20 ส.ค. 2022 เวลา 03:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ส่องเคล็ดลับ...ตามหา"หุ้นเติบโต"ในยามวิกฤต
จากหนังสือตีแตกกลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต : ดร.นิเวศน์
ในการค้นหาหุ้นที่จะลงทุนให้ได้ผลดีนั้น เราต้องเป็นคนที่ "เปิดหูเปิดตา" คือรับข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา แล้ววิเคราะห์ว่า ข่าวนั้นหรือเหตุการณ์นั้น จะกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจ การเงิน และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
สมมติว่า เกิดสงครามในตะวันออกกลาง และราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น เราต้องรู้ว่า ธุรกิจใดจะเสียประโยชน์ และธุรกิจใดจะได้ประโยชน์
แน่นอน บริษัทที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงมาก เช่น ปูนซีเมนต์, กระจก, การขนส่งทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ จะต้องถูกกระทบ คือมีต้นทุนในการดำเนินงานสูงขึ้น
ในขณะที่บริษัทที่ผลิตเชื้อเพลิง เช่น บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) ซึ่งเป็นบริษัทขุดค้นหาและมีบ่อน้ำมัน ต้องได้ประโยชน์ที่สามารถขายสินค้าราคาสูงขึ้น เช่นเดียวกับผู้ผลิตถ่านหินซึ่งราคาขึ้นลงตามราคาน้ำมัน
ปูนซีเมนต์, เหล็กเส้น หรือวัสดุก่อสร้าง ขึ้นราคาไปมาก เพราะค่าเงินบาทตกต่ำ คนที่เสียหายคือผู้รับเหมาและนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไปรับงาน และตั้งราคาขายตามต้นทุนเดิม
ยังมีเหตุการณ์ร้อยแปดที่มีผลกระทบต่อธุรกิจแต่ละประเภท เช่น กระดาษขึ้นราคา ผู้ผลิตสิ่งพิมพ์และหนังสือพิมพ์ย่อมเสียประโยชน์
แต่ตรงกันข้าม เมื่อกระดาษลงราคา คนขายหนังสือพิมพ์ก็ยิ้ม เพราะได้ขึ้นราคาขายหนังสือพิมพ์ไปแล้ว พอกระดาษราคาลดลง กำไรก็เพิ่ม
ราคาข้าวสาลีเพิ่มสูงขึ้น ราคาของพริกป่น หอม ตะไคร้ ก็ขยับตาม ซองพลาสติกบรรจุที่ส่งมาจากโรงงานอื่นต่างก็ขึ้นราคาตามภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น คนที่เดือดร้อนรวมถึงไทยเพรสซิเดนท์ฟูด (TF) ผู้ผลิตมาม่า
ดังนั้นมาม่า กำไรตก หุ้นก็ตกตาม เหตุการณ์ต่อมาก็คือมาม่าทนขาดทุนหรือกำไรน้อยไม่ไหว มาม่าต้องประกาศขึ้นราคาจากซองละ 4 บาทเป็น 4.50 บาท วันที่ประกาศขึ้นราคา กำไรของ TF ยังไม่มา ต้องรออีกหลายเดือน
แต่เรารู้แล้วว่า ในที่สุดกำไร ของ TF ก็ต้องขึ้น เพราะการขึ้นราคาจากซองละ 4 บาทเป็นซองละ 4.50 บาทนั้น เท่ากับเพิ่มราคา 12.50 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่น้อย ๆ เลย หรือถ้าจะให้เห็นตัวเลขชัด ๆ ก็เอาจำนวนซองที่มาม่าขายในแต่ละวันคูณด้วย 50 สตางค์ ก็จะได้ตัวเลขว่า มาม่าจะได้กำไรเพิ่มขนาดไหน คนไทยกินมาม่าวัน ละหลายล้านซอง ดังนั้นวันที่มาม่าประกาศขึ้นราคา คุณควรจะดูหุ้นมาม่า
หุ้นกับอัตราดอกเบี้ยนั้นไม่ค่อยถูกกัน เพราะจากสถิติที่ผ่านมา เมื่ออัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดปรับตัวขึ้นไป หุ้นมักจะตกลงมาในทิศทางตรงกันข้าม เรียกว่า เป็นขมิ้นกับปูน
อัตราดอกเบี้ยมักจะค่อย ๆ ปรับตัว ถ้าเริ่มลดลงหลายครั้ง และสัญญาณชัดว่าสภาพคล่องทางการเงินสูงขึ้น และคุณกล้าพนัน คุณก็ไปซื้อหุ้นได้ แต่ถ้าเราอยากจะเพิ่มโอกาสชนะของเราให้สูงขึ้น เราก็ควรจะเลือกหุ้นที่มีหนี้มาก ๆ ซึ่งเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง ก็จะทำให้บริษัทเหล่านั้นจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง ซึ่งก็จะทำให้กำไรในอนาคตสูงขึ้น
ค่าเงินบาทลอยตัว แต่มีค่าน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ บริษัทส่วนใหญ่มีปัญหา แต่ผู้ส่งออกย่อมจะได้รับผลดี เพราะขายเป็นเงินดอลลาร์ ดังนั้นกำไรย่อมเพิ่มขึ้น คนที่ตามเหตุการณ์จะรู้ล่วงหน้าว่า ใครจะได้รับประโยชน์มหาศาล บริษัทไหนจะมีกำไรเพิ่มเป็นกอบเป็นกำใน 3 เดือนข้างหน้า ดังนั้นถ้า เขาซื้อหุ้นไว้ก่อน เขาย่อมต้องได้กำไรมากกว่าคนที่มาเล่นกันหลังจากงบการเงินออกแล้ว
การเลือกหุ้นโดยวิเคราะห์จากเหตุการณ์พิเศษต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ต้องพิจารณาว่า ประโยชน์ของบริษัทที่จะได้หรือเสีย เป็นประโยชน์ชั่วคราว สั้น หรือยาว มากน้อยแค่ไหน
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ผลกระทบที่เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด ค่าเงินบาท ถ้าลดเพียง 50 สตางค์ หรือ 1 บาท ผลต่อกำไรของบริษัทส่งออกอาจจะไม่ชัด
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวขึ้นลงตามฤดูกาล คงไม่ทำให้บริษัทไหนรวยหรือจนลงเท่าไร เช่นเดียวกับราคาค่าโฆษณาโทรทัศน์จาก 100,000 บาทต่อนาที เป็น 120,000 บาทต่อนาทีเฉพาะในช่วงเวลาเย็น คงไม่ทำให้สถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 รวยขึ้นมากนัก โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าลูกค้าอาจย้าย ไปโฆษณาช่องอื่น ๆ
ดังนั้นการวิเคราะห์เหตุการณ์ที่ควรแก่การพิจารณาให้ดี เพราะบางทีอาจจะมีอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ ซึ่งทำให้เหตุการณ์นั้นไม่ได้ส่งผล กระทบต่อบริษัทอย่างที่ควรจะเป็น
(สนใจซื้อหนังสือ เรามีส่วนลดให้ เพียง Inbox เข้ามาในเพจ อ่านไปเรื่อย แล้วแจ้งว่า "มาจากโพสสรุป")
PAGE : อ่านไปเรื่อย
PLEASE : LIKE . FOLLOW . SHARE
THANK YOU
#รีวิวหนังสือ #คำคม #พัฒนาตนเอง #หนังสือจิตวิทยา #หนังสือ #แนะนำหนังสือ #ขายหนังสือ #จิตวิทยา #ข้อคิดดีๆ #หนังสือมือสอง #หนังสือน่าอ่าน #หนังสือแนะนำ #อ่านหนังสือ #หนังสือดี #แท็กเพื่อนมาอ่าน
โฆษณา