จากความฝันฮาลันด์ : ทำไมชาวนอร์เวย์บางคนถึงมีความฝันสูงสุดคือ การเลี้ยงวัว | Main Stand
หากคุณเป็นนักฟุตบอลชื่อดังระดับโลกที่มีชื่อเสียงเงินทองมากมาย อะไรคือความฝันที่คุณอยากทำหลังแขวนสตั๊ด แน่นอนว่าคำตอบย่อมเป็นไปได้หลากหลาย ไมว่าจะเป็น การก้าวสู่เส้นทางโค้ช, นำเงินไปลงทุนกับธุรกิจใหญ่โต หรือจะเที่ยวรอบโลกให้สุดเหวี่ยงก็ทำได้
แต่สำหรับ เออร์ลิง ฮาลันด์ ยอดกองหน้าจอมถล่มประตูของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ความฝันของเขากลับเป็นอาชีพที่เรียบง่ายอย่าง "การทำฟาร์มเลี้ยงวัว" งานยอดฮิตของชาวนอร์เวย์อันเป็นความฝันที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นในหลายครอบครัว
Main Stand จะพาไปหาคำตอบกันว่า ทำไมชาวนอร์เวย์บางคนถึงมีความฝันสูงสุดคือการทำฟาร์มเลี้ยงวัว ทั้งที่นอร์เวย์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเจริญและมีเศรษฐกิจที่มั่นคง ?
อาชีพแต่โบราณของชาวนอร์เวย์
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า "Norwegian wood" ผ่านหูกันมาบ้างแล้ว ทั้งในฐานะบทเพลงอันไพเราะของวง The Beatles หรือนิยายชื่อดังจากปลายปากกาของ ฮารูกิ มูราคามิ
แต่สำหรับชาวนอร์เวย์ คำว่า Norwegian wood มีความหมายตรงตัวถึงป่าแห่งนอร์เวย์ เพราะภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยป่าของดินแดนแห่งนี้กลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้การทำฟาร์มกลายเป็นวัฒนธรรมหลักของชาวนอร์เวย์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
ในดินแดนที่มีเขตแดนยาวกว่า 2,500 กิโลเมตร นอร์เวย์กลายเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นเขตแดนแห่งขุนเขาลำเนาไพร และด้วยภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยพื้นป่าส่งผลให้ความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่ของนอร์เวย์มีจำนวนน้อย เพราะไม่เพียงแต่จะมีจำนวนประชากรเพียง 5 ล้านคนแล้ว พื้นที่ในนอร์เวย์ที่มีประชาชนอาศัยอยู่ยังมีเพียง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้พื้นที่เปล่าในนอร์เวย์จึงมีเหลือมากเพียงพอที่จะให้ประชาชนเข้าไปครอบครอง และถือเป็นโชคดีของชาวนอร์เวย์ที่แผ่นดินเปล่าเหล่านี้ไม่ใช่พื้นที่ไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด
เพราะพื้นที่ 30 เปอร์เซ็นต์ในนอร์เวย์เป็นพื้นที่ซึ่งสามารถทำงานเพาะปลูกหรืองานเกษตรกรรมได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ในช่วงหน้าร้อนสภาพภูมิอากาศของพวกเขายังเอื้อเฟื้อให้ชาวนอร์เวย์สามารถทำฟาร์มเลี้ยงแกะและเลี้ยงวัวได้อีกด้วย
ชาวนอร์เวย์จึงนิยมทำฟาร์มกันมาตั้งแต่ยุคสำริดหรือราว 3,000-2,500 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีหลักฐานยืนยันถึงความเก่าแก่ในวัฒนธรรมการทำฟาร์มของชาวนอร์เวย์เป็นภาษานอร์เวย์โบราณที่คำว่า Bø แปลความหมายตรงตัวว่า "ฟาร์ม" ซึ่งถือเป็นศัพท์คำแรก ๆ ที่ชาวนอร์เวย์บัญญัติขึ้นเพื่อใช้พูดคุยกันตั้งแต่ยุคหิน
การทำฟาร์มของชาวนอร์เวย์ยังสืบทอดกันแบบรุ่นสู่รุ่น สืบเนื่องจากที่นอร์เวย์มีพื้นที่สำหรับการทำเกษตรกรรมและปศุสัตว์เหลือเฟือสำหรับทุกครอบครัว ส่งผลให้การแก่งแย่งเพื่อชิงพื้นที่ของกันและกันมีน้อย และหากครอบครัวไหนจับจองพื้นที่ใดแล้วพื้นที่นั้นก็จะเป็นของครอบครัวดังกล่าวตลอดไป
ความจริงตรงนี้ส่งผลให้ไม่ว่าเวลาผ่านไปเท่าใด คนรุ่นหลังยังมีความต้องการที่จะทำฟาร์มอยู่ เนื่องจากมองอาชีพนี้เป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ของประเทศ และเป็นมรดกสืบทอดของครอบครัว
ชาวนอร์เวย์ในยุคปัจจุบันหลายครอบครัวจึงยังคงอาศัยและใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่นอกเมือง แม้หลายคนในครอบครัวจะไม่ได้ประกอบอาชีพเชิงปศุสัตว์แล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่ใครสักคนในครอบครัวของพวกเขายังคงครอบครองฟาร์มหรือเดินหน้าทำธุรกิจนี้ต่อไป ทั้งครอบครัวจะเต็มใจใช้ชีวิตอยู่ในฟาร์มอันถือเป็นทรัพย์สมบัติของครอบครัวตลอดมา
อาชีพที่ใกล้ชิดวัฒนธรรมและตอบแทนสังคม
ปัจจุบันการทำปศุสัตว์ยังเป็นอาชีพที่เป็นที่นิยมอย่างมากในนอร์เวย์ มีรายงานว่าขณะนี้มีวัวมากกว่าแปดแสนตัว, แกะมากกว่าหนึ่งล้านตัว, หมูเกือบสองล้านตัว, แม่ไก่มากกว่าสี่ล้านตัว และไก่มากกว่า 62 ล้านตัวที่ถูกเลี้ยงอยู่ในฟาร์มของประเทศนอร์เวย์
นี่จึงเป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่าอาชีพเชิงปศุสัตว์บนประเทศแห่งนี้ไม่ใช่อาชีพยากจน แต่เป็นอาชีพที่สามารถหาเลี้ยงครอบครัวและยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐตามระบบเศรษฐกิจของประเทศ
การทำฟาร์มของชาวนอร์เวย์ยังมีประโยชน์อย่างมากในแง่ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับชุมชนภายในประเทศ เนื่องจากนอร์เวย์มีระบบเศรษฐกิจในรูปแบบทุนนิยมนอร์ดิก หรือ นอร์ดิกโมเดล ที่สนับสนุนตลาดที่เน้นความร่วมมือมากกว่ากลไกตลาดเสรี
ส่งผลให้เนื้อสัตว์ที่ชาวนอร์เวย์บริโภคในปัจจุบันราว 80-90 เปอร์เซ็นต์เป็นผลิตภัณฑ์จากฟาร์มภายในประเทศ เช่นเดียวกับมันฝรั่งหรือข้าวที่มาจากฟาร์มในประเทศราว 60 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากรัฐบาลต้องการให้ประชาชนอุดหนุนธุรกิจภายในประเทศและนำมาสู่ระบบเศรษฐกิจที่แข็งแรงยั่งยืน โดยไม่ต้องไหลตามกระแสเสรีนิยมใหม่เหมือนภูมิภาคอื่น
ประเทศแห่งนี้จึงสนับสนุนให้ประชาชนทำธุรกิจที่สร้างผลิตภัณฑ์คุณภาพดีออกมาให้แก่ชาวนอร์เวย์ด้วยกันเอง โดยเน้นย้ำว่าผลิตภัณฑ์จากฟาร์มซึ่งส่วนใหญ่คือของที่ต้องบริโภคในชีวิตประจำวัน เช่น นม, ไข่, เนื้อสัตว์ และธัญพืช จะต้องตอบโจทย์ความต้องการของสังคมในภาพรวม ผลิตภัณท์จากฟาร์มของชาวนอร์เวย์จึงต้องเป็นอาหารที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ถูกหลักอนามัย และมีคุณภาพสูง
ฟาร์มบางแห่งในนอร์เวย์ยังถือเป็นธุรกิจสาธารณะหรือธุรกิจที่ไม่อนุญาตให้มีคู่แข่งทางการค้า เนื่องจากฟาร์มดังกล่าวจะรับผิดชอบในการผลิตและจัดหาของบริโภคให้กับพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง
โดยฟาร์มในลักษณะนี้นอกจากจะต้องคิดถึงผู้บริโภคเป็นหลักแล้วยังต้องคิดถึงการทำฟาร์มแบบยั่งยืน มีการดูแลสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ไม่ให้เกิดการเสื่อมโทรมเนื่องจากธุรกิจ และยังต้องส่งเสริมวัฒนธรรมในพื้นที่ แถมยังต้องคำนึงถึงการจัดหาอาหารให้กับประชาชนในระยะยาว
การทำฟาร์มในประเทศนอร์เวย์จึงไม่ใช่อาชีพสำหรับผู้มีรายได้ยากจน แต่เป็นอาชีพที่มีเกียรติและเป็นอาชีพที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของชาวนอร์เวย์อย่างแท้จริง โดยศิลปะวัฒธรรมหรือสื่อสมัยใหม่ทั้งหมดในนอร์เวย์ ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์, ดนตรี, วรรณกรรม, สถาปัตยกรรม หรือศิลปะ ต่างได้รับอิทธิพลมาจากชีวิตของคนทำฟาร์มทั้งสิ้น เพราะกระแสชาตินิยมแบบโรแมนติกที่เป็นรากฐานของผลงานทางวัฒนธรรมในนอร์เวย์เกิดเพราะแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมในฟาร์มของชาวนอร์เวย์
เรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมาจึงยืนยันให้เห็นอย่างชัดเจนถึงเหตุผลที่ เออร์ลิง ฮาลันด์ มีความฝันอยากจะเป็นเจ้าของฟาร์ม เพราะท้ายที่สุดแล้วถึงอาชีพนักฟุตบอลจะช่วยให้เขามีเงินและได้รับความนิยมจากแฟนบอลทั่วโลกอย่างไร อาชีพที่มีความสำคัญและใกล้ชิดกับวัฒนธรรมนอร์เวย์ยังคงเป็นการทำฟาร์มอยู่ดี
ลองจินตนาการถึงภาพของคนไทยเราที่ได้โบกมือลาจากเมืองกรุงเพื่อได้กลับไปปลูกข้าวที่ต่างจังหวัดอย่างมีความสุขและได้สร้างผลิตภัณฑ์เพื่อชุมชนโดยไม่หวังกำไรจนเกินไป ผู้อ่านคงสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความสุขอันเรียบง่ายแบบที่ฮาลันด์วาดไว้ในจินตนาการของเขา
น่าเสียดายที่เรื่องราวความฝันของฮาลันด์คงไม่มีวันเกิดขึ้นจริงในไทย เพราะตราบใดที่ชาวนายังคงไม่ได้รับการเหลียวแลและถูกทอดทิ้งให้ปลูกข้าวหาค่าปุ๋ยค่ายากำจัดแมลงต่อไป มันคงเป็นเรื่องยากที่คนไทยจะได้มีความฝันเรียบงายแบบฮาลันด์ และเข้าใจถึงชีวิตที่เงินและชื่อเสียงไม่ใช่ทุกสิ่งเสมอไป
แหล่งอ้างอิง
- 67
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
