19 ก.ย. 2022 เวลา 15:41 • หนังสือ
ในโลกการเงินการลงทุน คุณเสพข่าวแบบไหนมากกว่ากัน ข่าวร้ายหรือข่าวดี?
แล้วข่าวแบบไหนที่เป็นประโยชน์ต่อเรามากกว่ากัน?
สรุปหนังสือ The Psychology of Money ตอนที่ 18
ในสัปดาห์ที่แล้ว แอดก็ได้เล่าถึงบทที่ 16 ของจิตวิทยาว่าด้วยเงินไปแล้ว นั่นคือเรื่องของ “คุณและผม” ค่ะ
ในสัปดาห์นี้ แอดก็จะมาเล่าต่อในบทที่ 17 ว่าด้วยเรื่องของ “ความเย้ายวนของการมองโลกในแง่ร้าย” เนื้อหามีดังนี้
Topic:
1) การมองโลกในแง่ดี คืออะไร?
2) การมองโลกในแง่ร้าย ในโลกการเงินและการลงทุน
3) 3 สิ่งที่ทำให้การมองโลกในแง่ร้ายด้านการเงินนั้นเป็นเรื่องง่าย ธรรมดา และดึงดูดใจมากกว่าการมองโลกในแง่ดี
สรุปเราควรเสพข่าวร้ายหรือข่าวดีนะ ใครอยากรู้แล้วก็มาหาคำตอบกันได้เลยค่ะ
เฮาเซิลบอกว่า...
ผู้ที่มองโลกในแง่ดีอย่างแท้จริงนั้นไม่เชื่อว่าทุกๆ อย่างจะดำเนินไปได้ด้วยดี แบบนั้นคือชะล่าใจ
การมองโลกในแง่ดี คือ ความเชื่อว่าโอกาสในการเกิดผลลัพธ์ที่ดีนั้นจะเข้าข้างคุณเมื่อเวลาผ่านไป แม้ว่าจะล้มลุกคลุกคลานมาตลอดเส้นทางก็ตาม
ความคิดที่เป็นพื้นฐานของการมองโลกในแง่ดีก็คือ การที่ผู้คนส่วนใหญ่ตื่นขึ้นมาในทุกๆ เช้า และพยายามที่จะทำให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้น และมีประสิทธิผลมากขึ้น
วงการหนังสือพิมพ์ด้านการลงทุนรู้เรื่องนี้มาเป็นเวลาหลายปี และปัจจุบันก็เต็มไปด้วยนักพยากรณ์วันสิ้นโลก แม้ว่าจะกำลังดำเนินงานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น 17,000 เท่าในศตวรรษที่ผ่านมา (รวมเงินปันผล)
หากคุณบอกกับใครบางคนว่าทุกอย่างจะยอดเยี่ยม พวกเขาคงมีแนวโน้มที่จะยักไหล่ใส่คุณหรือมองกลับมาด้วยสายตาที่เคลือบแคลง แต่ถ้าคุณบอกกับใครบางคนว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตราย คุณจะได้รับความสนใจจากพวกเขาไปเต็มๆ
ถ้าหากมีคนฉลาดคนหนึ่งบอกกับคุณว่า เขามีหุ้นเด็ดที่กำลังจะโตขึ้น 10 เท่าในปีหน้า คุณจะไม่สนใจเขาทันที โทษฐานที่พูดเรื่องไร้สาระ
ถ้าหากมีคนที่แสนจะไร้สาระบางคนบอกกับคุณว่า หุ้นที่คุณถืออยู่นั้นกำลังจะพังทลายลงมาเนื่องจากมีการทุจริตเรื่องการทำบัญชี คุณจะเคลียร์ตารางนัดของตัวเองและรับฟังทุกคำที่เขาพูด
หากคุณพูดว่าเราจะได้เจอกับการหดตัวครั้งใหญ่ หนังสือพิมพ์หลายฉบับจะโทรหาคุณ แต่หากคุณพูดว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปสู่การเติบโตในระดับปกติ จะไม่มีใครเลยที่สนใจคุณมากเป็นพิเศษ
หากคุณพูดว่าเรากำลังเข้าใกล้การหดตัวใหญ่ครั้งใหม่ คุณจะได้ออกทีวี แต่ถ้าหากคุณพูดว่าช่วงเวลาดีๆ นั้นรอเราอยู่ข้างหน้าหรือตลาดยังมีช่องว่างให้เราหนีอยู่ หรือบริษัทแห่งหนึ่งมีศักยภาพมหาศาล
คุณก็จะได้เจอกับปฏิกิริยาของนักวิเคราะห์และผู้ชมที่เหมือนกัน นั่นก็คือ เขาจะมองคุณเป็นพนักงานขายหรือไม่ก็คนที่เมินความเสี่ยงอย่างน่าขัน
2 เรื่องที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณไม่ว่าคุณจะสนใจพวกมันหรือไม่ก็ตามก็คือเรื่องของเงินและสุขภาพ
ในขณะที่ปัญหาสุขภาพนั้นมีแนวโน้มจะเป็นเรื่องส่วนบุคคล ทว่าปัญหาเรื่องเงินนั้นเป็นปัญหาเชิงระบบมากกว่า ภายในระบบที่เชื่อมต่อกันซึ่งการตัดสินใจของคนหนึ่งคนสามารถส่งผลกระทบกับคนอื่นๆ
มันจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าเหตุใดความเสี่ยงทางด้านการเงินจึงได้รับความสนใจและดึงดูดความสนใจในแบบที่มีแค่ไม่กี่เรื่องที่สามารถทำเช่นนี้ได้
สิ่งนี้ใช้ได้กับอะไรบางอย่างที่เฉพาะเจาะจงอย่างเช่นตลาดหุ้น ครัวเรือนชาวอเมริกันมากกว่าครึ่งของทั้งหมดนั้นถือหุ้นโดยตรง และถึงแม้ว่าจะมีคนบางส่วนในจำนวนนั้นไม่ได้ถือหุ้น
แต่กระแสของตลาดหุ้นนั้นได้รับการโฆษณาอย่างหนักในหน้าสื่อ จนค่าเฉลี่ยดัชนีอุตสาหกรรมดาวน์โจนส์อาจถือได้ว่าเป็นบารอมิเตอร์ทางเศรษฐกิจที่ครัวเรือนผู้ไม่ได้ถือหุ้นจับตามองมากที่สุด
การที่หุ้นขึ้น 1% นั้นอาจถูกพูดถึงอย่างผ่านๆ ในข่าวรอบบ่าย แต่การร่วงลง 1% นั้นจะถูกรายงานด้วยตัวอักษรเน้น หนา สีเลือดแดงฉาน ความไม่สมดุลนั้นยากที่จะหลีกเลี่ยง
และในขณะที่มีเพียงไม่กี่คนตั้งคำถามหรือพยายามอธิบายว่าทำไมตลาดหุ้นถึงขึ้น มันควรจะขึ้นอย่างนั้นหรือ? มันก็มักจะมีคนที่พยายามอธิบายว่าทำไมหุ้นถึงลงอยู่เสมอ
- นักลงทุนกังวลเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจหรือเปล่า?
- FED ทำสิ่งต่างๆ พังอีกแล้วใช่ไหม?
- นักการเมืองกำลังทำการตัดสินใจที่แย่หรือเปล่า?
- จะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นอีกครั้งหรือเปล่า?
เรื่องเล่าเกี่ยวกับสาเหตุของการถดถอยนั้นง่ายต่อการถูกพูดถึง ขับคิดวิตกกังวล หรือมักจะต่อยอดไปยังสิ่งที่คุณคิดว่าจะเกิดขึ้นตามมา และทุกคนก็มักจะพูดถึงมันในแบบเดียวกัน
ในทางเศรษฐกิจนั้นมีกฎเหล็กอยู่ว่า...
สถานการณ์ที่ดีและสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างสุดขั้วนั้นจะอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากอุปสงค์และอุปทานจะปรับตัวของมันเองด้วยวิธีที่คาดเดาได้ยาก
การสมมติว่าอะไรบางอย่างที่น่าเกลียดจะยังคงน่าเกลียดต่อไปนั้นเป็นการคาดการณ์ที่ง่ายต่อการทำ และมันก็เป็นเรื่องที่ดึงดูดในเพราะมันไม่จำเป็นต้องจินตนาการว่าโลกกำลังเปลี่ยนไป
แต่ปัญหานั้นได้รับการแก้ไขและคนก็ต้องปรับตัว ภัยคุกคามนั้นสามารถที่จะสร้างจูงใจในการแก้ไขปัญหาได้ในระดับที่เท่าเทียม
นั่นเป็นพล็อตเรื่องธรรมดาทั่วไปของประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ซึ่งคนที่มองโลกในแง่ร้ายผู้พยากรณ์แบบทื่อๆ จะสามารถหลงลืมมันไปได้อย่างง่ายดาย
การเติบโตนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งการทบต้น ซึ่งมักจะใช้เวลายาวนานเสมอ ส่วนการล้างผลาญนั้นถูกขับเคลื่อนโดยความล้มเหลวแค่เพียงจุดเดียว ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในชั่วพริบตา และยังมีการสูญเสียความมั่นใจที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างฉับพลัน
การสร้างเรื่องราวต่อยอดการมองโลกในแง่ร้ายนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า เพราะชิ้นส่วนของเรื่องราวนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นเรื่องที่สดใหม่และเป็นปัจจุบันมากกว่า
เรื่องเล่าของการมองโลกในแง่ดีนั้นต้องอาศัยการมองไปที่ประวัติศาสตร์และการพัฒนาที่ยาวนาน ซึ่งผู้คนมีแนวโน้มที่จะหลงลืมและต้องใช้ความพยายามที่มากกว่าในการพยายามที่มากกว่าในการพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน
การมองโลกในแง่ร้ายในระยะสั้นนั้นมีชัยเหนือกว่า ในขณะที่การมองโลกในแง่ดีอันทรงพลังนั้นแทบจะไม่มีใครสังเกตเห็น
- มอร์แกน เฮาเซิล
วิกฤตเศรษฐกิจที่เคยเกิดขึ้นในแต่ละครั้ง แน่นอนว่ามันทำให้เราจำได้แม่น เพราะบางครั้งเราก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน มันจึงทำให้เรากังวลกับอนาคตข้างหน้าว่ามันเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกหรือไม่?
แต่สิ่งที่ต้องคอยเตือนตัวเองเช่นกันก็คือ
โลกเราก็มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นมากมายเช่นกัน เพียงแต่สังเกตเห็นได้ยากกว่า ดังนั้น เวลาที่เราลงทุนระยะยาว แม้ว่าเราจะเผชิญกับช่วงเศรษฐกิจที่อาจไม่ดี ช่วงหุ้นขาลงที่ทำให้รู้สึกแย่ๆ
แต่อย่างน้อยให้เรามีความหวังว่าในอนาคตข้างหน้า มันก็น่าจะมีช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ช่วงเวลาดีๆ รออยู่เหมือนกัน
โฆษณา