24 ก.ย. 2022 เวลา 04:08 • ความคิดเห็น
เจี่ยะป้าบ่อสื่อ
ช่วงนี้เป็นพฤติกรรมของทนายบางคนที่ทำเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องให้วุ่นวายตามหน้าข่าว เลยนึกถึงประโยคนี้ขึ้นมาเลยครับ…
ภาษาจีนแต้จิ๋วประโยคนี้ผมได้ยินตั้งแต่เด็กๆ อาม่าผมพูดเชิงบ่นให้ฟังอยู่บ่อยๆถึงคนโน้นคนนี้หรือตัวผมเองบ้างเวลาไปหาเหาใส่หัวสร้างเรื่องอะไรวุ่นวายโดยที่ไม่จำเป็น ประโยคนี้แปลตรงตัวว่ากินอิ่มแล้วว่าง ซึ่งความหมายกลายๆที่ผมเข้าใจก็คือ พออิ่มๆว่างๆ ไม่มีอะไรแทนที่จะพอใจก็มักจะไปหาเรื่องหาราวอยู่ไม่สุข ก็จะเข้าใจแบบนี้มาโดยตลอด
เมื่อวานผมรื้อตู้หนังสือ ไปเจอชุดหนังสือที่เคยขายดีมากๆในอดีต ผมจำได้ว่าหนังสือที่ชื่อ “โคตรโกง” ที่แปลจากไต้หวันโดยใบไผ่เขียวในช่วงนั้นขายดีระดับพิมพ์หลายสิบครั้ง และมีซีรีส์ต่อเนื่องมาหลายเล่ม รวมๆเป็นเรื่องของเล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจ ลูกเล่นต่างๆที่อ่านสนุกและได้แง่คิด ยิ่งมาอ่านใหม่ยิ่งอิน บทหนึ่งในหนังสือของซีรีส์นี้ในหนังสือชื่อคนไม่ใช่คนเล่าถึงคำนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
1
ผู้เขียนเล่าถึงประสบการณ์การซื้อบ้านที่สหรัฐแล้วขอให้ทนายช่วยดูสัญญาซื้อขาย แล้วประทับใจกับการเจรจาตัดโน่นตัดนี่สู้กับทนายฝรั่งได้อย่างถึงลูกถึงคน จนพอสนิทกับทนายแล้ว เขาเลยเฉลยให้ฟังว่า
2
“..คุณน่าจะรู้ว่าทนายอเมริกันจงใจร่างสัญญาที่มีข้อบกพร่องหยุมๆหยิมๆเอาไว้ทุกคนรู้แน่แก่ใจดีว่าตรงไหน ควรตัดทิ้ง ตรงไหนควรแก้ไข ..ที่ต้องทำเพราะว่าจำเป็น ไม่อย่างนั้นคุณคงนึกในใจว่าทำไมต้องจ้างทนายด้วย ตัวเองมาเซ็นสัญญาก็ได้ เมื่อมีขบวนท่าแบบนี้ เวลาแสดงออกค่อยพิสูจน์ว่าทนายมีประโยชน์ คุณจ่ายเงินอย่างคุ้มค่าสมราคา “
1
การจงใจหาเรื่องหาราวในลักษณะนี้ก็เพื่อสร้างมูลค่าให้ตัวเอง ถ้าเห็นว่าทนายง่ายหรือว่างเกินไปก็จะทำให้เขาดูไม่มีประโยชน์ หลายครั้งก็อาจจะไม่ได้ดีต่อองค์กรอยู่เหมือนกัน
2
ผมเองเคยรู้จักฝรั่งคนหนึ่งที่ที่ทำงานเก่า ก่อนเขามาบริษัทงานด้านนี้ก็ดูสงบเรียบร้อยไม่ค่อยเคยมีเรื่องกับทางการหรือผู้กำกับดูแลของภาครัฐเท่าไหร่ แต่พอคนนี้ถูกส่งมาไม่นาน โดยมาดูแลด้านความสัมพันธ์ภาครัฐซึ่งเดิมก็เป็นงานง่ายๆสบายๆ คอยดูแลความสัมพันธ์ต่างๆให้เรียบร้อย แต่พอเขามา คดีความ ข้อพิพาทของบริษัทก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆและยืดเยื้อมาก แล้วเขาเองก็ดูเป็นคนที่กล้าเผชิญหน้า เป็นขาลุยมีอะไรก็อาสาไปคุยไปขึ้นโรงขึ้นศาลเองตลอดไม่ยอมให้ใครช่วย ดูเผินๆก็เหมือนจะดี
3
แต่ก็มีเพื่อนฝรั่งด้วยกันมาแอบเม้าให้ฟังว่าที่เขาเอะอะอะไรก็ฟ้องก็พิพาท ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นไปตามข้อเท็จจริงและเหตุผล แต่อีกส่วนก็คือเขาเพิ่งแต่งงานกับภรรยาคนไทยและรักเมืองไทยมาก กลัวว่าจะถูกย้ายไปประเทศอื่นตามนโยบายบริษัทแม่ ก็เลยหาเรื่องอยู่เมืองไทยนานๆด้วยการสร้าง “ความสำคัญ”ของตัวเองขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองไม่ได้อยู่ว่างหรือบ่อสื่อซึ่งเป็นความเสี่ยงจะถูกเปลี่ยนประเทศ เพื่อที่จะได้อยู่ยาวๆ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าคดีพิพาทเยอะๆนั้นจะดีต่อบริษัทจริงๆหรือเปล่าด้วยซ้ำ
1
หนังสือเล่มที่ผมอ่านเลยเตือนถึงความอันตรายของคนที่ไม่ค่อยมีงานทำ เพราะนอกจากจะมีเวลาหาเรื่องแล้วก็ยังมองหาการสร้างความสำคัญให้ตัวเองเพื่อป้องกันตัวหรือทำให้งานต่างๆล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นก็ได้ หนังสือเขียนไว้มีความตอนหนึ่งว่า
1
“ ใช่แล้ว คนไม่มีงานทำจะก่อเหตุเภทภัยได้ “
มีสุภาษิตบทหนึ่งว่า “ไม่กลัวขุนนางใหญ่ กลัวแต่ชั้นผู้น้อย”
1
ชนผู้น้อยที่ว่ามักเป็นคนที่ไม่มีงานทำ ตำแหน่งของเขาไม่สูงนัก ซุ่มเสียงอาจไม่ดัง เวลาเดินอาจสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่ตอนประทับตราเสียงจะดังเป็นพิเศษ
ปะเหมาะเคราะห์ร้าย คุณมีเอกสารฉบับหนึ่งต้องรับจัดการให้เรียบร้อย พอส่งถึงโต๊ะของเขา ปัญหาก็เกิดขึ้น
พี่ท่านดองเรื่องเอาไว้ เดี๋ยวลุกไปห้องน้ำ เดี๋ยวหยิบกระดาษเช็ดหน้าสั่งน้ำมูก ค่อยบรรจงหยิบเอกสารขึ้นมาดูแล้วดูเล่า ผ่านไปครึ่งค่อนวันจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ กระซิบบอกว่า น้องเอ๋ย พี่คงประทับตราให้ไม่ได้
3
จนใจที่เขาสามารถหยิบกฎระเบียบหยุมหยิมมาสกัดกั้นคุณ พออ้างระเบียบออกมา แม้แต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็ยังไม่กล้าพูดมาก คุณจะทำอย่างไรดี
1
เจอคนไม่มีงานทำแบบนี้ คุณกล้าที่จะดูถูกเขา กล้าที่ไม่ยำเกรงเขาสักสามส่วนดอกหรือ?”
1
ในที่ทำงานของเรา ปกติก็จะมองเห็นแต่คนที่ยุ่งวุ่นวาย มีงานเต็มมือ แต่ถ้าสังเกตดีๆโดยเฉพาะบริษัทใหญ่คนเยอะ คนที่ว่างงานไม่ว่าจะตำแหน่งใหญ่หรือเล็กแค่ไหนนั้นน่าจะมีความอันตรายต่อการปล่อยให้ว่างไว้เฉยๆ วิธีที่ดีที่สุดก็คงเหมือนตามที่ผู้เขียนหนังสือแนะนำ ถ้ายังไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ก็ควรให้เขียนบทให้เขาเล่นโดยอย่าไปสนใจผลลัพธ์ แต่อย่าปล่อยให้คนไม่มีงานทำอยู่ว่างคิดมากจนก่อเรื่องก่อราว สร้างความเสียหายให้บริษัทได้
8
แล้วจะเหมือนอาม่าผมที่ชอบบ่นว่า เจี่ยะป้าบ่อสื่อ นั่นเลยครับ
โฆษณา