3 ส.ค. 2022 เวลา 08:45 • ไลฟ์สไตล์
“ชีวิตไม่ยั่งยืน”
“ … เมื่อกี้ติดอยู่ประเด็นหนึ่งคือการเจริญปัญญาในสมาธิ
พวกเราไม่ค่อยได้เรียนเท่าไร
เพราะว่าพวกเราไม่ค่อยจะมีสมาธิเท่าไรหรอก
อันนั้นสำหรับคนที่ได้อัปปนาสมาธิ
จิตเข้าอยู่ในฌาน
แล้วก็ใช้องค์ฌานนั้นล่ะเป็นอารมณ์
รู้องค์ฌาน เห็นความเปลี่ยนแปลงขององค์ฌานไป
อย่างเห็นจิตมีปีติ
เห็นปีติเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป
ปีติดับไป ความสุขมันก็เด่นขึ้น
1
เห็นความสุขเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ความสุขก็ดับไป ความเป็นหนึ่ง เป็นอุเบกขาอะไรก็เกิดขึ้น
จิตเข้าออกๆ ในระดับฌานต่างๆ อันนี้รูปแบบหนึ่ง
อีกแบบหนึ่งการทำปัญญาในสมาธิ
ก็คือเข้าสมาธิไป พอสงบพักผ่อนพอสมควร
จิตมีกำลังแล้ว ถอนจิตออกมาอยู่ในอุปจารสมาธิ
ถอนจิตขึ้นมาระดับนึงแล้วก็ทรงไว้อย่างนี้
แล้วก็เห็นความเกิดดับภายใน
เดี๋ยวสภาวะบางอย่างผุดขึ้นมาแล้วก็ดับ
สภาวะบางอย่างผุดขึ้นมาแล้วก็ดับ
อย่างนี้มันเดินปัญญาอยู่ในสมาธิ
ในอัปปนาสมาธิเราไปดูที่องค์ฌาน
ในอุปจารสมาธิเราจะเห็นสภาวะที่จิตมันปรุงขึ้นมา
เกิดดับๆๆ ก็เล่นอย่างนี้ก็ได้
ถ้าทำไม่ได้ก็อยู่ภาวนาข้างนอกนี่ล่ะ
เข้าฌานไม่ได้ก็ทำขณิกสมาธิ
วิธีทำก็คือฝึกอย่างที่บอกนั่นล่ะ
ทำ เลือกอารมณ์ที่อยู่แล้วมีความสุข
อารมณ์ไม่ยั่วกิเลส
รู้อารมณ์นั้นไปสบายๆ แล้วรู้ทันจิตตัวเองๆ
หายใจอยู่ดีๆ จิตหนีไปคิดเรื่องอื่นแล้ว
ลืมพุทโธอะไรอย่างนี้ รู้ทันจิตก็ตั้งมั่น มีสมาธิขึ้นมา
อยู่ได้ชั่วคราวไหลอีกแล้ว ไหลอีกรู้อีกๆ
แล้วมันก็จะเกิดปัญญาขึ้น จิตตรงนั้นทรงขณิกสมาธิอยู่
เรื่องของสมาธิ ถ้าชำนาญ
ก็ชำนาญในการเข้า ในการทรงอยู่
ในการเจริญปัญญาในสมาธิ ในการออกจากสมาธิ
ออกพรวดพราดมาปวดหัวเลย
ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ จิตมีความสุข มีความสุขเยอะเลย
มันมีความสุขอีกชนิดหนึ่ง ความสุขจากปัญญา
อย่างเราภาวนาไป
แล้วจิตมันเกิดความรู้ถูก
ความเข้าใจถูกอะไรบางอย่างขึ้นมา
มันจะมีความสุขประกอบกับปัญญาขึ้นมาด้วย
อย่างบางทีเราไปงานศพ ไปฟังพระเขาสวด
พระสวด พระรู้เรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้
ส่วนคนฟังไม่รู้เรื่องอยู่แล้วล่ะ
พระสวดเราฟังไป แหม สบายๆ เคลิ้มๆ สบายๆ
ลืมตาขึ้นมา มองไปที่โลงศพ
โอ พ่อแม่เราตายเสียแล้ว ชีวิตนี้ไม่ยั่งยืนหนอ
มันเกิดรู้ปิ๊งขึ้นมาตรงนี้ จิตมันเบิกบานเลย
มันมีความสุขขึ้นมาได้เลย
หรือเวลาเราเห็นคนที่เรารักจะตาย
แทนที่เราจะร้องไห้ฟูมฟาย เราก็ภาวนาของเราไป
พอเขาตายปุ๊บ บางทีเราเห็นเลย
จิตมันมีความสุขขึ้นมา มันมีปัญญา
มันเห็นจริงว่าคนเราเกิดแล้วก็ตาย
จิตก็จะเบิกบานขึ้นมา
อันนี้หลวงพ่อก็เคยเห็นด้วยตัวเอง
ตอนเตี่ยหลวงพ่อจะตาย เราก็ไปนั่งดูอยู่ใกล้ๆ
ตอนนั้นหลวงพ่อยังไม่ได้บวชหรอก
ตอนแกจะตาย เราก็นั่งดูไป
โอ มันทุกข์ ตายปั๊บลงไป จิตเบิกบานขึ้นมาทันทีเลย
ไม่ได้เบิกบานว่าเตี่ยตายแล้วได้มรดก ไม่มีมรดกอะไรเท่าไรหรอก
แต่ว่ามันเบิกบานเพราะว่ามันเห็นธรรมะ
เออ ชีวิตนี้มันไม่ยั่งยืน
ลมหายใจสุดท้ายขาดไปแล้ว
ความตายจะมาถึงเมื่อไรไม่มีใครรู้
เมื่อเช้าเขายังไม่รู้ เตี่ยยังไม่รู้เลยว่าลมหายใจจะหมดตอนนั้นตอนนี้
จิตมันเห็นความจริงขึ้นมา มันเบิกบานขึ้นเฉยเลย
แทนที่จะเศร้าโศก
เพราะฉะนั้นเวลาจิตมันมีปัญญาเกิดขึ้น
มันมีความสุขผุดขึ้นมาได้ด้วย
ตอนที่จิตเกิดปัญญามันจะมีเวทนา 2 อย่าง
อันหนึ่งมีความสุข อันหนึ่งเป็นอุเบกขา
บางทีใจก็เป็นอุเบกขา
บางทีใจก็มีความสุขขึ้นมา
1
มีความสุขอีกอันหนึ่งคือความสุขในอริยมรรคๆ เวลาจิตมันตัด
ตรงนั้นจิตก็จะเป็นอุเบกขาหรือมีความสุข มี 2 ชนิด
บางคนเป็นอุเบกขา
บางคนเป็นจิตที่มีความสุขประกอบด้วย
ประกอบกับจิตที่เกิดอริยมรรค
ถัดจากจิตที่เกิดอริยมรรคก็เกิดจิตที่เกิดอริยผล
จิตที่เกิดอริยผล บางท่านมีความสุข บางท่านก็เป็นอุเบกขา
อุเบกขานั้นล่ะเป็นความสุขที่ประณีต
เพราะตัวความสุขยังเป็นความหวือหวาอยู่
ตัวอุเบกขามันประณีต สงบ
จิตก็มีความสุขเป็นลำดับๆ ไป
นี่ความสุขจากการปฏิบัติ …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
24 กรกฎาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา