาตรฐานมามัดรวมกัน
แล้วนำไปขายต่อให้นักลงทุนท่านอื่นเพื่อเก็งกำไร หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ Collateralized Debt Obligation หรือ CDOs ถ้าหากเป็น CDOs ของกลุ่ม Subprime ซึ่งมีโอกาสในการผิดชำระหนี้สูงกว่ากลุ่มอื่น ก็จะทำให้อัตราผลตอบเเทนที่ได้กลับมาสูงกว่าปกติ
นอกจากนี้สถาบันการเงินยังได้ใช้เครื่องมืออีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Credit Defult Swap หรือ CDS ในการประกันความเสี่ยงให้กับนักลงทุน ในกรณีที่ลูกหนี้เกิดการผิดชำระหนี้ ผู้ออก CDS ก็จะเข้ามามีบทบาทในการจ่ายเงินให้กับผู้ทำประกัน
จากเเรงสนับสนุนของรัฐบาลสหรัฐที่ต้องการผลักดันให้คนซื้อบ้านในช่วงนั้นเเละการปล่อยกู้ให้กับกลุ่ม Subprime อย่างง่ายดายของสถาบันการเงิน ทำให้บ้านกลายเป็นสินค้าที่เป็นที่ต้องการ และราคาบ้านก็ทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ
📌 แต่ผ่านไปไม่นานนัก “วิกฤต” ก็ได้มาเยือน
การที่สถาบันการเงินในสหรัฐปล่อยกู้สินเชื่อสหรัฐอย่างต่อเนื่องทำให้อัตราดอกเบี้ยก็สูงขึ้นตามมาเช่นกัน
แต่ในขณะนั้นใครจะไปคิดว่าเหล่าลูกหนี้ด้อยคุณภาพจะหมดกำลังในการชำระหนี้อย่างพร้อมเพรียง
2
เมื่อความต้องการในการครอบครองบ้านลดลงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ส่งผลให้ราคาบ้านลดลงอย่างต่อเนื่อง ฝั่งสถาบันการเงินที่เคยใช้บ้านเป็นหลักประกันก็ไม่สามารถนำบ้านไปขายทอดสู่ตลาดเพื่อทำกำไรได้
ในตอนนั้นทุกฝ่ายต่างต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ สถาบันการเงินขาดสภาพคล่อง ธุรกิจล้มละลาย และผู้คนตกงานกันจำนวนมาก
วิกฤตการณ์ Subprime ได้สร้างบทเรียนเเละทิ้งเเผลไว้ให้ประชากรจำนวนมาก
แต่เมื่อมีคนเสียประโยชน์ ก็ย่อมมีคนได้ประโยชน์
📌 เส้นทางชีวิตของคุณ Michael Burry ก่อนเกิดวิกฤต Subprime
คุณ Michael Burry ปัจจุบันอายุ 51 ปี เกิดและเติบโตที่เมืองแซนโฮเซ รัฐเเคลิฟอร์เนีย เค้าสูญเสียดวงตาข้างซ้ายไปในวัย 2 ขวบ เนื่องจากโรคมะเร็งในจอตา
ต่อมาได้เข้าศึกษาในสาขาเศรษฐศาสตร์และเตรียมเเพทย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสเเองเจลลิส โดยงานมีงานอดิเรกในช่วงเวลาว่าง คือ การศึกษาเรื่องการลงทุน และเริ่มเป็นที่รู้จักจากการเขียนเเสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุน
ในปี 2000 คุณ Michael Burry ได้จัดตั้งกองทุนที่ชื่อว่า Scion Capital ภายในเวลาเพียง 1 ปีเค้าสามารถทำให้กองทุนบริษัทเติบโตประมาณ 55% จากการ Short หรือ การกำไรขาลงของหุ้นเทคโนโลยี ช่วงที่เกิดวิกฤตฟองสบู่ดอทคอม และสามารถทำกำไรได้ราว 600 ล้านดอลลาร์ ในปี 2004
📌 การมองเห็นวิกฤตที่นำไปสู่โอกาส
ในปี 2005 ทำให้เค้าหันมาโฟกัสที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา หรือ ตลาด Subprime
เพราะความสนใจในด้านการลงทุน ประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนาน และนิสัยที่ชอบจับผิด ทำให้คุณ Michael Burry เล็งเห็นถึงความผิดปกติของการปล่อยกู้จำนวนมากให้กับกลุ่ม Subprime และเชื่อว่าตลาดนี้จะพังทลายลงในอนาคตอันใกล้
จึงทำให้เค้าตัดสินใจที่จะ Short MBS หรือ การกำไรหากหลักทรัพย์รวมสินเชื่อบ้านตกลง โดยร่วมทำสัญญา CDS หรือ Credit Default Swap กับบริษัท Goldman Sachs และ บริษัทลงทุนอื่นๆ
ตอนนั้นมีนักลงทุนจำนวนหนึ่งที่ไม่ไว้วางใจในการกระทำของคุณ Michael Burry แต่เค้าก็ทำได้เพียงบอกให้นักลงทุนเหล่านั้นรอคอยเวลา
ในยามที่วิกฤตมาถึงดังที่คุณ Michael Burry ได้คาดการณ์เอาไว้ เค้าสามารถทำกำไรได้ราว 100 ล้านดอลลาร์ให้กับตัวเอง และอีก 700 ล้านดอลล่าร์ให้กับนักลงทุนท่านอื่น
เหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้คุณ Michael Burry กลายมาเป็นที่โด่งดังและเรื่องราวของเค้ายังได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่รู้จักกันในชื่อ “The Big Short”
และเราต่างก็ได้เห็นคุณ Michael Burry ออกมาเตือนถึงฟองสบู่ครั้งใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากตลาด Cryptocurrency แม้ว่าเค้าจะได้ออกมาเเจ้งว่าตัวเค้าเองยังไม่ได้ทำการ Short ตลาดนี้ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าติดตามต่อไปในอนาคต
ถ้าอยากเป็นนักลงทุนที่เก่ง คุณต้องหาสไตล์การลงทุนที่เหมาะสมกับคุณ”
(If you are going to be a great investor,
you have to fit the style to who you are..)
Michael Burry
1
ผู้เขียน : อิงชนก ย้วยความดี Internship Economist, Bnomics
ภาพประกอบ : จินดาวรรณ อรรถมานะ Graphic Designer, Bnomics
▶︎ ติดตามช่องทางของ Bnomics ได้ที่
Line OA : @Bnomics https://bit.ly/3eYkTJC
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
References :
โฆษณา