13 ส.ค. 2022 เวลา 04:07 • ไลฟ์สไตล์
“กิเลสนี้อย่าไปเกลียดมัน
แต่อย่าไปยอมจำนนกับมัน
กิเลสเป็นครูของเรา
กุศลก็เป็นของดีแต่อย่าไปติดกับมัน
มันก็สอนไตรลักษณ์เหมือนกัน”
“ … บางคนมักง่าย 2 จำพวกใหญ่ๆ
พวกหนึ่งอยู่ๆ ก็เจริญปัญญาเลย
ไม่เคยฝึกจิตให้มีสมาธิที่ถูกต้อง ก็เจริญปัญญาด้วยการอ่านตำรับตำรา
นี่บอกเจริญปัญญา
หรือฟังเทศน์ ฟังธรรม นึกว่าเจริญปัญญา
การฟังธรรม การอ่านธรรมะ
สิ่งเหล่านั้นมันไม่ใช่ปัญญาของเรา
มันคือปัญญาของพระพุทธเจ้า
ปัญญาของพระสาวก ปัญญาของครูบาอาจารย์
อย่างหลายคนฟังหลวงพ่อเทศน์
โอ๊ย รู้สึกมีปัญญามาก ไอ้นั่นก็รู้ ไอ้นี่ก็รู้
นั่นไม่ใช่ปัญญาของเรา
มันจำหลวงพ่อไปอีกทีหนึ่ง
ไม่ใช่ของจริงหรอก มันแค่ความจำ
ปัญญาที่เป็นความจำนั้นเอาไปสู้กิเลสไม่ได้
มันยังล้างกิเลสไม่ได้จริง
อีกพวกหนึ่งก็ใช้คิดพิจารณาไปเรื่อยๆ
ปัญญาจากการคิด เชื่อไม่ได้
เพราะสิ่งที่เราคิดนั้นถูกก็ได้ผิดก็ได้
ปัญญาที่แท้จริงที่เราต้องฝึก
คือปัญญาจากการเห็น
เห็นกายอย่างที่กายเป็น เห็นจิตอย่างที่จิตเป็น
ก็เห็นอย่างที่มันเป็น เป็นอะไร
เป็นไตรลักษณ์ ต้องเห็นเอา
ถ้าไม่เห็นเอาล้างกิเลสไม่ได้
พวกหนึ่งไม่เคยฝึกจิตเลย กระทั่งความสงบก็ไม่มี
คิดๆๆ เอา หรืออ่านๆๆ เอา
แล้วคิดว่ากูรู้ๆ ก็เป็นกูรูทั้งหลาย รู้ธรรมะเยอะแยะ
พูดได้ฉอดๆๆๆ กิเลสสักตัวหนึ่งยังไม่เคยเห็นเลย
จะไปสู้กิเลสได้อย่างไร
อ่านมาก ฟังมาก กิเลสยิ่งหนักกว่าเก่าอีก
กูเก่งๆ อย่างนั้นล้มเหลวแล้ว
อีกพวกหนึ่ง พวกนี้ไม่ทำสมาธิให้ถูกต้อง
แล้วก็อยู่ๆ ก็จะบอกเจริญปัญญา ไม่สามารถเห็นสภาวะได้
ถ้าจิตไม่มีสมาธิที่ถูกต้อง จะเห็นสภาวะไม่ได้จริงหรอก
ถ้าเห็นแล้วก็ไม่สามารถเป็นกลางกับสภาวะได้
มันก็ได้แต่คิดๆ เอา ไม่ได้เห็นตัวสภาวะ
อีกพวกหนึ่งทำสมาธิแต่มันเป็นมิจฉาสมาธิ
เมื่อหลายสิบปีก่อน ประมาณสี่สิบปีก่อน หลวงพ่อก็เที่ยวไปตามสำนักกรรมฐานทั้งหลาย ที่เขาฝึกสมาธิกันก็พบว่าสมาธิที่คนส่วนใหญ่ฝึกมันเป็นมิจฉาสมาธิ คือมันไปเพ่ง ไปจ้อง อยู่ในอารมณ์อันเดียวเพื่อให้จิตสงบ
สมาธิให้จิตสงบนี้หลวงพ่อพูดเมื่อกี้แล้ว มันมีมาก่อนพระพุทธเจ้า ฉะนั้นส่วนใหญ่ที่ทำกันก็เป็นแบบนั้น ไปนั่งให้มันเงียบๆ มันสงบไป
บางคนก็สงบลึก เคลิบเคลิ้มลืมเนื้อลืมตัว นั่งเคลิ้มๆ ไป
บางคนนั่งแล้วใจก็สว่าง ออกไปเห็นโน้นเห็นนี้
เห็นผี เห็นเปรต เห็นเทวดา เห็นสัตว์นรก
เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นจิตคนอื่น
เห็นว่าคนนี้ตายแล้วไปเกิดที่ไหน
ไม่เห็นอย่างเดียว
ไม่เห็นกายเห็นใจของตัวเอง
สมาธิอย่างนั้นก็เป็นสมาธิฟุ้งซ่านออกไปข้างนอก ใช้ไม่ได้
1
เมื่อจิตเราทรงสมาธิที่ถูกต้อง
การเจริญปัญญาจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ฉะนั้นเกือบร้อยละร้อยของนักปฏิบัติ ที่ไปทำสมาธิส่วนใหญ่มันเป็นมิจฉาสมาธิ เพราะไม่ได้เคล็ดลับ
เคล็ดลับก็คือการที่เรามีสติ
เราต้องมีวิหารธรรมไว้อันหนึ่ง
แล้วเรามีสติคอยรู้ทันจิตตัวเอง
จิตเผลอรู้ทัน จิตเพ่งรู้ทัน
รู้เฉยๆ ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน
ไม่ต้องคิดแต่ว่าจะแก้อย่างไร
จะแก้อย่างไร แก้ๆ ทั้งหลายมันเป็นแค่อุบาย
ส่วนหลักของการปฏิบัติ คือรู้อย่างที่มันเป็น
รู้สภาวะอย่างที่มันเป็น
พอเราหัดอย่างนี้เรื่อยๆ
ในที่สุดจิตเราก็ทรงสมาธิที่ถูกต้องขึ้นมา
เมื่อจิตเราทรงสมาธิที่ถูกต้องแล้ว
การเจริญปัญญาจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว
เวลาสติมันระลึกรู้กาย
ร่างกายเคลื่อนไหวสติระลึกรู้ จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู
มันก็จะเห็นว่าร่างกายที่เคลื่อนไหวนั้นมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
มันเห็นมันไม่ได้คิด
วิปัสสนานั้นเลยขั้นความคิดไปแล้ว
หลวงพ่อพุธท่านเก่ง ท่านสอน
“สมถะเริ่มเมื่อหมดความจงใจ
วิปัสสนาเริ่มเมื่อหมดความคิด”
ถ้าเรามีจิตเป็นผู้รู้ไม่ใช่ผู้คิด
เวลาสติระลึกรู้กาย จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้เห็น
มันจะเห็นว่ากายมันก็อันหนึ่ง จิตมันก็อันหนึ่ง
กายนี้เป็นของถูกรู้ถูกดู
มีความไม่เที่ยง มีความเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
เป็นแค่ของถูกรู้ถูกดู
นี้คือตัวปัญญา เห็นไตรลักษณ์ถึงจะเป็นปัญญาที่แท้จริง
ปัญญาแบบท่องตำราได้ไปสอบได้
ไม่ใช่ตัวปัญญาสัมมาทิฏฐิ
เป็นปัญญาจากการคิดนึกปรุงแต่ง จดจำ
ปัญญาจากการเห็นถึงจะเกิดสัมมาทิฏฐิขึ้นมาในตัวเราได้
หรือถ้าจิตเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ แล้วจิตใจมันแอบทำงาน
มันเกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดกุศล อกุศล
เกิดหลงไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
สติระลึกรู้แล้วจิตมันจะตั้งมั่นขึ้นมา
แล้วมันจะเห็นสุข ทุกข์ ดี ชั่ว ทั้งหลาย เป็นของข้างนอกไม่ใช่จิต
ความสุขไม่ใช่จิต ความทุกข์ไม่ใช่จิต
กุศลไม่ใช่จิต อกุศลไม่ใช่จิต
มันจะเห็นอย่างนี้ นี่เป็นปัญญาขั้นต้น
แล้วมันก็จะเห็นต่อไป
สุข ทุกข์ ดี ชั่วทั้งหลายไม่เที่ยง
เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วก็หายไป
สุข ทุกข์ ดี ชั่ว เกิดขึ้น ตั้งอยู่ได้ไม่นาน ก็ถูกบีบคั้นให้แตกสลายไป
นี้คือทุกขตา การเห็นทุกขัง
สุข ทุกข์ ดี ชั่ว เป็นของถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา นี่เห็นอนัตตา
อย่างนี้เรียกว่าเรามีปัญญาแล้ว
จะมีปัญญาได้จิตต้องมีสัมมาสมาธินี่ตัวหนึ่ง
อีกตัวหนึ่งคือมีสติ สติเราก็ต้องฝึกให้เกิด
สติเกิดจากจิตจำสภาวะได้แม่น
จิตจำสภาวะได้แม่นเพราะจิตเห็นสภาวะนั้นเนืองๆ เห็นบ่อยๆ
เหมือนญาติพี่น้องเราไม่เจอกัน 20 ปี เห็นหน้าแล้วจำไม่ได้
แต่ถ้าเราเห็นกันทุกวัน เห็นทุกวันๆๆ คุ้นเคยจำได้
พอเห็นปุ๊บจำได้เลย ตัวสติเกิดจากจิตจำสภาวะได้
เราอยากให้ความสุขเกิดขึ้นก็รู้ ความทุกข์เกิดขึ้นก็รู้
กุศลเกิดขึ้นก็รู้ได้ อกุศลเกิดขึ้นก็รู้ได้
สติรู้ทันเราก็ต้องฝึก
ก็ทำกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งที่เคยทำ
แล้วมีอะไรแปลกปลอมเกิดขึ้น มีสติรู้ทัน
เช่น เรานั่งหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
ไม่เผลอ ไม่เพ่งอยู่ รู้ไปสบายๆ
ต่อมาจิตมันฟุ้งซ่านไม่ยอมสงบเลย
เราก็เห็นความฟุ้งซ่านมันเกิดขึ้น
นั่งไปๆ จิตมันสงบเราเห็นว่าความสงบเกิดขึ้น
พอเห็นบ่อยๆ มันจำได้ว่าความฟุ้งซ่านหน้าตาเป็นอย่างนี้
ความสงบหน้าตาเป็นอย่างนี้
ต่อไปพอจิตมันฟุ้งซ่านขึ้นมา สติมันระลึกได้
เฮ้ย ฟุ้งซ่านแล้ว
หรือว่ามีความสุขขึ้นมาแล้ว มีความสงบขึ้นมาแล้ว
มันจะระลึกได้เอง
เบื้องต้นหัดดูสภาวะนามธรรมสักอย่างหนึ่ง
ถ้าเราจะหัดรู้จิตรู้ใจของตัวเอง
อย่างหลวงพ่อพื้นเดิมของหลวงพ่อเป็นพวกโทสจริต
รวดเร็ว รุนแรง ล้างผลาญ
เวลาจะมาสู้กิเลสก็รวดเร็ว รุนแรง ล้างผลาญเหมือนกัน
ไม่ยอม ตราบใดที่กิเลสยังครอบงำจิต ไม่ยอมเลิกเลย
พวกโทสะไม่ยอมแพ้หรอก สู้ตาย
หลวงพ่อก็หัดดูจิตมันมีโทสะบ่อย
เราก็หายใจเข้าพุทออกโธไป
เดี๋ยวตาเกิดไปเห็นอะไรเข้าโทสะขึ้นแล้ว
ไม่ต้องเห็นอะไรหรอก
นั่งภาวนาสบายๆ อยู่ในห้องนี่ล่ะ
ก็เปิดประตูออกไป มีธุระจะออกนอกห้อง
แสงแดดกระทบเปลือกตานี้โทสะขึ้นแล้ว
รำคาญ หงุดหงิด แดดกระทบตาเรา หงุดหงิดแล้ว
นี่เห็น พอเราเห็นมันมีความเปลี่ยนแปลง
เดิมจิตมันไม่มีอกุศลตัวนี้ อยู่ๆ เกิดโทสะผุดขึ้นมา
ตามองเห็นรูปโทสะก็เกิด
หูได้ยินเสียงโทสะก็เกิด
จมูกได้กลิ่นโทสะก็เกิด
นี้สำหรับพวกโทสะ
คิดเรื่องนี้โทสะก็เกิด หัดรู้โทสะเรื่อยๆ ไป
ต่อไปจิตมันจำสภาวะของโทสะได้
โทสะหน้าตาเป็นอย่างนี้เอง
ต่อไปแล้วโทสะเกิดปุ๊บ สติรู้เองเลย
สติอัตโนมัติเกิดขึ้น
รู้ทันจิตตัวเองไป จะได้ทั้งสติ ได้ทั้งสมาธิ
จะได้ควบเลย ได้ทั้งสติ ได้ทั้งสมาธิ
เมื่อทำให้มาก เจริญให้มาก เราจะได้ปัญญา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
เมื่อกี้พูดเรื่องสมาธิอัตโนมัติ
อสังขาริกัง ไม่เจตนาให้เกิด
สติก็ต้องให้มีสติอัตโนมัติเหมือนกัน
สติอัตโนมัติเกิดจากเราเห็นสภาวะซ้ำแล้วซ้ำอีก
เบื้องต้นหัดดูตัวใดตัวหนึ่งเสียก่อนก็ได้
เช่น คนไหนขี้โกรธก็ดูโทสะ
จิตเดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็ไม่โกรธ
ต่อไปจิตจำสภาวะของโทสะแม่น
พอโทสะเกิดสติเกิดเอง รู้ทัน
สติเป็นตัวรู้ทันว่าตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้น
รู้ทันปั๊บมันเห็นโทสะเลย
แล้วก็จิตมันตั้งมั่นเป็นคนดู
โทสะนั่นล่ะสอนไตรลักษณ์เรา
เห็นไหมกิเลสสอนธรรมะเรา
อย่าไปเกลียดกิเลส
แต่ไม่ใช่ยอมแพ้กิเลส จมอยู่กับกิเลส
กิเลสเกิดเรามีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู
สติระลึกรู้ว่ากิเลสนี้เกิดขึ้น โทสะเกิดขึ้น
มันจะแสดงไตรลักษณ์ให้ดู
โทสะนี้มันไม่ได้เจตนาให้เกิด มันเกิดได้เอง
นี่มันแสดงอนัตตาให้ดู
แล้วพอเราเห็นปุ๊บมันขาดสะบั้นลงไปเลย มันดับ
มันเกิดแล้วมันก็ดับ นี้มันเห็นอนิจจัง
พอเราดูเป็นตัวหนึ่งแล้ว
อย่างหลวงพ่อเริ่มมาจากดูตัวโทสะ
ถ้าพวกเราเป็นพวกราคะเยอะ
เห็นอะไรก็อยาก เห็นอะไรก็อยากไปเรื่อย
ก็หัดรู้ใจที่อยาก
ใจมีความอยากเกิดขึ้นรู้ทัน
ใจมีความอยากเกิดขึ้นรู้ทัน
ต่อไปจิตมันจำสภาวะความอยากได้
ความอยากมันลักษณะอย่างนี้
พอความอยากมันผุดขึ้นมาปุ๊บ สติรู้ทันปั๊บเลย
แล้วจิตมันตั้งมั่นเป็นคนดู ความอยากนั้นขาดสะบั้นเลย
แสดงไตรลักษณ์ให้เราดูแล้ว
เพราะฉะนั้นกิเลสนี้อย่าไปเกลียดมัน
แต่อย่าไปยอมจำนนกับมัน
กิเลสเป็นครูของเรา
กุศลก็เป็นของดีแต่อย่าไปติดกับมัน
มันก็สอนไตรลักษณ์เหมือนกัน
อย่างจิตเราเป็นบุญเป็นกุศล รู้ไป มีสติรู้ไป
ประเดี๋ยวหนึ่งจิตที่เป็นบุญเป็นกุศลก็ดับแล้ว
อย่างเราเห็นเด็กลูกเรา มันชอบไปวิ่งข้างถนน
เราก็มีกรุณากลัวมันจะถูกรถชน เป็นห่วงมัน
ห้ามมันไม่ฟัง โมโห กรุณาดีๆ พลิกเป็นโทสะเลย
ฉะนั้นเราหัดรู้ทันสภาวะไป
ทีแรกรู้อันใดอันหนึ่งที่เกิดบ่อยๆ
แล้วต่อไปสภาวะอะไรเกิดก็รู้หมดเลย
รู้ตัวหนึ่งก่อน พอรู้ตัวนี้แจ่มแจ้งแล้ว มันจะรู้ตัวอื่นด้วย
อย่างเราเห็นโทสะมันขึ้นมามันดับไป เห็นจนชำนาญ
ต่อไปสิ่งที่ตรงข้ามกับโทสะคือราคะเกิดขึ้น
เราก็จะเห็น อ๋อราคะเกิดแล้ว
ราคะต่างกับโทสะอย่างไร
โทสะมันมีอาการผลักดันอารมณ์ออกไป
เห็นหน้าคนนี้ไม่ชอบอยากกระแทกหน้ามันออกไป
เห็นหมาตัวนี้ไม่ชอบมันอยากเตะให้กระเด็นออกไป
นี่ลักษณะของโทสะ คือมันผลักอารมณ์
จะผลักอารมณ์ที่ไม่พอใจออกไป
ลักษณะของโลภะ ของราคะ
คือจะดึงอารมณ์ที่ชอบใจเข้ามา
ถ้าเราเห็นการผลักเรื่อยๆ ต่อไปมันไม่ผลัก มันดึง
นี่จิตมีราคะแล้วมันก็จะเห็น
ทีแรกหัดรู้ตัวหนึ่ง แล้วต่อไปมันก็รู้หมด
ตัวอะไรเกิดขึ้นมันก็รู้หมด
ในที่สุดก็รู้ได้ทุกตัว
1
ทีแรกก็หัดรู้ตัวใดตัวหนึ่งไปก่อน
โดยการทำกรรมฐานไว้อย่างหนึ่ง แล้วรู้ทันจิตตัวเองไป
จะได้ทั้งสติ ได้ทั้งสมาธิ
จะได้ควบเลย ได้ทั้งสติ ได้ทั้งสมาธิ
เมื่อทำให้มาก เจริญให้มาก เราจะได้ปัญญา
พอจิตเราเป็นผู้รู้อยู่
สติระลึกรู้กาย มันก็จะเกิดปัญญา
เห็นกายเป็นไตรลักษณ์
จิตตั้งมั่นอยู่
สติระลึกรู้เวทนา มันก็จะเห็นเวทนาแสดงไตรลักษณ์
จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้อยู่
สติระลึกรู้สังขาร ความปรุงที่เป็นกุศล อกุศล
มันก็จะเห็นกุศล อกุศลทั้งหลายก็เป็นไตรลักษณ์
จิตตั้งมั่นอยู่แล้วเห็น
จิตเกิดดับทางทวารทั้ง 6 มันก็เห็นจิตเป็นไตรลักษณ์
นี่คือการเจริญปัญญา จะเห็นไตรลักษณ์
ค่อยๆ ฝึกไป พอปัญญาเกิดสมบูรณ์
พระพุทธเจ้าท่านบอก “บุคคลถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา”
แต่ปัญญาตัวนี้เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ
เป็นปัญญาที่เกิดจากการเจริญวิปัสสนา
คือการเห็นความเป็นจริงของรูปธรรม นามธรรม ของกายของใจ
ไม่ใช่ปัญญาจากการอ่าน การฟัง การท่องจำ
หรือการคิดไตร่ตรองพิจารณา
ปัญญาจากการอ่านการฟังอะไรพวกนั้น
มันเป็นปัญญาที่เรียกว่า สุตตมยปัญญา
ก็ทำให้ดูเหมือนฉลาด สอบเก่ง ได้คะแนนเยอะ
ปัญญาจากการคิดเรียกว่า จินตามยปัญญา
อาจจะถูกหรืออาจจะผิดก็ได้
เพราะเรายังมีกิเลส เราก็คิดไปตามอำนาจของกิเลส
ส่วนใหญ่ก็คิดไม่ค่อยจะถูกเท่าไร
บางทีอ่านมาก ฟังมาก คิดมาก กิเลสแรงกว่าเก่าอีก
ปัญญาที่ล้างกิเลส เรียกว่าภาวนามยปัญญา ต้องเห็นเอา
เจริญวิปัสสนาไป มีจิตตั้งมั่นก็เห็น
มีสติระลึกรู้สภาวะ คือรูปธรรม นามธรรม ที่กำลังมีกำลังเป็นอยู่
มันก็เห็นไตรลักษณ์ นั่นล่ะคือปัญญา
ถ้าไม่เห็นไตรลักษณ์ยังไม่ใช่วิปัสสนาปัญญา
พอเรามีสติ มีสมาธิ มีปัญญาที่ถูกต้องแล้ว
วิมุตติก็จะเกิดขึ้น แล้วจะเกิดอริยมรรค
โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ก็จะเกิดต่อ
สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล
อนาคามีมรรค อนาคามีผล
อรหัตตมรรค อรหัตตผล
ฝึกไปเรื่อยเป็นลำดับไป
หลุดพ้นด้วยเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามฝึก
ตอนที่อริยมรรคเกิด มีคำอยู่คำหนึ่งว่า
“จะหลุดพ้นได้ด้วยเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ”
เพราะฉะนั้นเวลาหลุด
ต้องหลุดด้วยเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ
หลุดด้วยเจโตวิมุตติคือหลุดด้วยกำลังของฌาน
อันนี้คนนอกศาสนาทำได้
แต่ตัวสำคัญคือต้องมีหลุดพ้นด้วยปัญญาวิมุตติ
หลุดพ้นด้วยวิปัสสนาปัญญา
และขณะที่เกิดวิปัสสนาปัญญาในขั้นของอริยมรรคนั้น
จิตมีเจโตวิมุตติอัตโนมัติ คือจิตเข้าฌานอัตโนมัติ
เพราะฉะนั้นเรายังไม่ต้องห่วงเรื่องฌานหรอก
เราหัดจิตหลงไปแล้วรู้ๆ สติก็เพิ่ม สมาธิก็เพิ่ม
ต่อไปปัญญาสมบูรณ์ขึ้นมา จิตมันรวม
ตรงที่จิตรวมลงไปเรียกว่าเรามีเจโตวิมุตติ
เราดับพวกนิวรณ์ลงไป มีปัญญาวิมุตติเห็นจริง
ก็หลุดพ้นขึ้นมาเป็นลำดับๆ ไป
เพราะฉะนั้นเวลาที่เกิดอริยมรรคต้องเกิดในฌาน
มันเกิดในฌานแน่นอนไม่เกิดนอกฌานหรอก
แต่ว่าไม่ต้องกลัว ทำอย่างที่หลวงพ่อบอก
เดี๋ยววันหนึ่งกำลังพอ จิตมันรวมเข้าฌานอัตโนมัติ
แล้วก็อริยมรรคก็จะเกิดขึ้น
ตรงที่จิตเราเข้าถึงอริยมรรคแล้ว มันล้างกิเลสสังโยชน์
กิเลสที่ผูกมัดเราเอาไว้ให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ ถูกล้างไป
กิเลสสังโยชน์มี 10 ตัว
ได้โสดาบันล้างได้ 3 ตัว
ได้อนาคามีล้างได้อีก 2 ตัว
ตอนที่บรรลุพระอรหันต์ล้างไปอีก 5 ตัว
อันนี้จิตมันล้างของมันเอง เราไม่มีหน้าที่ล้างหรอก
มันทำลายไปด้วยเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติอันไม่กำเริบกลับ
คือไม่เสื่อมถอย ล้างแล้วล้างเลย ไม่ต้องล้างแล้วล้างอีก
เพราะฉะนั้นเราจะต้องค่อยๆ ฝึก
ในที่สุดเราก็จะพ้นไปโดยส่วนทั้ง 2
คือส่วนของทั้งกำลังของสมถะ ทั้งกำลังของวิปัสสนา
ถ้าทำแต่สมถะมีเจโตวิมุตติเข้าฌานได้
อันนี้ศาสนาอื่นเขาก็ทำได้
แต่ถ้ามีเจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ
อันนี้เป็นเส้นทางของพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่มีแต่ปัญญาวิมุตติเฉยๆ
ตอนที่อริยมรรคเกิดอย่างไรก็ต้องมีฌาน
ประกอบด้วยเจโตวิมุตติเสมอ
ค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ ฝึกไป
เดี๋ยววันหนึ่งเราจะเข้าถึงพระรัตนตรัย
เมื่อเราเกิดอริยมรรค เกิดอริยผล
จิตของเราเป็นพระอริยบุคคล เป็นพระสงฆ์ขึ้นมาแล้ว
เราจะรู้ธรรมะไปตามลำดับ
พระโสดาบันก็รู้ธรรมะระดับพระโสดาบัน
พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ก็รู้ธรรมะในระดับของตน
ก็จะเข้าใจเป็นลำดับๆ ไป
อันนั้นคือเราก็จะเข้าใจพระธรรม
จิตของเราที่ฝึกดีแล้ว สมบูรณ์
เข้าถึงปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติมาแล้ว
ล้างกิเลส ล้างอาสวะออกไป
ล้างสังโยชน์ลงไปเป็นลำดับๆ
จิตของเราเป็นพระสงฆ์ เราเข้าใจธรรมะ
ครูบาอาจารย์ท่านเคยสอนหลวงพ่อ หลวงปู่สุวัจน์เคยสอนหลวงพ่อบอก “พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ เห็นสิ่งเดียวกัน แต่ตรงความรู้ความเข้าใจไม่เท่ากัน”
เห็นธรรมะอันเดียวกัน แต่ความเข้าใจมันไม่เท่ากัน
คือคล้ายๆ คนเรียนปริญญาตรี มองปัญหานี้
ปริญญาโทก็มองปัญหานี้
ปริญญาเอกก็มองปัญหานี้
แต่ความเข้าใจในปัญหานั้นไม่เท่ากัน
บอกไม่มีอะไรหรอก รู้แล้ววางไปเลย
ตรงที่จิตของเราเป็นพระสงฆ์
คือจิตของเราบรรลุมรรคผลแล้ว
ขณะนั้นเรารู้จักพระธรรมเรียบร้อยแล้ว
เราจะเข้าใจธรรมะตามระดับของเรา
แล้วเราก็จะเชื่อแน่นแฟ้น พระพุทธเจ้ามีจริง
คือท่านผู้สอนธรรมะอันประเสริฐอย่างนี้ให้เราได้
คือพระพุทธเจ้าผู้ค้นพบธรรมะ ก็ต้องมีจริง
เราก็จะเชื่อแน่นแฟ้นว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีจริง
ไม่คลอนแคลนในพระรัตนตรัยอีก
เรียกว่าเราได้ที่พึ่งของเราแล้ว
เมื่อเราได้ที่พึ่ง คือมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว
การเดินทางในสังสารวัฏนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไปแล้ว
ภายในเวลาไม่เกิน 7 ชาติเราจะต้องบรรลุพระอรหันต์แน่นอน
ถึงที่สุดแห่งทุกข์แน่นอน
แต่ถ้าเรายังไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ยังไม่ได้โสดาบัน
โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
เราก็จะเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น
ทุกข์แล้วทุกข์อีก เกิดแล้วเกิดอีก แก่แล้วแก่อีก
เจ็บแล้วเจ็บอีก ตายแล้วตายอีก
พลัดพรากแล้วพลัดพรากอีกจากสิ่งที่รัก
ประสบกับสิ่งที่ไม่รักซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่อย่างนั้น
ฉะนั้นในโลกมีแต่ทุกข์ มีแต่โทษ มีแต่ภัย
ผู้มีปัญญาก็พยายามเอาตัวเองออกให้พ้น
ก้าวเดินไปตามดวงประทีปที่พระพุทธเจ้าทิ้งไว้ให้เรา
จุดไว้ให้เรามอง
เจริญศีล เจริญสมาธิ เจริญปัญญาไป
ถึงวันหนึ่งจิตเราเป็นพระสงฆ์ จิตเราเข้าใจธรรมะ
จิตเราเคารพแน่นแฟ้นในพระพุทธเจ้า
นั่นล่ะเราจะมีที่พึ่ง ที่พึ่งอื่นไม่มี
แล้วมันจะเกิดฤทธิ์ชนิดหนึ่ง
เขาเรียกว่าเป็นสัจจกิริยา
อย่างถ้าเราภาวนาจนเราถึงพระรัตนตรัยแล้ว
มันมีบทอยู่บทหนึ่งบอก
“ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี
พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า
ด้วยอำนาจแห่งความสัจนี้” จะอะไรก็อธิษฐานเอา
ฉะนั้นอยากอธิษฐานได้ด้วยตัวเองไม่ต้องขอใคร
ก็ทำตัวเองให้มันมีที่พึ่ง
ถ้ายังไม่มีที่พึ่งก็ต้องเที่ยวขอโน้นขอนี้
ขอหลวงพ่อโน้น ขอเจ้าแม่นี้ เรียกว่าพวกไม่มีที่พึ่ง
มันจะเกิดฤทธิ์ขึ้นมาเป็นบุญฤทธิ์ …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
6 สิงหาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา