8 ก.ย. 2022 เวลา 08:32 • ประวัติศาสตร์
Midas (ไมดาส) กษัตริย์ผู้ที่มีพระหัตถ์ทองคำ หยิบจับอะไรก็เป็นทอง
สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้ทางเพจผู้สังเกตการณ์ขออนุญาตพาเพื่อน ๆ นักอ่านไปท่องดินแดนแห่งเทพเจ้ากรีกกับเรื่องราวที่สุดแสนมหัศจรรย์ เสกได้สั่งได้
1
ในเรื่องเล่าตำนานเทพกรีก มีเรื่องหนึ่งที่ผู้คนในสมัยนี้นำมาใช้เป็นคำพูดเชิงให้กำลังใจ เป็นแรงบันดาลใจ หรือปลุกใจ ปลุกพลัง จะอะไรก็แล้วแต่ คือเรื่องของกษัตริย์ไมดาส ผู้ที่ยื่นมือไปจับอะไร สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นทองคำ
เรื่องราว หรือคำพูดนี้ ถ้าเราฟังมาแค่ตอนที่ท่านจะหยิบจับอะไรก็กลายเป็นทองคำ แค่นี้จะดีมากค่ะ แต่ว่าด้วยความสงสัยของผู้เขียน เมื่อเข้าไปหาข้อมูลในสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตามช่องยูทูบ ซึ่งแต่ละช่องก็จะให้รายละเอียดแตกต่างกันไปนิดหน่อย ข้อมูลตรงกันแต่ว่า ท่านจับอะไรก็เป็นทองคำ แต่เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น กับหลังจากนั้นไม่ค่อยมีคนพูดถึง
"เพราะสงสัย
จึงต้องค้นหาคำตอบ"
ผู้สังเกตการณ์
และ
ทุกคำถาม มีคำตอบ
ผู้สังเกตการณ์
เนื้อหาของตำนานเทพกรีกเรื่องนี้ อาจคลาดเคลื่อนจากในคลิป หรือจากแหล่งที่เพื่อน ๆ เคยได้ยินได้ฟังมา ไม่ต้องแปลกใจนะคะ ฟังเป็นนิทาน ไว้เล่าให้ลูกหลานฟังต่อไปก็ได้ค่ะ
เริ่มจาก กษัตริย์ไมดาสท่านเป็นโอรสของกษัตริย์กอร์เดียส ของอาณาจักรฟรีเจีย
พระองค์ทรงโปรดปรานการทำสวนกุหลาบ และชื่นชมในความงามของดอกกุหลาบเป็นอย่างมาก
เช้าวันหนึ่งเมื่อพระองค์ลงมาดูแลสวนกุหลาบ ก็เผลอไปเหยียบชายแก่พุงพลุ้ย หน้าตาน่าเกลียด ที่นอนขดตัวบนพื้นและกรนเสียงดังราวกับหมู
กษัตริย์ไมดาสเป็นผู้ไม่ถือพระองค์ และมีความอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ จึงได้เชิญให้ชายขี้เมาเข้าไปในวังเพื่อรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน โดยหารู้ไม่ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน
เมื่อเขาพักผ่อนนอนเล่นจนสบายใจอยู่ในวังของกษัตริย์ไมดาส เป็นเวลา 9 วัน 9 คืนแล้ว จึงขอให้กษัตริย์ไมดาสไปส่งเขากลับ ซึ่งท่านก็ใจดีพาเขาไปส่งถึงที่ จึงได้รู้ว่าชายขี้เมาที่มาแอบนอนในสวนกุหลาบผู้นี้คือ 'ซิเลนุส' พระสหายคู่ใจของเทพแห่งเหล้าองุ่น 'ดิโอนีซุส'
ที่หนีออกไปเที่ยวเล่นลำพังแล้วหลงทาง รวมทั้งเมามายไม่ได้สติ เมื่อได้กลิ่นหอมของดอกกุหลาบจึงเข้าไปแอบนอนในสวนดอกไม้
ซิเลนุสแนะนำกษัตริย์ไมดาสให้รู้จักกับเทพดิโอนีซุส แล้วเล่าเรื่องความเมตตาใจดีที่เขาได้รับจากไมดาสตลอดเวลา 9 วัน 9 คืนในพระราชวังให้องค์เทพฟัง
เมื่อเทพดิโอนีซุสได้ฟังก็ทรงพอพระทัย จึงให้พรแก่กษัตริย์ไมดาสเป็นการตอบแทนที่ช่วยดูแลพระสหายสนิทของพระองค์ว่า
"เจ้าอยากได้อะไร ขอมาได้เลย"
กษัตริย์ไมดาสจึงทูลขอว่า "ขอให้ทุกสิ่งที่ข้าสัมผัสกลายเป็นทองคำ"
เทพดีโอนีซุสทรงแย้มยิ้มที่แฝงความร้ายกาจ
"จริงรึ เจ้าต้องการเช่นนั้นนะ"
"ข้าต้องการเช่นนั้น"
"กลับไปบ้านของเจ้าได้ เมื่อไปถึง จงอาบน้ำด้วยเหล้าไวน์ แล้วเข้านอน ตอนเช้าเมื่อเจ้าตื่นมา พรที่เจ้าขอจะสำเร็จ"
ส่วนมากในนิทานจะจบลงแค่นี้ ทำให้ผู้คนชื่นชมในความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน
แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อพรขององค์เทพให้ผลตามที่ร้องขอ
กษัตริย์ไมดาสตื่นเช้ามาด้วยความคิดถึงสวนกุหลาบ พระองค์จึงเร่งรีบไปที่สวนเพื่อชื่นชมหมู่มวลดอกไม้งาม
และทันทีที่พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปแตะกลีบดอกกุหลาบ ในบัดดลก็กลายเป็นทองคำ ทองคำและทองคำ ดอกแล้วดอกเล่า
พระองค์ทรงตื่นเต้นที่เห็นดอกไม้เปลี่ยนเป็นทองคำ จึงกระโดดโลดเต้น สัมผัสทุกอย่างบริเวณนั้น และสิ่งต่าง ๆ ก็กลายเป็นทองคำไปหมด
พระราชินีของท่านจึงอุ้มพระธิดาออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
"ที่รัก ท่านตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจเรื่องอะไรรึ"
ด้วยความดีใจที่พระองค์สามารถเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นทองคำได้ และท่านก็ลืมองค์ วิ่งมาบอกพระนาง ทรงโอบกอดทั้งพระราชินีแะละพระธิดาองค์น้อย
"ที่รัก เจ้าต้องไม่เชื่อแน่เลย เจ้าดูสิ่งที่ข้าทำสิ ทุกอย่างที่ข้าสัมผัสกลายเป็นทองคำ เจ้าดูสิ โอ๊ะ ! "
ตอนนนี้ทั้งพระราชินี และพระธิดาแสนรักก็กลายเป็นรูปปั้นทองคำไปแล้ว
พระองค์ทรงตกพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้จะทำเช่นไร จึงวิ่งไปแตะทุกอย่าง ทั้งทหารยาม โต๊ะ ตู้ เตียง ถ้วย ชาม ช้อน อาหาร ทุกอย่างที่พระองค์สัมผัสกลายเป็นทองคำไปหมด
เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านก็มิอาจแม้จะเสวยสิ่งใด
ความปรีดาปราโมทย์ของกษัตริย์ midas เริ่มหมดไปเมื่อพระองค์ทรงตระหนักถึงผลทั้งหมดของพรนั้น
"ต้องมีวิธีแก้ไขสิ" พระองค์ครุ่นคิด
ความตื่นเต้นดีใจที่ได้ครอบครองทองคำมากมายกลับกลายเป็นความตกใจและเกรงกลัว
ทุกสิ่งที่กษัตริย์ midas สัมผัสกลายเป็นทองคำ แต่หัวใจของพระองค์กลายเป็นตะกั่ว ไม่มีคำพูด ไม่มีเสียงอุทธรณ์ตัดพ้อสวรรค์ ที่จะช่วยเปลี่ยนร่างแข็งทื่อของพระราชินีและพระธิดาให้กลับมาอบอุ่นและมีชีวิตชีวาได้ ภาพสวนดอกกุหลาบที่แสนรักของพระองค์ดอกที่หนักหักร่วงจากต้น
พระองค์ทรงก้มพระเศียรลงด้วยความโศกเศร้า ทุกสิ่งรอบตัวของพระองค์เป็นประกายระยิบระยับ เป็นเงางาม และทรงรัศมีสีทองอร่าม แต่พระทัยของพระองค์หม่นมัวราวกับหินแกรนิต
สามวันผ่านไป ที่พระองค์ไม่สามารถหยิบจับอะไรขึ้นมากินได้เลย
บนพระแท่นบรรทมทองคำ ผ้าปูที่แข็งกระด้างไม่ได้ให้ความอบอุ่นสบายแม้แต่น้อย
ท่านทรงหลับไปด้วยความเหนื่อยหน่าย กระสับกระส่าย และทรงฝันถึงสวนกุหลาบหมู่มวลดอกไม้กลับมานุ่มนวล บอบบางมีชีวิตชีวา ดอกกุหลาบของพระองค์ ใช่แล้ว ! และสิ่งสำคัญกว่าบรรดาดอกไม้ตอนนี้คือพระมเหสีและพระธิดาของพระองค์
ในความฝันที่หลอกหลอนนั้นพระองค์เห็นสีจาง ๆ กลับมาปรากฏบนใบหน้าของทั้งสองและดวงตาก็มีประกายขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่ภาพมายานั้นเลือนรางอยู่ในภวังค์
พลันเสียงของเทพดีโอนีซูสก็ดังขึ้นในร่างของพระองค์
"เจ้าโง่ ! เจ้าโชคดีที่ซิเลนุสโปรดปรานเจ้ามาก เพราะเห็นแก่เขา ข้าจึงเมตตาเจ้า พรุ่งนี้จงไปที่แม่น้ำแพกโทลัส จุ่มมือของเจ้าลงในแม่น้ำ แล้วพรที่เจ้าได้รับก็จะหายไป
อะไรก็ตามที่เจ้าล้างในน้ำของแม่น้ำนั้น สิ่งนั้นจะกลับเป็นดังเดิม"
เช้าวันรุ่งขึ้นกษัตริย์ไมดาสก็รีบไปจุ่มมือในแม่น้ำ คำสาปพระหัตถ์ทองคำก็ถูกล้าง พระองค์ยินดีเป็นที่สุด
และนำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นทองคำไปจุ่มในแม่น้ำนั้น เพื่อให้คืนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
หลังจากนั้นน้ำในแม่น้ำ แพกโทลัส ซึ่งไหลคดเคี้ยวไปตามเชิงเขาทีโมลัสก็กลายเป็นแหล่งใหญ่เพียงแห่งเดียวในแถบทะเลอีเจียนที่มี 'อิเล็กทรัม' ซึ่งเป็นโลหะผสมตามธรรมชาติของทองคำและเงิน
1
พระองค์ได้รับบทเรียนสำคัญในชีวิต ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่สนใจในทรัพย์สิน ความร่ำรวยอีกเลย
ท่านกลายเป็นสาวกใกล้ชิดของเทพแพน เทพครึ่งแพะ ผู้พิทักษ์ธรรมชาติ เหล่าฟอน ทุ่งหญ้าและธรรมชาติทั้งหลายในโลกนี้
2
ท่านมีเพียงมงกุฎดอกไม้บนเศียร สวมรองเท้าแตะ และใส่เสื้อผ้าธรรมดา
กษัตริย์ไมดาส ทรงทิ้งฟรีเจียให้พระมเหสีและพระธิดาปกครอง แล้วอุทิศตนให้แก่ชีวิตเรียบง่ายและผาสุขแบบชาวชนบท
หากเป็นนิทานเรื่องราวควรจะจบแค่ตรงนี้ก็น่าจะพอ
ถือว่าดีแล้ว
ในตำนานเทพกรีกยังมีกล่าวต่อไปอีกว่า
ชีวิตของท่านนั้นช่างอาภัพนัก อุตส่าห์เร่ร่อนเป็นคนจร อาศัยอยู่ตามป่าเขาแล้ว ก็ยังไม่พ้นต้องไปเกี่ยวข้องกับคำสาปของเทพเจ้าอีก
และครั้งนี้เทพแพน ผู้ชื่นชอบการเป่าขลุ่ย ได้ท้าทายกับเทพอพอลโลผู้ชอบดีดพิณ ว่าใครเล่นได้ไพเราะกว่ากัน
เมื่อการแสดงจบลง ทีโมลัสเทพแห่งภูเขานั้นก็เอ่ยออกมาว่า "พิณของจอมเทพอพอลโลชนะ ทุกคนเห็นพ้องกันไหม"
ทุกคนที่ฟังอยู่ต่างส่งเสียงออกมาว่า เห็นด้วย
มีเพียงเสียงเดียวที่ตอบว่า ไม่ !!!
"ไม่รึ" เทพอพอลโล ถามขึ้น
"เจ้าพูดอีกทีสิ"
ด้วยความที่เคารพรักต่อเทพแพน ทำให้ไมดาสเข้าข้างเทพที่ตนรัก ซึ่งแม้แต่แพนเองก็ยังประหลาดใจ ในความกล้าหาญ เลื่อมใสต่อศรัทธาแห่งตนของไมดาส
2
แต่เทพอพอลโลไม่เห็นด้วย
"ขะ ข้า เชื่อเช่นนั้น" เมื่อไมดาสยืนยันคำตอบเดิม
"เอาละ ถ้าเช่นนั้น" เทพอพอลโลทรงตรัส
"เจ้าคงต้องมีหูแบบลาแน่" เมื่อสิ้นเสียง บนหัวของไมดาสก็มีบางอย่างสาก ๆ โผล่ออกมา นั่นคือหูของลา
"ดูเหมือนข้าจะพูดถูก เจ้ามีหูแบบลาจริงด้วย" เทพอพอลโลตรัส และนั้นทำให้ผู้คน เหล่าเทพ นางไม้ และทุกคนต่างส่งเสียงหัวเราะเยาะไมดาสด้วยความชอบใจ
สร้างความอับอายแก่เขายิ่งนัก
และการติดตามเทพแพนของไมดาสก็สิ้นสุดลง
พระองค์หาผ้ามาโพกเศียรไว้เพื่อปกปิดหูลา แล้วกลับไปหาพระมเหสี และพระธิดา ใช้ชีวิตในบทบาทของการเป็นกษัตริย์อีกครั้ง
ซึ่งแม้แต่พระมเหสี พระธิดาก็ไม่มีใครรู้ว่า ทำไมท่านต้องโพกเศียรตลอดเวลา
มีเพียงช่างตัดพระเกศา ผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ความลับนี้
"เงื่อนไขเป็นอย่างนี้ ข้าจะให้เงินเดือนเจ้ามากขึ้นแต่เจ้าต้องปิดปากเงียบ เรื่องที่เจ้าได้เห็น หากเจ้าเเพร่งพรายแม้แต่คำเดียวต่อใครก็ตาม ข้าจะประหารครอบครัวของเจ้าต่อหน้าเจ้า แล้วตัดลิ้นของเจ้าออกและเนรเทศเจ้าให้เร่ร่อนไปในโลกอย่างแร้นแค้นเข้าใจหรือไม่"
ตั้งแต่นั้นมาฐานะความเป็นอยู่ของช่างตัดผมก็ดีขึ้นผิดหูผิดตา
 
การโพกเศียรในแบบของกษัตริย์ไมดาสเป็นที่นิยมไปทั่วฟรีเจีย ลิเดีย เทรซ และไกลออกไป ผู้คนต่างชื่นชอบและหาผ้ามาโพกบนศรีษะกันย่างสวยงาม
ผ่านไปสามปีที่ช่างตัดผม ต้องทนเก็บความลับนี้ไว้กับตนเพียงผู้เดียว สำหรับเขาแล้วนี่คือภาระอันหนักอึ้งที่เขาต้องการปลดปล่อย และเขาต้องการระบายความคับข้องใจนี้ออกไปโดยไม่ทำใครให้เดือดร้อน
สุดท้ายแล้วเขาคิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้ และเขามั่นใจว่าแผนนี้ปลอดภัย
เช้าวันหนึ่งเขาจึงรีบเร่งออกเดินทางไปยังชนบท ที่ห่างไกลจากผู้คน
ณ ที่เปลี่ยวริมแม่น้ำ เขาเริ่มลงมือขุดดินให้เป็นหลุมลึก เมื่อมองสังเกตโดยรอบตัว และมั่นใจว่าจะไม่มีใครได้ยินสิ่งที่เขาพูด เขาจึงคุกเข่าลง เอามือป้องปากตะโกนถ้อยคำเหล่านี้ลงไปในหลุม "กษัตริย์ไมดาสมีหูอย่างลา" แล้วรีบโกยดินกลบลงไปในหลุมนั้น โดยไม่ทันสังเกตว่าเมล็ดพืชเล็ก ๆ เมล็ดหนึ่งปลิวตกลงไปที่ก้นหลุม !!!
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนว่า ได้ยกท้องฟ้าออกไปจากบ่าแล้ว
จึงวิ่งกลับไปยังเมืองกอร์เดียมมุ่งหน้าตรงไปยังร้านเหล้าและสั่งเหล้าองุ่นที่ดีที่สุดของร้านมานั่งดื่มฉลอง
หลายสัปดาห์ต่อมา เมล็ดพืชนั้นได้รับความอบอุ่นจากลมหายใจอันละมุนของเทพีไกอาที่อยู่เบื้องล่างก็เริ่มงอกออกมา ไม่ช้าต้นอ้อเล็ก ๆ ที่อ่อนช้อยก็โผล่พ้นพื้นดิน ชูยอดอยู่กลางอากาศ
เมื่อสายลมอ่อนพัดมาโดนต้นอ้อ มันก็กระซิบเสียงแผ่วเบาว่า "กษัตริย์ไมดาสมีหูอย่างลา"
ถ้อยคำแผ่วเบานั้นปลิวไปกระทบต้นหญ้า ต้นกกที่งอกอยู่ชายฝั่งแม่น้ำต่างก็กระซิบต่อกันไป เสียงกระซิบของต้นหญ้าต่าง ๆ กระซิบต่อเนื่องกันไป รวดเร็ว ไปยังต้นไซเปรส และต้นซัลโลว์ก็ฝากเสียงนั้นไปกับสายลมอ่อน ๆ
กิ่งไม้ระบายถ้อยคำเหล่านั้นออกมา และท้ายที่สุดข่าวนั้นก็ไปถึงในเมือง
เสียงหัวเราะและตะโกนบอกต่อกันดังเข้ามาถึงในวัง
กษัตริย์ไมดาสทรงอับอายเกินจะรับไหว ท่านจึงปรุงยาพิษขึ้นมาดื่ม
โดยไม่ได้ลงโทษใครแต่อย่างใด
ชีวิตของท่านช่างน่าสงสารยิ่งนัก
ใคร ๆ ต่างก็ปรารถนาที่จะมีหัตถ์ทองคำเช่นท่าน
พระนามของพระองค์ให้โชคลาภแก่ใครบางคนเสมอ
🙏ข้อคิดที่ได้จากการอ่านตำนานเทพกรีก 🙏
🔥อย่าทำให้เหล่าเทพเจ้าระคายเคือง
🔥อย่าเชื่อใจเหล่าเทพเจ้า
🔥อย่าโกรธแค้นเหล่าเทพเจ้า
🔥อย่าต่อรองกับเหล่าเทพเจ้า
🔥อย่าแข่งดีกับเหล่าเทพเจ้า
🔥อย่าไปยุ่งกับเหล่าเทพเจ้าเด็ดขาด
🔥ให้ถือว่าพรเป็นเสมือนคำสาป และสัญญาเป็นกับดัก
🔥เหนือสิ่งอื่นใด จงอย่าดูหมิ่นเทพเจ้าองค์ใดอย่างเด็ดขาด
1
ในบทความอื่น ๆ หรือในคลิปจากทางช่องยูทูป ส่วนมากจะบอกไว้ว่า กษัตริย์ไมดาสท่านมีความละโมบโลภมาก แต่ในหนังสือเล่มนี้ ที่เขียนโดย Stephen Fry บอกไว้ว่า เมืองของท่านนั้นไม่ร่ำรวย ที่ท่านขอพรให้มีหัตถ์ทองคำนั้นก็เพื่อนำเงินมาบำรุงรักษาบ้านเมือง เพื่อประชาชน และพรนั้นก็เป็นดั่งคำสาป ท่านก็ได้ล้างพร ล้างคำสาปไปแล้ว
เครดิตแหล่งที่มาข้อมูล :
เล่าขานตำนานเทพกรีก โดย Stephen Fry
ลิงก์หนังสือ👇
ในปัจจุบันผู้คนให้นิยาม นามของพระองค์ ใช้ไปในทางความเชื่อที่ว่า สัมผัสของไมดาส หมายถึง การทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดผลกำไรงอกงามขึ้นมา
ปล. ชื่อบุคคล และสถานที่อาจสะกดแตกต่างจากแหล่งที่มาอื่น บทความนี้อิงจากผลงานเขียนของ
Stephen Fry
แปลโดย อรศิริ พลเดช, พรวิภา วัฒรัชนากุล
ข้อมูลเพิ่มเติม
เพิ่มเติมช่องยูทูบ
โฆษณา