22 ส.ค. 2022 เวลา 10:06 • อาหาร
"อาหารกับการเมือง: กรณีศึกษาเรื่องเล่าข้างสำรับชุมชนมอญทองผาภูมิ กาญจนบุรี"
ไม่เพียงการเมืองเรื่องสงครามที่ประเทศหนึ่งส่งออกข้าวสาลีไม่ได้ ส่งผลให้หลายประเทศขาดแคลนอาหาร บางครั้งประวัติศาสตร์บาดแผลก็ซุกซ่อนอยู่ในหม้อแกงหน่อไม้ การเอ่ยชื่อชนชาติผู้รุกรานที่ทำให้ไร้รัฐเพียงเบา ๆ ก็เจ็บปวด หรือแม้แต่เพลงกล่อมลูกก็มิอาจกลั้นน้ำตา
สำรับภัตตาการถวายพระภิกษุสามเณร วัดเสาหงษ์ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
สถาปัตยกรรมแบบมอญภายในวัดเสาหงษ์ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
ผลการวิจัย "การสร้างเรื่องเล่าเพื่อการท่องเที่ยวเชิงอาหารชุมชนมอญทองผาภูมิ"
(Creation of Storytelling to Promote Food Tourism in Mon Community,
Thong Pha Phoom) ศึกษาวัฒนธรรมอาหารและเรื่องเล่าข้างสำรับ “มอญสองเมือง” พบว่า เรื่องเล่าเชิงชาตินิยมมีการปรับเปลี่ยนการเล่าเรื่องให้สัมพันธ์กับสถานการณ์ทางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองสมัยใหม่ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในวาระอันสำคัญ
เมื่อกล่าวถึงอาหารที่มีเอกลักษณ์ประจำชาติก็มักจะมีนัยยะเชิงเปรียบเทียบ การอ้างอิงเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ หรืออุดมการณ์ทางชนชาติ จากการสอบถามคนในชุมชนมอญทองผาภูมิเกี่ยวกับอาหารมอญ ส่วนใหญ่ให้คำตอบว่ากินทุกวัน เพราะอาหารมอญอร่อย สะอาด ดีกว่าอาหารชาติอื่น ๆ เช่นกรณีของเจ้าอาวาสวัดเสาหงษ์รูปปัจจุบันซึ่งเดินทางเข้าเมืองไทยตั้งแต่สมัยเป็นสามเณรด้วยสาเหตุด้านการเมืองและสงครามภายในประเทศเมียนมา
“อยากพัฒนาวัดให้คนรู้จัก ให้คนมอญได้มีสถานะทางกฎหมาย มีฐานะทางเศรษฐกิจ มั่นคงเข้มแข็งอย่างคนจีน คนกะเหรี่ยง ทำให้วัดเป็นที่ท่องเที่ยว แต่คนมอญที่อพยพมานี่ก็ไม่ใช่คนรักการศึกษา ชอบขัดแย้ง ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ...”
“เห็นดีด้วยที่จะทำเรื่องอาหารมอญ มอญเรามีวัฒนธรรมประเพณีดี ๆ อาหารมอญมีความเป็นมาเก่าแก่แต่โบราณ อาตมาเข้าเมืองไทยมาแต่เล็ก ตั้งแต่เป็นเณร คนรอบวัดที่มาทำบุญนี่ส่วนใหญ่มีแต่มอญ พระเณรทั้งวัดก็มอญ ก็ต้องฉันอาหารมอญ ชอบอาหารมอญ...อาหารที่นี่ก็ผสมผสาน วันปกติก็จะเป็นอาหารมอญ แต่วันพระ วันสำคัญต่าง ๆ คนมาวัดเยอะ มีทั้งมอญ ไทย จีน กะเหรี่ยง อาหารก็เป็นไปตามเชื้อชาติคนที่มา...ปกติสวดมนต์บาลีมอญ แต่ถ้าคนมาทำบุญเป็นไทยเป็นกะเหรี่ยงเยอะก็สวดแบบไทย...”
ในวันที่ผู้วิจัยร่วมกับคนมอญชุมชนมอญทองผาภูมิจัดเวทีสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เจ้าอาวาสวัดเสาหงษ์ รับเป็นเจ้าภาพ และกล่าวต้อนรับคณะผู้วิจัยและคนมอญจากทุกหมู่บ้าน แม้ว่าท่านจะไม่ได้อยู่ร่วมกิจกรรม
“เราเสียดายไม่ได้อยู่ร่วมงาน เพราะรับกิจนิมนต์ไปงานเผาศพหลวงพ่อทองบุญ (พระครูสาครธรรมทัต อดีตเจ้าอาวาสวัดทองธรรมิการาม พระมอญอาวุโส วัดมอญเมืองไทย ตำบลคลองครุ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร – ผู้วิจัย) แต่สั่งญาติโยมที่นี่ไว้แล้วให้จัดอะไร ยังไง ตรงไหน เช่นให้จัดตั้งเตาทำครัวในโรงครัว เลี้ยงพระชั้นล่าง ใต้ศาลา และเลี้ยงแขกผู้ใหญ่และพวกเราตรงห้องโถงหน้าโรงครัว….(หันไปสั่งกลุ่มแม่บ้าน) ขึงม่าน ผูกผ้าเพิ่มด้วยจะได้ดูสวยหน่อย…”
1
แสดงให้เห็นว่า นอกจากเจ้าอาวาสวัดเสาหงษ์จะเห็นด้วยในแนวทางการอนุรักษ์ฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีมอญ การจัดการการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การจัดการการท่องเที่ยวเชิงอาหารมอญ ยินดีสนับสนุนและร่วมกิจกรรมมอญต่าง ๆ ตัวของท่านแม้จะเป็นพระสงฆ์มอญที่เกิดในรัฐมอญ ประเทศเมียนมา แต่ก็มีเครือข่ายเชื่อมโยงกับคนมอญและพระมอญในเมืองไทยอย่างที่แสดงให้เห็นได้จากการที่ท่านได้รับกิจนิมนต์ไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพอดีตเจ้าอาวาสวัดทองธรรมิการาม จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นชุมชนมอญขนาดใหญ่ในเมืองไทย
เช่นเดียวกับเจ้าอาวาสวัดองธิ อดีตทหารกองทัพพรรคมอญใหม่ หลังลาออกจากการเป็นทหารก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ เดินทางเข้ามาเมืองไทย จำพรรษาอยู่ที่วัดองธิตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อนจนปัจจุบัน
“อาตมาไม่ยุ่งเรื่องการเมือง เรื่องชนชาติ เรื่องกู้ชาติอะไรไม่เอาแล้ว เลิกเด็ดขาด ตอนนี้เป็นสุขกับพระศาสนา แต่ฝ่ายความมั่นคงไทยยังคอยจับตาดูอยู่...อาตมาเต็มใจสนับสนุนงานวัฒนธรรม สถานที่จัดงานอะไรไม่ขัดข้อง ดีใจเสียอีกที่คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่คิดทำงานวัฒนธรรมมอญกัน เรื่องร้องรำทำเพลง เรื่องอาหาร การท่องเที่ยวอะไรก็แล้วแต่ เพียงแต่เราไม่เคยจัดงาน ถ้าคนหนุ่มคนสาวทำได้ทำเลย อาตมาสนับสนุนสถานที่ พูดคุยให้ชาวบ้านเข้าใจ ร่วมมือ ขาดเหลือมาคุยกัน...”
แสดงให้เห็นว่า เจ้าอาวาสวัดในชุมชนมอญทองผาภูมิทั้งสองรูปข้างต้น แม้จะอยู่ในรูปสมณเพศแต่ก็มีความเป็นชาตินิยม แม้จะไม่ได้แสดงออกทางการเมืองเรื่องชนชาติแต่ก็นิยมในทางวัฒนธรรมมอญ ยังคงรักษาฟื้นฟู ให้การสนับสนุนกิจกรรมวัฒนธรรมประเพณีมอญ โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมเทศกาลอาหารมอญ
จากการสัมภาษณ์พูดคุยกับคนในชุมชนมอญทองผาภูมิหลายหมู่บ้าน พบเรื่องเล่าและประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอาหารเชิงชาตินิยมที่น่าสนใจ คือ
“คะเปียง”
1
หรือ “ข้าวเหนียวแดกงา” ทำจากข้าวเหนียวนึ่ง งาดำ ขนมมอญโบราณ มีปรากฏอยู่ในพุทธประวัติ เท่ากับว่าขนมชนิดนี้มีมาอย่างน้อยตั้งแต่เมื่อสมัยพุทธกาล
การตำ "คะเปียง" หรือ "ข้าวเหนียวแดกงา" ของชุมชนมอญบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ในงานวันชาติมอญ
คนมอญจะรวมกลุ่มร่วมกันตำคะเปียงในช่วงเดือนมาฆะ (เทศกาลมาฆบูชา) ราวเดือนกุมภาพันธ์ ตำข้าวเหนียวกับงาดำจนแหลกเข้าด้วยกันเนียนละเอียดเป็นสีดำแล้วปั้นเป็นก้อนพอคำ จิ้มกินกับน้ำผึ้งหรือน้ำตาลทราย (องค์ บรรจุน, 2557)
ขนมชนิดนี้คนมอญในรัฐมอญและทองผาภูมินิยมทำขึ้นในงานวันมาฆบูชา ตรงกับปฏิทินจันทรคติ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งจะต่อเนื่องรำลึกชนชาติมอญ คือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 ทำให้ขนมชนิดนี้ถูกใช้ในการถวายเป็นภัตตาหารพระภิกษุสามเณรและประชาชนที่มาร่วมงานในงานวันชาติมอญ กระทั่งกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำงานวันชาติมอญในปัจจุบัน (ประชา บ็อบหนุก, 2565)
อย่างไรก็ตาม คนพม่าและชนกลุ่มน้อยในเมียนมาเกือบทุกกลุ่มนิยมทำขนมชนิดนี้ แต่ชาวไทยรู้จักขนมชนิดนี้ในชื่อ “ทองโย๊ะ” บ้างเชื่อว่าเป็นคำในภาษามอญบางถิ่น คือ “ทอ” แปลว่า “ทอง” และ “โหยะ” แปลว่าขาด หาย ลดน้อย (น่าจะหมายถึง สีทองขาดหายไปเหลือแต่สีดำ)
มอญมีชื่อเรียกโบราณดั้งเดิมว่า “คะเปียง” หรือ “ฮะเปียง” รวมทั้งยังเป็นต้นทางของชื่อเรียกในหลาย ๆ ภาษาในอุษาคเนย์ เช่น คนพิจิตรนิยมเรียกว่า “ขนมข้าวโปง” คนอีสานและคนลาวเรียก “ขนมข้าวเปียง/ข้าวเบียง” คนล้านนาและคนไทใหญ่เรียก “ข้าวปุก/ขนมปุก” (องค์ บรรจุน, 2557)
“ทองโย๊ะ” หรือ “คะเปียง” ที่วางจำหน่ายในตลาดสดทองผาภูมิ
และดังกล่าวแล้วว่า ขณะที่บางคนเชื่อว่า “ทองโย๊ะ” เป็นคำในภาษากะเหรี่ยง แต่ก็มีคนกะเหรี่ยงจำนวนมาก และคนไทใหญ่ที่ได้พบปฏิเสธความเชื่อดังกล่าว (ประชา บ็อบหนุก, 2565) แต่เนื่องจากคนไทยรุ่นใหม่นิยมเรียกชื่อขนมชนิดนี้ว่า “ทองโย๊ะ” ทำให้คนมอญและคนกะเหรี่ยงเรียกตาม และทำให้คนมอญคนกะเหรี่ยงรุนใหม่เข้าใจว่าเป็นชื่อเรียกในภาษาของตนเอง
“ฮะเจ่บ”
1
หรือ “กระเจี๊ยบ” เป็นพืชผักประจำครัวเรือนของคนมอญ ทำอาหารได้หลายชนิด ทั้งอาหารหวาน อาหารคาว และเครื่องดื่ม “มอญต้องกินกระเจี๊ยบ อาหารคนจน ๆ กินกันธรรมดา ๆ ก็แกงกระเจี๊ยบ มีกินหรือไม่มีกิน อะไร ๆ ก็แกงกระเจี๊ยบ ส่วนลูกกระเจี๊ยบแดง ๆ นั้นจะออกช่วงหน้าแล้งเมื่อต้นแก่ และไม่ค่อยออกใบแล้ว ถ้าไม่มีอะไรกินก็กินเหมือนกัน โดยเฉพาะช่วงหน้าแล้ง แกงก็ได้ ตำน้ำพริกก็ได้...อาหารดี ๆ อย่างถ้าต้องทำอาหารมอญต้อนรับนักท่องเที่ยว จะทำแกงกระเจี๊ยบ ทอดปลาเค็ม ตำน้ำพริก...” (มิมุ้ย บ้านลิ่นถิ่น, 2565)
1
แกงกระเจี๊ยบปลาทูกุ้งสด
ในสายตาคนกะเหรี่ยง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านลิ่นถิ่น ลูกสาวอดีตผู้ใหญ่บ้านบ้านลิ่นถิ่นคนกะเหรี่ยงคนแรกเล่าว่า
“ถ้าเห็น กระเจี๊ยบ ขี้เหล็ก ใบมะขาม...งานมอญแน่ ๆ ...” (ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านลิ่นถิ่น, 2565)
1
และกระเจี๊ยบในสายตาของคนมอญทองผาภูมิที่ยังยึดโยงกับคนมอญในรัฐมอญ เช่นกรณีของ มิ ตา แม่ครัวประจำหมู่บ้าน อาชีพหลักเป็นเกษตรกร และอาชีพเสริมเป็นแม่ค้าขายผักสด ซึ่งผักส่วนใหญ่ที่ขายคือกระเจี๊ยบ มิตา เชื่อว่า กระเจี๊ยบมอญที่นำพันธุ์มาจากรัฐมอญดีกว่าพันธุ์กระเจี๊ยบที่ปลูกในเมืองไทย
“มอญที่นี่กินกระเจี๊ยบมอญ ต้มเปื่อย เปรี้ยวดี ไม่ชอบกระเจี๊ยบไทย ต้มไม่เปื่อย รสออกฝาด ๆ ไม่อร่อย...” (มิ ตา บ้านลิ่นถิ่น, 2565)
“ฟะอะน่ะฮ์แหม่งโกล่น”
1
หรือ “แกงใบมะขามอ่อน” เป็นแกงมอญที่คนมอญทั่วไป รวมทั้งคนมอญในรัฐมอญและชุมชนมอญทองผาภูมิถือว่าเป็นแกงมอญแท้ ๆ รวมทั้งคนชาติพันธุ์อื่นที่สัมพันธ์กับคนมอญก็มีความคิดเห็นเหมือนกัน เช่น ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านลิ่นถิ่น เป็นลูกสาวอดีตผู้ใหญ่บ้านคนกะเหรี่ยงคนแรกของหมู่บ้านเล่าให้ผู้วิจัยฟังว่า
“ถ้าเห็นกระเจี๊ยบ ขี้เหล็ก ใบมะขาม...งานมอญแน่ๆ ...” (ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านลิ่นถิ่น, 2565)
แกงใบมะขามอ่อนถั่วฝักยาวใส่กุ้งสด
พบได้ว่า “ใบมะขาม” ปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมอาหารมอญที่สามารถพบได้ทั่วไป คนมอญจึงคุ้นเคยกับใบมะขามตั้งแต่เกิด แม้แต่ของกินเล่นของเด็ก ๆ เช่นกรณีของ มิ วุดต็อง คนมอญจากรัฐมอญ ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่บ้านลิ่นถิ่น
“สมัยก่อนเอาใบมะขามห่อใบไม้ฝังดิน พวกเราเด็ก ๆ ช่วยกันกระทืบให้ใบมะขามช้ำ เพราะผู้ใหญ่ไม่ให้ครกมาใช้ เสร็จแล้วเอาไปยำด้วยการใส่เกลือที่พอจะขโมยออกมาจากครัวได้ กินเป็นของกินเล่นแบบเด็ก ๆ...”
สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของคนมอญในเมืองไทยที่พบว่ามีแกงใบมะขามอ่อนรวมอยู่ในรายการอาหารของมอญด้วย เช่นที่ปรากฏบันทึกของหม่อมเจ้าชิดชนก กฤดากร เรื่อง “นิทานชีวิตจริงบางตอนของข้าพเจ้า" บันทึกเหตุการณ์เมื่อสมัยรัชกาลที่ 6 ครั้งที่รัชกาลที่ 7 ดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ซึ่งสนิทสนมคุ้นเคยกับเจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่น ในรัชกาลที่ 4 และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ ผู้เป็นย่าและบิดาในหม่อมเจ้าชิดชนก
1
รัชกาลที่ 7 มักเสด็จแปรพระราชฐานติดตามสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทุกครั้ง โดยประทับยังตำหนักแสนสำราญ ในพื้นที่ "นเรศศุขเวศม์" ของกรมพระนเรศวร์ โดยยกให้รัชกาลที่ 7 ประทับเป็นการส่วนพระองค์ ส่วนกรมพระนเรศรว์จะย้ายไปพักบังกะโล "แสนสำราญ" ซึ่งอยู่ติดกันแทน เจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่นมักจะปรุงอาหารมอญถวาย
“เครื่องเสวยซึ่งตั้งที่ นเรศศุขเวศม์ มักจะมีอาหารมอญไม่ได้ขาด เช่น แกงใบมะขามอ่อน แกงมะตาด แกงกระเจี๊ยบ อาหารพื้นส่วนใหญ่ประกอบจากหอย ปู ปลา แม้กระทั่งแย้ซึ่งมีมากตามสนามหญ้า ก็นำมาปรุงเป็นอาหารที่โอชา...เสด็จพ่อโปรดที่จะให้บริวารจับแย้ แล้วจัดส่งมาถวายเจ้านายที่ประทับในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงรักและนับถือคุณย่า และเรียกคุณย่าว่า 'คุณแม่' จะได้รับประทานของฝากจากหัวหินเป็นประจำ" (หม่อมเจ้าชิดชนก กฤดากร, 2541)
1
“ฟะฮินเลแกล่ว์”
1
หรือ “แกงฮังเลเนื้อวัว” โดยรวมแล้วแกงที่ใส่เครื่องเทศและน้ำมันพืชจำนวนมาก และไม่ใส่ผักเลย เป็นแกงแบบอินเดียและพม่า คนมอญระบุว่าเป็น “แกงพม่า” เรียกว่า “ฟะดายดาย” ที่แปลว่า “แกงแดง ๆ” บางถิ่นนิยมเรียกว่า “ฟะอะเลียงกลอญย์” ที่หมายถึง “แกงน้ำมันกลับ” แม้คนมอญจะถือว่าเป็นแกงดี “กับข้าวดีสำหรับรับรองแขก นักท่องเที่ยว ต้องแกงแดง ๆ เป็นแกงเผ็ด เครื่องแกงแดง ๆ ใส่น้ำมันพืช แกงด้วยหมู ไก่ ปลา ไข่...” (มิ ติน บ้านไร่, 2565)
แกงฮังเลหมูสามชั้น
แต่ “ปกติคนมอญไม่นิยมกินเนื้อ ไม่เหมือนอย่างคนพม่า กะเหรี่ยง ทั้งเพราะเป็นสัตว์ใหญ่ และเราก็ไหว้พระ...”
1
ส่วนบางคนอ้างเรื่องบุญคุณ “ก็วัวเป็นสัตว์ที่มีบุญคุณ เพราะให้นมเรากินมาแต่เล็กแต่น้อย...ตอนเป็นเด็กก็กินปกติ เพราะไม่รู้ไม่คิดอะไร พอโตขึ้นรู้สึกไม่อยากกิน” (มิ เบอะ บ้านองธิ, 2565)
ขณะที่บางคนเกิดจากความรู้สึกและความไม่ชอบส่วนตัว “เดี๋ยวนี้ไม่กินเนื้อวัวเลย มันเหม็นคาว วันนี้ที่งานมีคนจะให้แกงกลับมากินบ้านแต่ก็ไม่เอา ไม่อยากเอาเข้าบ้าน กลิ่นมันติดชามติดช้อนติดหม้อติดไห...” (วิทย์ บ็อบหนุก, 2565)
“ฟะบาง”
1
หรือ “แกงหน่อไม้” เป็นอาหารที่คนมอญทองผาภูมิทำกินในชีวิตประจำวันบ้างเป็นบางครั้ง เช่น แกงหน่อไม้ดองใส่เผือก แกงไก่หน่อไม้ดอง และกระเจี๊ยบผัดใส่หน่อไม้ ที่ไม่มีสมาชิกคนใดในชุมชนกล่าวถึงนัก เมื่อผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านองธิ (2565)
แกงหน่อไม้ดองหมูสามชั้น
มิ หญิ วัย 83 ปี คนมอญซึ่งอพยพมาจากรัฐมอญพร้อมครอบครัวตั้งแต่อายุ 13 ปี เป็น 1 ใน 5-6 ครอบครัวคนมอญชุดแรกของบ้านองธิเถียงเสียงดังขึ้นเถียงทันทีเมื่อมีคนพูดถึงแกงหน่อไม้ว่า
“แกงพม่า” และ “เป็นแกงของคนป่าคนดง มีแต่พม่ากะเหรี่ยงกินกัน มอญไม่กิน...”
เมื่อผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านองธิแก้ว่า “ก็เห็นมอญกิน กินด้วยกันได้พม่า-มอญ จะเป็นแกงพม่าก็เห็นมอญก็ชอบกิน...”
มิ หญิ ตอบด้วยท่าทางไม่พอใจ “ไม่ชอบ ถ้าชอบพม่าคงไม่มาถึงนี่หรอก...กินได้ ถ้าไม่มีอะไรจะกิน...” (มิ หญิ บ้านองธิ, 2565)
1
เช่นเดียวกับ มิ คิ่นตี ที่มีพ่อเป็นทหารกองทัพมอญใหม่กู้ชาติ หลังจากถูกกองทัพพม่าไล่ล่าและเผาทำลายหมู่บ้าน ยึดที่ดิน และเสบียงอาหาร พ่อพา มิ คิ่นตี เข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านองธิ และไม่เคยกล่าวถึงการเมืองการทหารหรือการกู้ชาติอีกเลย
“ไม่มีบัตรพม่า คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนี้ไม่มีบัตรพม่า ไม่มีสัญชาติพม่า เพราะไม่อยากเป็นพม่า เพิ่งมาได้บัตรไทย...แต่เคยเรียนหนังสือมาแต่เด็ก ๆ เลยจำได้ อ่านออกเขียนได้ทั้งไทย มอญ และพม่า ทุกวันนี้ยังไม่เคยลืม...” (มิ คิ่นตี บ้านองธิ, 2565)
รวมทั้ง มิ ถิ่นตี ยังคงจำเพลงกล่อมลูกที่อดีตทหารมอญกู้ชาติ พ่อของเธอ ร้องกล่อมหลานหรือลูกชายของเธอได้ ซึ่งเธอก็ได้ร้องให้ผู้วิจัยฟังขณะที่ให้สัมภาษณ์ ทุกคนในที่นั้นยืนยันว่าไม่เคยได้ยินเธอร้องให้ได้ยินมาก่อน และเนื้อเพลง (แปลโดยผู้วิจัย) มีดังนี้ คือ
1
“มอญ...ชนมอญ วีรชนเราครองแผ่นดินกว้างใหญ่ บรรพชนเราล้วนเกรียงไกร ราชาธิราชนั้นไซร้กษัตริย์มอญ รักชนชาติแล้วเร่งสร้างรักษา...โอ้ชนชาติมอญ..ผองเรามีวีรชนอาจหาญ
...โอ้ ชนมอญ…
เลือดราชันนั้นคือภาษามอญ เก็บรักษาก่อนอกเอ๋ย…ชนมอญทั้งผองแผ้วถางผืนดิน ชนมอญสืบสานศิลป์ อย่าทิ้งคืนวันปล่อยผ่านนานเวลา เก็บรักษาเชื้อชนมอญถึงลมหายใจ
...โอ้ ชนมอญ…
ภาษาเรานั้นอย่าทอดทิ้งเลย ประเพณีเก่าล้ำถนอมเถิดเอย ศาสนาเมตตาธรรมค้ำจุน อย่าทิ้งคืนวันปล่อยผ่านนานเวลา เก็บรักษาเชื้อชนมอญถึงลมหายใจ
...ชน...ชาติมอญ”
“กลัวเซิ่ง”
1
หรือ “กลอยนึ่ง” เป็นอาหารหวานที่มีเรื่องเล่าเชิงชาตินิยม ทำนองอาหารสำหรับคนยากจน คนที่ไม่มีอะไรจะกิน คนมอญในรัฐมอญและชุมชนมอญทองผาภูมิไม่มิยมกิน ส่วนหนึ่งคาดว่าคงเนื่องมาจากขั้นตอนการนำมาปรุงอาหารมีขั้นตอนการทำที่ซับซ้อน นั่นคือ กลอยเป็นพืชตระกูลกินหัวที่มีสารพิษ เช่นเดียวกับลูกสะบ้า
1
“หากทำไม่เป็นกินเข้าไปจะเมาหรือถึงชีวิตได้ ปกติคนมอญจะไม่นิยมนำมากินนัก ผู้ใหญ่จะไม่มีการสอนให้ทำ เพราะถือเป็นอาหารของคนตกทุกข์ได้ยาก...” (มิ เบอะ บ้านองธิ, 2565)
กลอยนึ่ง (ภาพ: www.kasettambon.com)
“คนไม่มีชาติ ไม่มีงานทำเขาถึงจะทำกิน เด็ก ๆ พูดถึง ดีไม่ดีอาจจะถูกตบปาก...” (มิ ปานเซิญย์ บ้านองธิ, 2565)
“จะมีก็คนเก่า ๆ ที่อัตคัดจะนำมาหุงผสมข้าว หรือปลายข้าว เวลาขาดแคลนข้าวสารจริง ๆ...” (ประชา บ็อบหนุก, 2565)
ก่อนจะนำมาทำอาหารได้ต้องเอาสารพิษออกให้หมดด้วยการหั่นหัวกลอยออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ แล้วนำไปล้างน้ำในน้ำไหล หรือต้มในน้ำเกลือ โดยต้องเปลี่ยนน้ำล้างหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้สารพิษในหัวกลอยออกไปให้หมด การที่คนล้างกลอยต้องลงไปแช่น้ำในลำคลองหรือลำธารทำให้มือเท้าสกปรก
กระทั่งมีการเปรียบเทียบการทำขนมกลอยกับการทำขนมจีนน้ำยาว่า
“คะนอมเอิจก์ตัว กลัวเอิจก์จ่าง” แปลว่า “ทำขนมจีนกินขี้มือ ทำขนมกลอยกินขี้ตีน” (เล็ก สายทอง, 2565)
แต่ปัจจุบันมีคนไทย กะเหรี่ยง และคนลาวทำขายและมีการโฆษณาว่าเป็นของหายาก คนมอญจึงเริ่มหามากินบ้าง โดยคนมอญจะนึ่งพร้อมกับข้าวเหนียว สุกแล้วคลุกมะพร้าวขูด โรยน้ำตาและงาคั่ว
กล่าวโดยสรุป
อาหารมอญกับเรื่องเล่าเชิงชาตินิยมของคนมอญทองผาภูมิมีลักษณะของการผสมผสานรูปแบบดั้งเดิมกับเรื่องเล่าวัฒนธรรมอาหารสร้างใหม่ และเรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชนชาติมอญ มีทั้งอาหารคาว และอาหารหวานหรือขนม ปรุงจากพืชผักผลไม้ที่หาได้ง่ายตามธรรมชาติ หัวไร่ปลายนา และสวนหลังบ้าน ผสมผสานกับพืชผัก เนื้อสัตว์ และวัตถุดิบ ที่หาซื้อได้จากตลาดในชุมชน เครื่องปรุงมีหลากหลาย เช่น เกลือ น้ำปลา น้ำปลาร้า ขมิ้น มะสะหล่า ซอสหอยนางรม ซีอื๊ว และผงชูรส
รายการอาหารคาวมักไม่นิยมปรุงจากสัตว์ใหญ่ และไม่นิยมใส่กะทิ รายการอาหารหวานเป็นขนมหวานแบบพื้นฐาน ทำจากแป้ง กะทิ และน้ำตาลเป็นหลัก
รายการอาหารมีทั้งแบบมอญดั้งเดิมที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนมอญในรัฐมอญและคนพม่าในประเทศเมียนมา คนมอญในเมืองไทย และคนไทยภาคกลางร่วมสมัย และมีเรื่องเล่าหลักหรือประวัติศาสตร์อาหารระหว่าง “มอญสองเมือง” ร่วมกัน
1
รวมทั้งรายละเอียดปลีกย่อยที่ต่างกัน ประการสำคัญ เป็นการเล่าที่เน้นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ต้องการแสดงให้เห็นความแตกต่างทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ชนชาติในอดีตของตนที่ยิ่งใหญ่ ความต่างทางชาติพันธุ์ระหว่างมอญกับพม่า มอญกับกะเหรี่ยง มอญกับไทย และมอญในรัฐมอญประเทศเมียนมากับมอญในเมืองไทย ประเทศไทย เช่น
“กลัวเซิ่ง” หรือกลอยนึ่ง เป็นขนมสำหรับคนยากจน คนมอญสมัยเก่าจึงไม่นิยมทำกิน ไม่แม้แต่จะสอนให้ลูกหลานทำกิน
“ฟะบาง” หรือแกงหน่อไม้ “เป็นแกงของคนป่าคนดง มีแต่พม่ากะเหรี่ยงกินกัน มอญไม่กิน...” หรือ
“แกงฮังเล” ที่เป็นแกงแบบพม่าแต่คนมอญนำมาปรับปรุงและทำได้อร่อยกว่า
รวมทั้ง “แกงกระเจี๊ยบ” ที่ต้องใช้ใบกระเจี๊ยบสายพันธุ์ที่ปลูกในรัฐมอญ กระเจี๊ยบที่ปลูกในเมืองไทยแบบที่คนมอญเมืองไทยกินนั้นต้มไม่เปื่อย รสออกฝาด ๆ ไม่เปรี้ยว ไม่อร่อย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเรื่องเล่าของคนมอญโดยเฉพาะมอญจากรัฐมอญ ประเทศเมียนมา จะแฝงฝังไปด้วยประวัติศาสตร์บาดแผล การเปรียบเทียบคุณค่าระหว่างชนชาติ รวมทั้งอคติชนชาติที่มีระหว่างกัน แต่เรื่องเล่าเหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงและผลสืบเนื่องจากการกระทำของคนในอดีต
ประวัติศาสตร์บาดแผลที่เกิดขึ้นที่ไม่ได้รับการเยียวยาจึงย่อมเป็นบาดแผลที่ตกค้างอยู่ในเรื่องเล่าและได้รับการส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่นจนปัจจุบัน แต่ในกระบวนการการสร้างเรื่องเล่าเพื่อการท่องเที่ยว สามารถถอดบทเรียนเรื่องเล่าเหล่านี้พร้อมทั้งชี้ให้เห็นผลเสียของการก่อสงครามที่แม้จะจบสิ้นลงไปแล้วหลายร้อยปี แต่ผลของมันยังคงปรากฏให้เห็น การเลี่ยงการก่อสงครามจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในโลกสมัยใหม่
ข้อดีจากการรับรู้ที่มาทางชนชาติและความแตกต่างทางวัฒนธรรม เป็นแง่งาม ย่อมทำให้มีการเก็บรักษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ เป็นวัตถุดิบเพื่อการเรียนรู้หลากหลายทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เพื่อการข้ามผ่านและการผสมผสานทางวัฒนธรรม ตลอดจนการปรับใช้มรดกทางวัฒนธรรมเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันร่วมกัน
รายการอ้างอิง
ชิดชนก กฤดากร, หม่อมเจ้า. (2541). นิทานชีวิต
จริงบางตอนของข้าพเจ้า. ตีพิมพ์เป็นที่
ระลึกเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ
หม่อมเจ้าชิดชนก กฤดากร เมื่อ 26
ธันวาคม 2541. กรุงเทพฯ: กรุงเทพฯ.
ประชา บ็อบหนุก. (30 มกราคม, 2565).
สัมภาษณ์ที่ชุมชนบ้านห้วยเขย่ง ตำบลห้วย
เขย่ง อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี.
พระครูกาญจนชินธรรม, เจ้าอาวาสวัดเสาหงษ์.
(28 มกราคม, 2565). สัมภาษณ์ที่วัดเสา
หงษ์ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ
กาญจนบุรี.
พระอธิการโทน สุญาโณ, เจ้าอาวาสวัดองธิ. (29
มกราคม, 2565). สัมภาษณ์ที่วัดองธิ
ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี.
ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านลิ่นถิ่น. (29 มกราคม,
2565). สัมภาษณ์ที่ชุมชนบ้านลิ่นถิ่น ตำบล
ลิ่นถิ่น อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี.
มิ คิ่น ตี บ้านไร่. (31 มกราคม, 2565). สัมภาษณ์
ที่ชุมชนบ้านไร่ ตำบลห้วยเขย่ง อำเภอ
ทองผาภูมิ กาญจนบุรี.
มิ ตา บ้านลิ่นถิ่น. (29 มกราคม, 2565).
สัมภาษณ์ที่ชุมชนบ้านลิ่นถิ่น ตำบลลิ่นถิ่น
อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี.
มิ ติน บ้านไร่. (31 มกราคม, 2565). สัมภาษณ์ที่
ชุมชนบ้านไร่ ตำบลห้วยเขย่ง อำเภอ
ทองผาภูมิ กาญจนบุรี.
มิ เบอะ บ้านองธิ. (30 มกราคม, 2565).
สัมภาษณ์ที่ชุมชนบ้านองธิ ตำบลท่าขนุน
อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี.
มิ ปานเซิญย์ บ้านองธิ. (13 เมษายน, 2565).
สัมภาษณ์ที่ชุมชนบ้านองธิ ตำบลท่าขนุน
อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี.
มิ มุ้ย บ้านลิ่นถิ่น. (29 มกราคม, 2565).
สัมภาษณ์ที่ชุมชนบ้านลิ่นถิ่น ตำบลลิ่นถิ่น
อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี.
มิ หญิ บ้านองธิ. (30 มกราคม, 2565).
สัมภาษณ์ที่ชุมชนบ้านองธิ ตำบลท่าขนุน
อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี.
วิทย์ บ็อบหนุก. (11 เมษายน, 2565). สัมภาษณ์
ที่ชุมชนบ้านห้วยเขย่ง ตำบลห้วยเขย่ง
อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี.
เล็ก สายทอง. (12 เมษายน, 2565). สัมภาษณ์ที่
ชุมชนบ้านองธิ ตำบลท่าขนุน อำเภอ
ทองผาภูมิ กาญจนบุรี.
องค์ บรรจุน. (2557). ข้างสำรับมอญ. กรุงเทพฯ:
มติชน.
โฆษณา