6 ก.ย. 2022 เวลา 14:00 • ความคิดเห็น
ปัจจุบันขณะ
หลายปีก่อน ผมเคยได้มีโอกาสสัมภาษณ์วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรมือวางอันดับต้นๆของประเทศ เอาเข้าจริงๆ ผมแค่ถามไม่กี่คำถาม วู้ดดี้ก็เล่าชีวิตของเขาอย่างสนุกสนานและได้แง่คิดมากมาย
1
หลังจากบทสนทนาที่เข้มข้นแล้ว ผู้ฟังในวันนั้นถามคำถามหนึ่งที่น่าสนใจกับวู้ดดี้ ผู้ซึ่งดูเหมือนจะประสบความสำเร็จ ได้แทบทุกอย่างที่ต้องการ มีชื่อเสียงเงินทองมากมาย ผู้ฟังท่านนั้นถามว่า ใครสำคัญที่สุดและอะไรสำคัญที่สุดสำหรับวู้ดดี้ ...
1
วู้ดดี้ตอบคำถามที่ทำให้ผมแปลกใจแต่เข้าใจได้ว่าเกิดจากประสบการณ์แบบเข้มข้นของเขาในช่วงหลายปีโดยเฉพาะการศึกษาพุทธศาสนาของเขา
วู้ดดี้ตอบว่า...
คนที่สำคัญที่สุดคือคนที่อยู่หน้าเขาตอนนี้ สถานที่สำคัญที่สุดก็คือห้องประชุมที่เขาบรรยายอยู่ตอนนี้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ บทสนทนาในตอนนี้...
วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา
4
คุณอาณัติ จ่างตระกูล อดีตผู้บริหารซัมซุงผู้นำพาซัมซุงขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของไทย เคยเล่าในการบรรยายหลักสูตร เอบีซี เรื่องคุณสมบัติที่ดีของผู้บริหาร คุณอาณัติบอกว่า นิสัยที่สำคัญที่สุดของผู้บริหารที่จะประสบความสำเร็จและได้ใจผู้ใต้บังคับบัญชา คือการให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า จริง ๆ คุณอาณัติพูดใหญ่กว่านั้นว่า คนที่สำคัญที่สุดในโลก คือ คนที่อยู่ตรงหน้าเรา
3
คุณอาณัติสอนว่า ถ้ามีลูกน้องเดินเข้ามาคุยด้วย เราต้องหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ในขณะนั้นก่อน ใช้คอมอยู่ก็ปิดคอมลง เขียนอะไรอยู่ก็หยุด ฟังโทรศัพท์อยู่ก็กดวางหูก่อน แล้วตั้งใจ "ฟัง" ลูกน้องที่อยู่ตรงหน้า เพราะถ้าหัวหน้าไม่ฟัง ทำโน่นทำนี่ไปด้วย คนเรามีเซนส์ว่าได้รับความสนใจ ใส่ใจหรือไม่ ถ้าหัวหน้าไม่ใส่ใจ ลูกน้องก็จะคิดว่า หัวหน้าไม่ให้ความสำคัญ ไม่เชื่อถือ และนำไปสู่การไม่ Trust กันในที่สุด
1
การใส่ใจคนที่อยู่ตรงหน้า เป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุดบทเรียนหนึ่งที่กลั่นมาจากประสบการณ์หลายสิบปีของคุณอาณัติเลยทีเดียว...
3
ผมเคยขึ้นเวทีกับน้องอ้อม สุนิสา นักร้องและดีเจชื่อดังในงานๆหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน น้องอ้อมเล่าถึงตัวเองว่าเคยมีความทุกข์จากปัญหาใหญ่หลวงมากที่ลงเอยไม่ดี และรู้สึกเสียใจอย่างหนัก ลืมยังไงก็ลืมไม่ลง จากที่เคยมีคนอยู่ด้วยแล้วต้องอยู่คนเดียว จมอยู่กับความทุกข์จนเพื่อนๆกังวลว่าจะอยู่เองไม่ได้
3
แต่น้องอ้อมตัดสินใจที่จะหัดอยู่คนเดียวให้ได้ แล้วพอคิดถึงว่าต้องอยู่คนเดียวก็น้ำตาไหล นั่งทุกข์ทั้งวันไม่รู้ว่าจะสลัดทุกข์นั้นออกได้ยังไง จนเริ่มหิวข้าว ก็เลยเดินน้ำตาไหลไปหุงข้าว ในตู้เย็นมีแต่ไข่ ก็เลยตัดสินใจเจียวไข่ทั้งๆที่เกลียดการเจียวไข่มากเพราะกลัวน้ำมันกระเด็น
1
พอต้องตั้งใจเจียวไข่ ตั้งกระทะใส่น้ำมัน ใจก็ไปพะวงกับน้ำมันร้อนๆ แว่บหนึ่ง น้องอ้อมบอกว่าก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เศร้า ไม่ได้ทุกข์แล้วในช่วงที่กำลังเจียวไข่ เพราะมัวแต่ไปตั้งใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแทน วินาทีที่กลัวน้ำมันกระเด็น มันพาความเศร้ากระเด็นออกไปด้วย น้ำตาก็หยุดไหล วันนั้นก็สามารถกินข้าวได้ อยู่คนเดียวได้ดีขึ้นตั้งแต่ช่วงเวลานั้นเป็นต้นมา...
8
สี่ปีก่อนตอนที่ลูกสาวทั้งสองคนของผมกำลังจะย้ายไปโรงเรียนอินเตอร์แห่งหนึ่ง เมนิ ลูกสาวคนเล็กของผม มาบ่นกับผมด้วยความกังวลและความไม่มั่นใจว่าจะพูดกับเพื่อนเป็นภาษาอังกฤษรู้เรื่องรึเปล่า จะมีเพื่อนมาคุยด้วยรึเปล่า ท่าทางดูกลุ้มอกกลุ้มใจเป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นลูกสาวผมกำลังจะเป็นวัยรุ่นแล้ว การสอนตรงๆแบบเด็กๆก็ดูเหมือนจะได้ผลน้อยลงไป ผมเองนึกถึงการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ผมเพิ่งดูจบไปไม่นาน ก็เลยเล่าการ์ตูนเรื่องนี้ให้เขาฟัง
จริงๆแล้วเป็นแค่คำพูดหนึ่งของตัวละครเอกในการ์ตูนเรื่องนั้น เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อ one punch man เป็นเรื่องราวของไซตามะ ที่พยายามเป็นฮีโร่เพื่อความสนุกและมีหมัดที่หนักมากที่ชกผู้ร้ายพังได้ในหมัดเดียว ไซตามะเป็นฮีโร่ที่ดูหน้าตาธรรมดามาก มีชีวิตเหมือนคนปกติธรรมดา บ้าๆบอๆ และดูจะไม่อินังขังขอบกับความทุกข์ใดๆทั้งสิ้น
ในช่วงที่เขามีปัญหาหนักๆในเรื่องอยู่ตอนหนึ่ง เขาพูดประโยคหนึ่งไว้ที่ทำให้ผมต้องหยิบปากกามาจด ไซตามะรำพึงกับตัวเองในวันที่มีปัญหาที่แก้ไม่ตก ในฉากยามเย็นใกล้พลบค่ำ
ซึ่งเป็นประโยคที่ผมเอามาบอกกับลูกสาวคนเล็ก เมนิดูครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ และดูเหมือนว่าประโยคนั้นได้ผลเพราะดูจะคลายกังวลไปเยอะและกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม
ในการ์ตูนตอนนั้น ไซตามะรำพึงกับตัวเองว่า
ปัญหาของวันพรุ่งนี้ ก็ให้ตัวฉันในวันพรุ่งนี้จัดการละกัน
ไซตามะ
12
โฆษณา