31 ส.ค. 2022 เวลา 05:00 • ประวัติศาสตร์
เส้นทางชีวิตของ "กอร์บาชอฟ" นักปฏิรูปผู้นำมาซึ่งจุดจบของสงครามเย็น
คืนวันที่ 30 สิงหาคม 2022 สื่อหลักของรัสเซียและสื่อต่างประเทศต่างรายงานพร้อมกันถึงข่าวการเสียชีวิตของอดีตผู้นำสูงสุดคนสุดท้ายของสหภาพโซเวียต "มิคาอิล กอร์บาชอฟ" นักการเมือง นักปฏิรูป ผู้นำพาโลกออกจากสภาวะสงครามเย็น เส้นทางชีวิตที่น่าสนใจของเขาจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้
/วัยเด็กที่โหดร้าย/
มิคาอิล กอร์บาชอฟ เกิดเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 1931 ในครอบครัวชาวนายากจน คุณพ่อเป็นชาวรัสเซีย คุณแม่เป็นชาวยูเครน ผู้เคร่งศาสนา อพยพมาจากเมือง Chernihiv ภายใต้การปกครองของ "โจเซฟ สตาลิน" กอร์บาชอฟได้เรียนรู้ประสบการณ์ทำงานครั้งแรกตอนอายุ 17 ปี จากนโยบายนารวม (Kolkhoz) คือการร่วมกันลงมือลงแรงเก็บเกี่ยวพืชผลส่งไปยังส่วนกลางเพื่อให้ส่วนกลางบริหารจัดการต่อ โดยสตาลินเชื่อว่านโยบายนี้จะช่วยเปลี่ยนประเทศให้เป็นสังคมนิยมตามแนวคิดมาร์กซิสต์ - เลนินิสต์ได้
ครอบครัวกอร์บาชอฟ
แต่แล้วด้วยนโยบายดังกล่าวส่งผลให้อุปทานการผลิตไม่เพียงพอ รวมถึงการเพาะปลูกที่ขาดทักษะด้านเกษตรกรรมและฤดูหนาวที่แห้งแล้งอย่างรุนแรง ซึ่งพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือยูเครนและคาซัคสถาน จนนักวิชาการบางส่วนเห็นว่าภัยความอดยาก (Famine) ในครั้งนี้ไม่ต่างอะไรกับการ "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"
ครอบครัวของกอร์บาชอฟคือหนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบหลายสิบล้านคน คุณลุงและคุณป้าเสียชีวิตจากความอดยาก ตามมาด้วยการรวมกลุ่มประท้วงรัฐบาลและถูกกวาดล้างอย่างรุนแรง รวมถึงคุณปู่ คุณพ่อและคุณแม่ของกอร์บาชอฟ ทั้งหมดถูกจับกุมคุมขังอยู่ในค่ายกักกันแรงงาน (Gulag) ในปี 1934 จนกระทั่งถูกปล่อยตัวออกมาในปี 1938
กอร์บาชอฟเกือบจะสูญเสียคุณพ่อไปในสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากทางการประกาศการเสียชีวิตของคุณพ่อเขาผิดพลาด หลังยุทธการที่เคิร์ส กอร์บาชอฟได้พบคุณพ่ออย่างปาฏิหาริย์ในสภาพบาดเจ็บ หลังสงคราม
/เส้นทางการเมืองที่ไม่ธรรมดา/
กอร์บาชอฟสำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัย Lomonosov กรุงมอสโควในปี 1955 ก็ได้พบกับ "ไรซา มักซีมอฟนา" คนรัก - ภรรยาคนแรกและคนเดียวของเขา โดยในระหว่างนั้นเขาได้สมัครสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ เริ่มงานในสำนักงานอัยการที่เมือง Stavropol แต่ทำได้ไม่นานก็ขอย้ายไปทำงานในหน่วยโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งเขามีโอกาสได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้านและเกิดความพยายามปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องที่
ไรซา ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกคนแรกในปี 1957 ตั้งชื่อว่า "อิริน่า" หลังจากนั้นในปี 1961 กอร์บาชอฟจบการศึกษาเพิ่มเติมด้านธุรกิจการเกษตร กอร์บาชอฟได้เลื่อนขั้นหลายครั้งจากฝ่ายบริหารเล็กๆ ในระดับท้องถิ่น เป็นผู้บริหารฝ่ายเกษตรระดับภูมิภาค เป็นตัวแทนศึกษาดูงานในต่างประเทศ รวมถึงได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์
ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น "เลขาธิการคณะกรรมการกลางด้านการเกษตร" ในปี 1978 ด้วยความสนใจด้านการเกษตรและความพยายามที่จะปรับปรุงวิถีชีวิตที่ได้พบเจอในช่วงแรกของการทำงาน ทำให้เขาลงทุนลงแรงทำงานอย่างหนัก เขามองว่าระบบการจัดการการเกษตรของโซเวียตเปราะบาง รวมศูนย์มากเกินไป ควรจะตัดสินใจจาก "ล่างขึ้นบน" มากกว่า "บนลงล่าง"
กอร์บาชอฟนำเสนอแนวคิดดังกล่าวในสุนทรพจน์ครั้งแรกในปี 1978 กอร์บาชอฟเป็นผู้บริหารระดับสูงจำนวนน้อยที่ต่อต้านการส่งกำลังทหารโซเวียตไปรุกรานประเทศอัฟกานิสถานในปี 1979 แนวคิดของเขาทำให้กรรมการพรรคตัดสินใจเลื่อนเขาเข้าเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบของ Politburo (กลุ่มผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในพรรค)
/ผู้นำสูงสุดแห่งสหภาพโซเวียต/
ในเดือนมีนาคม 1985 กอร์บาชอฟจึงได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการกลางขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของสหภาพโซเวียต เขาเริ่มทำงานด้วยการเดินทางไปเจรจากับผู้บริหารระดับภูมิภาคในดินแดนภายใต้การปกครองทุกแห่งตั้งแต่ ยูเครน เบลารุสจนถึงเอเชียกลาง เพื่อเรียกร้องให้พวกเขามีความรับผิดชอบมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาระดับท้องถิ่น
รูปแบบการพบเจอกับกอร์บาชอฟนั้นเรียบง่าย เขามักจะหยุดเดินเพื่อพูดคุยกับผู้คนบนท้องถนน เขาไม่ชอบการแสดงภาพเหมือนในขบวนพาเหรด เขาสนับสนุนการอภิปรายและแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยโดยไม่มีใครต้องถูกลงโทษ
/เปเรสทรอยกา - กลาสนอต เปิดเพื่อปรับ/
"เปเรสทรอยกา" ถูกประกาศในปี 1986 เป็นนโยบายให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น รัฐบาลยอมรับฟังข้อเสนอและการวิพากษืวิจารณ์ เพิ่มเสรีภาพให้แก่สื่อมวลชนและสิ่งพิมพ์ ยอมให้มีเสรีภาพทางวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาค นโยบายนี้นำไปสู่การปฏิรูปเศรษฐกิจจากเดิมที่เคยวางแผนจากส่วนกลางก็เพิ่มอำนาจให้ภูมิภาคมีโอกาสได้ตัดสินใจมากขึ้น
"กลาสนอต" ถูกประกาศออกมาตามหลังในปี 1987 เป็นนโยบายที่กำหนดให้ภาครัฐต้องเปิดเผยกิจการของรัฐอย่างตรงไปตรงมา แสดงถึงความโปร่งใสในการทำงาน
/เมล็ดพันธุ์แห่งประชาธิปไตย/
จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาคองเกรสครั้งแรกในปี 1989 แม้ว่าสมาชิกสภาที่ประชาชนเลือกจะมาจากการคัดสรรของพรรคคอมมิวนิสต์ก่อนหน้า แต่หลายคนก็มีแนวคิดเสรีนิยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เช่น บอริส เยลต์ซิน ตามมาด้วยการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์สหภาพโซเวียต สภานิติบัญญัติที่มีสมาชิกกว่าสองพันคนได้ลงมติเห็นชอบให้กอร์บาชอฟได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียง 2,123 ต่อ 87
ในช่วงทศวรรษ 1980 - 1990 ประเทศคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกต่างก็เกิดการปฏิวัติขึ้น หลายประเทศเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตย เป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดสงครามเย็น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากพลวัตในสหภาพโซเวียต กอร์บาชอฟให้ความสนใจกับการปฏิรูปภายในประเทศมากกว่าการแทรกแซงในประเทศพันธมิตร สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มซ้ายจัดหัวรุนแรง กอร์บาชอฟถูกวิจารณ์จากกลุ่มซ้ายจัดว่าพยายามบ่อนทำลายประเทศ ดึงประเทศให้เข้าใกล้ตะวันตกมากเกินไป รวมถึงสมาชิก Politburo บางคนเริ่มไม่พอใจในตัวเขา
กอร์บาชอฟตระหนักได้ว่าองค์กรต่างๆ รอบตัวเขาสามารถขัดขวางการปฏิรูปได้ จึงแก้เผ็ดด้วยการยุบสภาคองเกรสที่มีมายาวนานกว่า 60 ปีทิ้งไป แล้วจัดตั้ง "สภาผู้แทนราษฎร" ยุบ Politburo และจัดตั้งสภาที่ปรึกษาประธานาธิบดีจำนวน 18 คน โดยสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี
จนกระทั่งปี 1991 เกิดความพยายามรัฐประหารขึ้นในเดือนสิงหาคม กลุ่มซ้ายจัดหัวรุนแรงนำกองกำลังทหารออกมาปิดล้อมที่ทำการรัฐบาลหลายแห่งในกรุงมอสโคว ผู้นำรัฐประหารประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกองทัพและพลเรือนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการปฏิรูปของกอร์บาชอฟ แต่ท้ายที่สุดความพยายามนั้นไม่สำเร็จ แม้จะสามารถควบคุมตัวกอร์บาชอฟได้ แต่ไม่สามารถควบคุมตัว บอริส เยลต์ซิน คนสนิทของกอร์บาชอฟ ทำให้พลังประชาชนสามารถต่อต้านการรัฐประหารในครั้งนั้นได้ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทำการอัตวินิบาตกรรมทั้งสิ้น 3 คน
หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต มิคาอิล กอร์บาชอฟ หมดอำนาจในการปกครองประเทศและต้องส่งไม้ต่อให้กับบอริส เยลต์ซินผู้ได้รับการยอมรับให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหพันธรัฐรัสเซีย
กอร์บาชอฟใช้ชีวิตเป็นสามัญชนธรรมดาเป็นเวลากว่า 30 ปีนับจากนั้น ให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ เขียนหนังสือหลายเล่ม รวมถึงเดินทางเข้าเยี่ยมเยียนอดีตผู้นำสหรัฐฯอย่างโรนัล เรแกนและเข้าแสดงความยินดีกับบารัค โอบามา รวมถึงได้รับเชิญไปร่วมงานสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูตินของรัสเซีย โดยตลอดระยะเวลา 20 ปีภายใต้การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของปูติน กอร์บาชอฟเป็นเพียงไม่กี่คนในรัสเซียที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของปูตินอย่างตรงไปตรงมาแล้วไม่ได้รับอันตรายใดๆ
เรแกนและกอร์บาชอฟในปี 1992
โอบามา ไบเดนและกอร์บาชอฟในปี 2009
จนกระทั่งล้มป่วยและเข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลกลางในกรุงมอสโควตั้งแต่ปี 2020 และเสียชีวิตด้วยภาวะแทรกซ้อนในคืนวันที่ 30 สิงหาคม 2022 ซึ่งศพขอเขาจะถูกฟังข้างกันกับไรซา ภรรยาคนแรกและคนเดียวของเขาตามที่เขาต้องการ
โฆษณา