16 ก.ย. 2022 เวลา 14:30 • ปรัชญา
เรื่องราวของสุขภาพจิตเ เรื่องของอารมณ์ที่เราใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน คนสมัยก่อน เค้าอยู่กัน มการช่วยเกื้อกูลกันมาตลอด เริ่มตั้นแต่เกิดจน ตาย ก็มีหมอมีคนที่ภูมิปัญญา แบบชาวบ้านช่วยเหลือกัย การลงลงแขกเกี่ยวข้าว ทั้งเด็กผู้ใหญ่ แม้ควายที่เลี้ยงก็เอามาช่วย มีงานบวชงานแต่ง ก็จัดกันเอง ช่วยกันทำกับข้าวกับปลา ดูแลกันเอง ..วัดวา..ก็เป็นวัด ..ไม่มีเรื่องราวของศักดิ์สิทธิ์ คาถาของขลัง ตะกรุดผ้ายันต์ อะไร มีแต่พระพุทธรูป โบสถ์ ศาลาทำบุญ วัดไหนเจ้าอาวาส มรณะภาพ ชาวบ้านก็รวมตัวกันไปอาราธนา
พระที่ท่านปฏิบัติดีมาเป็นเจ้าอาวาส แล้วชาวบ้านที่อยู่กัน ในหมู่บ้านก็รู้จักกันหมด เรื่องลูกหลานใคร เค้าก็รักใคร่สามัคคีกลมเกลียวกัน แล้วกระทรวงศึกษา..ก็ไปขอที่วัดมาทำเป็นโรงเรียน เด็กๆก็เลยต้องหยุดวันพระวันโกนกัน สมัยเด็กประถม ห้องเรียนมีนักเรียนเกือบสามสิบคน เค้าหยุดกันหมด ทั้งห้องก่อนเข้าพรรษา มีเราไปเรียนคนเดียว
เรื่องการเลี้ยงดู พ่อแม่สมัยก่อน ก็สอนให้ทำ ให่้กวาดบ้านถูบ้าน ตักน้ำจากบ่อ รดน้ำต้นไม้ ต้องช่วยปลูกผัก เด็กๆก็แบ่งๆหน้าที่กันรับผิดชอบ พ่อแม่มีลูกหลายคน ได้เงาะมากี่โล ก็จัดแบ่งให้คนละสองลูก สมัยนั้นไม่ได้มีร้านขนมอะไรมากมาย อยากกินอะไรหวานไม่มีกิน ก็ไปหยิบน้ำตาลโตนดกิน แล้วก็ไปวิ่งเล่น
เด็กๆสมัยก่อนก็มีแต่เรื่องซุกซน ปีนป่ายต้นไม้ ได้ออกกำลัง เรื่องที่มานั่งอยู่เฉย..เอาตามองแต่กล่องสี่เหลี่ยมใบเล็ก ๆ จดจ้องอยู่แค่นั้น ไม่มีปฏิสัมพันธ์ ในการใช้วิญญาณทั้งหก ไม่มีทักษะ ..มาแต่เด็ก พอกระทบสิ่งที่ไม่ถูกใจไม่ชอบใจ มันก็หงุดหงิดง่าย
เด็กๆจะออกไปไหนนอกบ้าน ..พ่อแม่ก็หวาดระแวง กลัวอันตราย เด็กก็เลยเหมือนถูกกักอยู่แค่ในบ้าน ไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก ตามวัยของเค้า จะไปเจอเพื่อนก็ที่โรงเรียน ยิ่งปู่ย่าตายาย เลี้ยงหลาน นั้นยิ่งหวงแหน รักมากยิ่งกว่าลูกเสียอีก เพราะตอนเลี้ยงลูกไม่มีเวลา พอเกษียณมา มีเวลามีหลานก็ดูแลเสียเต็มที่ ท้ำอะไรให้หมด จนเด็กๆทำไม่เป็น แล้วก็ลืมคิดไปถึง ที่ตัวทำสิ่งนั้นสิ่งเป็น เพราะพ่อแม่สอนให้ทำ
แต่พอมาเป็นปู่ย่าตายาย กับทำตัวเป็นคนรับใช้เด็กรับใช้หลานเสียเอง คือ ไม่ยอมสอนให้ทำ กลัวจะเลอะเทอะ ..ก็เด็กมันเพิ่งหัดทำ มันก็ต้องเลอะเทอะเป็นธรรมดา นั่นก็คือเวลาเด็กเค้าอยากจะทำอะไร เราก็ห้ามไปเสียหมด บางครั้งไอ้ตัวขยันตัวดีๆ กำลัวออกมา เช่นเด็กอยากถูบ้าน ก็ห้าม ..ทั้งที่จริงควรช่วย แล้วนั่งดูเค้าทำ คอยบอกเค้าว่าต้องทำอย่างไร เค้าจะได้ทำเป็น
แล้วถ้าเรามาศึกษาเรื่องกรรม เรื่องราวของคำว่า อารมณ์นั้นเป็นกรรม การที่คนสมัยก่อน มีวัดวามากมาย มีประเพณีเข้าวัดทำบุญ ตักบาตร เค้าทำกันมาตลอด ทำบุญใส่บาตร สวดมนต์ไหว้พระ ก็เป็นคนมีบุญ กายมีบุญเกิดขึ้น จิตอยู่ในเรือนกายที่เป็นบุญ หน้าตาก็เบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส ยิ่งไม่มีอารมณ์ร้ายๆ โกรธโมโหติเตียนคนนั้นคนนี้ ไม่ได้ใช้อารมณ์ ..พวกนั้น หน้าตาก็สว่างสดใสเอง เพราะไม่ใช้อารมณ์ จิตใจก็เป็นปกติสบายดี
เรื่องที่จิตใจไม่ปกติ ไม่สบาย ชาวบ้านก็มีวิธีการของเค้า เช่น เรียกขวัญ ทำบุญใส่บาตร นี่ก็ช่วยให้จิตใจฟื้นคืนเป็นปกติ เรื่องหมอดู เรื่องอะไรต่างๆ เรื่องพลังเร้นลับ ร่างทรงต่างๆ ก็ไม่ได้มีมากมายเหมือนในสมัยนี้
แต่ผู้คนสมัยนั้นก็ไม่เคยได้ยินคำว่าโรคซึมเศร้าเลย ไม่มีให้เห็นเลย มาได้ยินเรื่องโรคซึมเศร้า มากๆก็ตอนยุคที่มีอินเตอร์เน็ตนี่แหละ เพราะวิถีชีวิต และการใช้วิญญาณตาหูมันเปลียนแปลงไปมาก คนสมัยก่อน ทำงานอยู่กับไร่ท้องนา คนสมัยนี้ ใช้ตาดูอะไร ใช้หูฟังอะไร จิตมันก็เลยไม่เคยหยุดพัก เหมือนอารมณ์นั้นกมุนปั่นจิตตลอดเวลา มันก็ต้องมึนเมากับอารมของตัวเองเป็นธรรมดา นั่นแหละ เค้าถึงบอกว่า ให้มาอยู่เฉยๆ ให้วิญญาณทั้งหกอยู่เฉยๆ เสียบ้าง เพื่อให้จิตได้พัก จิตจะได้มีกำลัง
โฆษณา