8 ส.ค. 2022 เวลา 04:05 • หุ้น & เศรษฐกิจ
BBLAM Weekly Investment Insights 8 - 12 สิงหาคม 2022
ตั้งแต่ปี 1929 เราเจอตลาดหมีมาแล้ว 26 ครั้ง แต่ละครั้งตลาดจะตกลงเฉลี่ย 38% โดยที่ตลาดหมีอเมริกา มีอายุเฉลี่ย 12 เดือน
ส่วนตลาดหมีเอเชียจะมีอายุ 9 เดือนโดยเฉลี่ย ตลาดหมีถึงแม้จะสร้างความเจ็บปวด แต่ก็อายุสั้นกว่าตลาดกระทิง
ณ ตอนนี้ เราไม่รู้ว่าตลาดหมีจะจบลงเมื่อไหร่ แต่เชื่อไหมว่า สุดท้ายทุก ๆ ตลาดหมีจะมีตลาดกระทิงตามมา และตลาดจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้ ในทุก ๆ ครั้ง
2022 - Opportunities are never lost
ตั้งแต่ปี 1929 เราเจอตลาดหมีมาแล้ว 26 ครั้ง แต่ละครั้งตลาดจะตกลงเฉลี่ย 38% โดยที่ตลาดหมีอเมริกา มีอายุเฉลี่ย 12 เดือน ส่วนตลาดหมีเอเชียจะมีอายุ 9 เดือนโดยเฉลี่ย ตลาดหมีถึงแม้จะสร้างความเจ็บปวด แต่ก็อายุสั้นกว่าตลาดกระทิง
คุณมทินา วัชรวราทร CFA® Head of Investment Strategy จาก BBLAM ตั้งข้อสังเกตุในเรื่องนี้ว่า เราไม่รู้ว่าตลาดหมีจะจบลงเมื่อไหร่ หรือตลาดหมีครั้งนี้จะเหมือนครั้งก่อน ๆ หรือไม่ แต่เชื่อไหมว่า
สุดท้ายทุก ๆ ตลาดหมีจะมีตลาดกระทิงตามมา ตลาดหมีจะค่อย ๆ ตายไป และตลาดจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้ ในทุกๆ ครั้ง เราเรียนรู้และจะทำเงินอย่างไรกับตลาดหมีได้บ้าง
เมื่อวันที่ 26-27 กรกฎาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด หรือ FOMC มีมติเป็นเอกฉันท์ (12:0) ให้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.75% เข้าสู่กรอบอัตราดอกเบี้ยที่ 2.25-2.5%
จากกรณีดังกล่าว ดร.มิ่งขวัญ ทองพฤกษา Chief Economist จาก BBLAM ให้ความเห็นว่า ในระหว่าง Press Conference ประธานเฟดให้น้ำหนักที่ค่อนข้าง Hawkish โดยส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นครั้งใหญ่ (Jumbo Hike)
ในการประชุมครั้งถัดไปเดือนกันยายน และได้กล่าวอ้างอิงถึงการประมาณการเศรษฐกิจประจำเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่าได้สะท้อนการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องไปถึงครึ่งแรกของปีหน้า สอดคล้องไปกับการประเมินภาพเศรษฐกิจที่ถึงแม้จะชะลอตัวในภาคการบริโภคและการลงทุนในประเทศ แต่เฟดยังมองว่าตลาดแรงงานเติบโตได้แข็งแกร่ง
...อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bblam.co.th/.../bblam-investment.../8-12-2022
เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา US High Yield ปรับตัวขึ้น 4.5% ซึ่งเป็นการขึ้นที่มากกว่าตราสารหนี้ประเภทอื่น ๆ สอดคล้องไปกับมุมมองต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ดีขึ้นในเดือนกรกฎาคม
ส่วนต่างของผลตอบแทนของตราสารหนี้ High Yield (High Yield Spread) ได้ปรับลดลงจากระดับต้นเดือน (> 550 bps)มาอยู่ที่ระดับมากกว่าเล็กน้อย 500 bps ซึ่งคิดเป็นระดับมากกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ประมาณ +1 S.D
อัตราการผิดนัดชำระหนี้เดือนกรกฎาคมปรับตัวขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 0.76% แต่ถือว่ายังน้อยกว่ากว่าค่าเฉลี่ย 25 ปี ที่ 3% ในขณะที่ตราสารหนี้ High Yield เดือนที่ผ่านมา มีจำนวนตราสารหนี้ที่ถูกปรับอันดับความน่าเชื่อถือขึ้น มากกว่าจำนวนตราสารหนี้ที่ถูกปรับอันดับความน่าเชื่อถือลง
แนะนำกองทุน B-HY (H75) AI สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการปรกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และ B-HY (UH) AI สำหรับผู้ลงทุนที่ไม่ต้องการประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
THAILAND
อัตราดอกเบี้ยแท้จริงของไทยเมือเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านยังติดลบมาก แสดงให้เห็นว่ายังใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายอยู่ และยังรับได้กับแรงกดดันขึ้นดอกเบี้ย
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ปรับตัวลดลงไปในทิศทางเดียวกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยอัตราผลตอบแทน 10 ปี ของพันธบัตรรัฐบาลไทย ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 2.57% จากระดับ 2.9% ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
BBLAM คาดว่าจะเห็นการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในการประชุม กนง. เดือนสิงหาคมนี้
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทย (Real Policy Rate) ติดลบค่อนข้างมาก และมากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งบ่งชี้ว่าการดำเนินเนินนโยบายถือว่ายังผ่อนคลายอยู่ ดังนั้นการดำเนินนโยบายที่ตรึงตัวต่อจากนี้ยังคงมีความจำเป็น
ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2022 ตราสารหนี้ไทย คาดว่าจะเจอแรงกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น โดยดอกเบี้ยนโยบายอาจจะปรับตัวขึ้น 1-2 ครั้ง ภายในสิ้นปี 2022 และด้วยวงจรของการขึ้นดอกเบี้ยของไทย ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ดังนั้นเราน่าจะยังคงเห็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยที่เป็นทิศทางขาขึ้น
แนะนำกองทุน B-TREASURY และถ้าต้องการลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีแนะนำ MM-RMF
INNOVATION
3
เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา 80% ของบริษัทเทคโนโลยี รายงานผลประกอบการออกมา (รวมทั้ง AAPL, MSFT, AMZN, GOOGL, META) กำไรเป็นไปตามที่คาด บริษัทที่รายงานกำไรออกมาดี เช่น AAPL รายงานยอดขายไอโฟน ไอแพดดีกว่าคาด รายได้เพิ่มขึ้น ในแทบทุกประเทศ และ Amazon รายได้จาก AWS
และรายได้จากสาขา ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง Guidance Q3 ออกมาดี นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์รายงานกำไรออกมาไม่ได้ต่ำเท่าที่คาด ความต้องการยังคงสูง ทั้งหมดนี้ ทำให้ราคาของหุ้นเทคโนโลยีโดยรวมปรับตัวขึ้น
BBLAM ยังคงแนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่เน้นหุ้นเทคโนโลยีที่มีคุณภาพดี มีพื้นฐานที่ดี ซึ่งสามารถเลือกสะสมเงินลงทุนได้ในกองทุน B-INNOTECH และถ้าต้องการลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีแนะนำ B-INNOTECHSSF และ B-INNOTECHRMF
CHINA
การเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายต่าง ๆ รวมถึงการเข้ามาแก้ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ที่ขาดสภาพคล่องเป็นผลดีต่อจีน ในเบื้องต้นยังอาจได้ผลกระทบจากการปรับลดกำไรในไตรมาสสอง
จีนเดินหน้าทางนโยบายหลายเรื่องซึ่งถือเป็นผลดี ได้แก่ การออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 44 พันล้านดอล์ลาร์สหรัฐฯ เพื่อช่วยพยุงโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ขาดสภาพคล่อง, อนุมัติให้ใช้ยารักษาโควิดที่ผลิตในประเทศตัวแรก แลอนุมัติเกมส์ Batch ที่สาม
ตลาดจีนปรับตัวลงในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีจีน ที่ยังมีบ้างที่ยังมีแรงกดดันจากนโยบาย อย่างเช่น นโยบายที่เกี่ยวกับธุรกิจการส่งอาหาร ไม่ให้ตัดราคา และให้บีบร้านอาหารให้ต้องออกโปรโมชั่น ทำให้ราคาหุ้นอย่าง Meituan และ Alibaba ปรับตัวลดลงไป
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการเพิ่ม Alibaba เข้าไปในบริษัทที่อเมริกาพิจารณาที่จะ Delisting หลังจาก Alibaba ไม่ สามารถเปิดเผยข้อมูลของบริษัทตามที่อเมริกากำหนด ทั้งนี้ Alibaba ก็มีการยื่นขอทำ Primary listing ที่ฮ่องกง ซึ่ง จะทำให้คนจีนในแผ่นดินใหญ่สามารถซื้อ หุ้นผ่าน stock connect ได้
BBLAM มองว่า หุ้นจีนยังมีความเสี่ยงเรื่องการปรับลดของกำไรในไตรมาสสอง และน่าจะฟื้นได้ในครึ่งปีหลัง หุ้นจีนยังมีความเสี่ยงจากนโยบาย Zero Covid Policy แต่นโยบายทางการเงินและการคลังมีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น
แนะนำกองทุน B-CHINE-EQ และถ้าต้องการลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีแนะนำ B-CHINESSF และ B-CHINAARMF
The Inflation Reduction Act of 2022 ซึ่งเป็นร่างกฏหมายฝั่งอเมริกา ครอบคลุมการลงทุนที่ใช้งบประมาณมหาศาลเพื่อการลงทุน โดยครอบคลุมทั่งในเรื่องของการดูแลสุขภาพโดยเฉพาะต้นทุนของการเข้าถึงยารักษาโรค, การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเก็บภาษีจากบริษัทที่ร่ำรวย
ร่างกฏหมายฉบับนี้ถือเป็นการลงทุนครั้่งประวัติศาสตร์ของสหร้ฐฯในการดูแลความโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคมของประเทศ
หมวดใหญ่ ๆ ของร่างกฏหมายฉบับนี้ ได้แก่
การกำหนดอัตราภาษีขั้นต่ำของบริษัท 15%: บริษัทที่มีรายได้อย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์จะมีอัตราภาษีใหม่อยู่ที่ 15% ซึ่งไม่ครอบคลุมถึงภาษีบุคคลและครัวเรือน
การปฏิรูปราคายาที่ต้องสั่งโดยแพทย์: กฎหมายฉบับนี้จะเข้ามาช่วยลดภาระประชาชน โดยอนุญาตให้ Medicare เข้ามาช่วยเจรจาลดราคายาบางตัวที่ต้องสั่งโดยแพทย์ นอกจากนี้ยังเปิดทางให้บริษัทยาเสนอส่วนลดค่ายาบางอย่างได้กับลูกค้าในกรณีที่ราคายาเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ
ปรับปรุงการบังคับใช้ภาษีของ IRS: IRS เรียกร้องมาหลายปีแล้วถึงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีที่ลดดลงซึ่งต้องการงบประมาณมาปรับปรุง ซึ่งกฎหมายนี้จะลงทุน 80 พันล้านดอลลาร์ฯในหน่วยงานด้านภาษีของประเทศในอีก 10 ปีข้างหน้า
ปิดช่องโหว่ของการจัดเก็บภาษี: ช่องโหว่ที่รู้จักกันดีในรหัสภาษีที่ช่วยให้ผู้จัดการกองทุนการลงทุนและกองทุนไพรเวทอิควิตี้สามารถจ่ายภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าได้ การปิดช่องโหว่นี้จะเริ่มในปีภาษี 2023
ขยายการใช้ Care Act: เงินอุดหนุนนี้เดิมจะหมดอายุในสิ้นปีนี้ จะขยายออกไปจนถึงปี 2025 ทั้งนี้คนอเมริกันประมาณ 3 ล้านคนอาจสูญเสียประกันสุขภาพของพวกเขาหากเงินอุดหนุนเหล่านี้ไม่ขยายออกไป อ้างอิงตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ
การลงทุนด้านความมั่นคงด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: กฎหมายฉบับนี้จะมีเม็ดเงินมหาศาลที่ทุ่มให้กับการปกป้องสภาพอากาศ โดยดำเนินการผ่านหลายรูปแบบ เช่น การชดเชยต้นทุนพลังงานในภาคครัวเรือนทั้งแบบคืนภาษี และเครดิต นอกจากนี้ยังรวมถึงการลงทุนในการผลิตพลังงานสะอาด
และเครดิตทางภาษีที่มีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ถึงแม้ธุรกิจพลังงานสะอาดจากทั่วโลกจะยินดีและนักลงทุนรับข่าวจากการผลักดันของร่างกฏหมายฉบับนี้ แต่ร่างกฎหมายก็ยังต้องผ่านกระบวนการพิจารณาของรัฐสภาสหรัฐฯก่อนบังคับใช้
แนะนำสะสมลงทุนใน กองทุน B-SIP และถ้าต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แนะนำกองทุน B-SIPRMF หรือ B-SIPSSF
ท่านสามารถแจ้งสมัครรับข่าวสาร BBLAM Weekly Investment Insights ได้ที่ bblampr1@bblam.co.th
#BBLAM #BBLAMWeeklyInvestmentInsights #bualuangfund #กองทุนบัวหลวง #ธนาคารกรุงเทพ #bualuangexclusive #allgenenjoy #insight #binnotech #binnotechssf #binnotechrmf #bsip #bsipssf #bsiprmf #highyield #bchineeq #bchinessf #bchinaarmf

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา