24 ก.ย. 2022 เวลา 11:11 • ท่องเที่ยว
สก๊อตแลนด์ วันที่ 2 (ตอนที่ 2) ไปหอศิลป์แห่งสก๊อตแลนด์ (National Gallery of Scotland)
เดินจากที่พักไม่นานก็มาถึงหอศิลป์แห่งสก๊อตแลนด์ แม้ว่าที่นี่จะไม่ใหญ่โตเท่ากับหอศิลป์แห่งชาติที่ลอนดอนแต่ก็น่าสนใจเพราะมีงานของศิลปินชื่อดังของยุโรปอยู่หลายคน อีกทั้งมีงานศิลปินสก๊อตแลนด์คนดังอยู่หลายชิ้นด้วย และสิ่งที่ผมชอบอีกอย่างหนึ่งคืออาคารของหอศิลป์สไตล์นีโอคลาสิกมีหน้าจั่วและเสาไอโอนิคสวยงาม กลมกลืนไปกับบริเวณโดยรอบและส่วนอื่นๆของเมือง
การนำเสนอของหอศิลป์แห่งนี้คือการแบ่งห้องแต่ละห้องตามยุคสมัยของศิลปะ ดังนั้นหากใครอยากจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ศิลปะยุโรปก็สามารถชมงานสวยๆประกอบกับการอ่านป้ายในแต่ละห้อง ก็จะได้ความรู้เบื้องต้นที่ดี แต่อันที่จริงน้อยคนจะมีเวลาไปอ่านไปดูได้ขนาดนี้ ดังนั้นฟังผมเล่าให้ฟังแล้วค่อยไปดูของจริงอีกทีน่าจะดีกว่านะครับ
ก่อนอื่นขอบอกว่าชิ้นงานที่สะสมอยู่นั้นส่วนใหญ่เป็นศิลปินยุโรปประเทศต่างๆที่มีชื่อเสียง ส่วนศิลปินสก๊อตแลนด์นั้นจะมีจัดแสดงในส่วนเฉพาะ ซึ่งก็น่าสนใจไม่แพ้กัน การดำเนินเรื่องราวจากห้องแรกคือศิลปะยุคโกธิค มีภาพเขียนบนแผ่นไม้ที่ใช้สำหรับบูชาฉาบเคลือบสีทองสวยงาม เป็นเรื่องราวของพระเยซูและนักบุญต่างๆในสไตล์เดียวกับที่เราได้เห็นในลอนดอนมาแล้ว
ส่วนยุคสมัยเรเนซองส์ท่านจะได้พบกับภาพเขียนของอัครมหาศิลปินของโลกหลายท่าน ตัวอย่างเช่น ภาพของราฟาเอล เป็นรูปพระแม่มาเรียกับกุมารพระเยซูและนักบุญจอห์น และอีกภาพเป็นครอบครัวพระเยซู พระแม่มาเรีย โยเซฟ และกุมารน้อยเยซูอยู่กันครบเซ็ต
ชิ้นงานของลีโอนาร์โด ดาวินชี มีภาพพระแม่มารีกับกุมารเยซูนั่งบนก้อนหิน ในรูปนี้มีสัญลักษณ์แฝงอยู่ ซึ่งก็คือ เครื่องม้วนด้ายที่เป็นรูปไม้กางเขนซึ่งกุมารเยซูกำลัวถือเล่นอยู่ แสดงถึงลางร้ายที่พระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ส่วนพระแม่มาเรียมีสีหน้าที่ดูกังวลและไม่พอใจกับความสนใจของพระเยซูน้อยเนื่องจากการตระหนักถือโชคชะตาซึ่งถูกลิขิตไว้แล้วในอนาคต
และที่แน่นอนก็คือใบหน้าของพระแม่แลดูเหมือนใบหน้าของโมนาลิซ่า ซึ่งเป็นใบหน้ามาตรฐานของผู้หญิงต่างๆในงานของดาวินชีเสมอมา อีกทั้งฉากหลังก็ยังเป็นทิวทัศน์ธรรมชาติเช่นเดียวกับโมนาลิซ่าด้วย อย่างไรก็ตามมีการสันนิษฐานว่าจริงๆแล้วภาพนี้ยังวาดไม่เสร็จ แต่มีศิลปินผู้อื่นมาช่วยเติมเต็มให้สมบูรณ์ขึ้น
ภาพวาดสมัยเรเนซองส์ที่ผมชอบอีกภาพหนึ่ง เป็นของศิลปินเยอรมันชื่อลูคัส ครานาช (Lucas Cranach) เป็นภาพเปลือยผู้หญิงหุ่นสะโอดสะองจูงมือเด็กน้อยมีปีกถือคันศรคนหนึ่ง ใครบางคนอาจทายถูกว่าเด็กน้อยนั้นคือกามเทพ (Cupid) ส่วนผู้หญิงนั้นคือวีนัส เทพีแห่งความงามซึ่งเป็นมารดาของกามเทพนั่นเอง จุดเด่นที่ผมชื่นชอบก็คือเป็นงานที่ดูสมัยใหม่เกินยุคด้วยนางแบบที่มีความงามแบบผิดปกติ รูปร่างผอมแบน หน้าอกเล็ก ผิดความนิยมในยุคนั้น
นางวีนัสผมยาวแผ่ออกเป็นแท่งปลายแหลมบนฉากหลังสีพื้นดำ สวมใส่แค่สร้อยคอใหญ่เท่าโซ่ ดูแล้วเหมือนภาพสมัยใหม่ไปเลย ภาพนู้ดของลูคัสนี้มีหลายภาพมากแพร่กระจายอยู่ในหลายประเทศ และมีศิลปินสมัยใหม่นำไปเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพผู้หญิงต่อไปอีกด้วย
งานอีกชิ้น (จริงๆสองชิ้น) ที่โดดเด่นก็คือประติมากรรมนักบวช 2 คนที่ดูน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นนักบวช เป็นร่างที่ห่มคลุมด้วยชุดผ้าคลุมหนาหนักไปทั้งตัวแต่ไร้ใบหน้า ไม่แปลกที่เป็นเช่นนั้นเพราะสองรูปนี้เคยถูกประดับอยู่ในสุสานมาก่อน แถมในสถานที่ดังเดิมยังมีรูปแบบนี้อีกหลายชิ้นด้วย
จุดเด่นของห้องนี้อีกอย่างหนึ่ง คือหีบใบใหญ่ฉาบทองมีภาพวาดสวยงามประดับอยู่ และ ประติมากรรมบรอนซ์รูปแม่ชีนอนทุรนทุรายในเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ ซึ่งมีผู้รู้บางท่านให้ความเห็นว่าใบหน้าที่ดูเจ็บปวดนั้นแท้จริงคือใบหน้าที่แสดงความเปี่ยมสุขซาบซึ้งในรสพระธรรม ในขณะที่ผู้รู้อีกบางคนบอกว่านี่คืออาการของคนกำลังจะตายมากกว่า เราฟังแล้วลองแล้วคิดไปว่าจะรวมเอาอารมณ์ทั้งสองอย่างเข้าไว้ในรูปเดียวกันได้ไหม คงต้องจุดธูปถามศิลปินละมั้ง
ประติมากรรมนี้ชวนให้คิดถึงภาพแม่ชีเทเรซ่าของเบอร์นีนี่ ศิลปินยุคบาโรกในโบสถ์ที่กรุงโรมซึ่งแสดงอาการคล้ายๆกันและอาจเป็นต้นแบบของงานนี้ก็เป็นได้
นอกจากนี้ยังมีศิลปินดังอื่นๆ เช่น เรมบรานท์ เป็นภาพวาดพอร์ตเทรตใบหน้าตนเอง ซึ่งจะเห็นเกลื่อนตามแกลรี่ต่างๆทั่วโลกซึ่งต่างก็เป็นของแท้ทั้งสิ้น เพราะแกวาดไว้เยอะมากในช่วงวัยต่างๆตั้งแต่หนุ่มไปจนแก่
งานของปีเตอร์ พอล รูเบน ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องภาพวาดเทพเจ้ากรีกและโรมัน โดยเฉพาะภาพเรื่องราวตอนที่พระพุธ (Mercury) อุ้มนางไซคีมายังสวรรค์ ซึ่งเป็นตอนจบหลังจากที่นางไซคีคู่รักของกามเทพถูกวีนัสซึ่งเป็นแม่ผัวใจร้าย (เพราะอิจฉาในความงามของนางไซคี) กลั่นแกล้งให้ไปผจญภัยแทบตาย ก่อนที่จะได้พบกับกามเทพอีกครั้ง หลังจากนั้นเทพซีอุสก็บัญชาให้พระพุธพานางเหาะลงมายังสวรรค์เพื่อครองรักกับคิวปิดต่อไป
อันที่จริงเรื่องนี้มีความยืดยาวมากกว่านี้มาก แต่ตอนนี้ขอเชิญชวนให้ดูภาพงามกันก่อน หญิงชายเปลือยตรงกลางภาพคือพระพุธหรือเทพเมอร์คิวรี ใส่หมวดมีปีกและคฑารูปนกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว กำลังอุ้มนางไซคีแสนสวย รอบข้างนั้นมีตัวละครหลายตน อย่างเช่นกามเทพ และแม่ผัววีนัสซึ่งกำลังประทับบนรถทรง (แต่ทำไมดูเหมือนสเกตบอร์ดมากกว่า) และเทพเจ้าอื่นๆอีกสารพัด เป็นตอนจบที่มีความสุขก่อนจะตามมาด้วยการฉลองงานแต่งงานต่อไป
ต่อไปขอเชิญชมอีกห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงนี้งานศิลปะยุโรปเข้าสู่ยุคนีโอคลาสสิก นำเอารูปแบบกรีกโรมันมาใช้อีกเพื่อแสดงความเป็นวีรบุรุษของเหตุการณ์ต่างๆ เราจึงได้เห็นภาพวีรกรรมในสงครามหลายภาพ และหลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคโรแมนติก ซึ่งไม่ได้หมายถึงความรักอย่างเดียวนะ แต่เป็นศิลปะจินตนิยมที่มุ่งเน้นการแสดงอารมณ์ต่างๆ รวมทั้งจินตนาการถึงดินแดนในฝัน ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้เป็นอารมณ์แบบโลกสวยเสมอไป อย่างเช่นภาพคนกำลังโศกเศร้า ความพินาศ โศกนาฏกรรม ธรรมชาติที่มีพลังเหนือมนุษย์ ก็อาจพบในสไตล์นี้ได้ด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นก็เข้าสู่งานสมัยใหม่ โดยเฉพาะยุคของอิมเพรสชันนิสม์ อย่างเช่น ภาพของโกแกง รูปการต่อสู้ระหว่างยาโคปหรือจาคอบ (Jacob) กับทูตสวรรค์ ซึ่งแสดงการเป็นตัวแทนของฝ่ายมนุษย์กับฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ส่วนที่โดดเด่นเห็นชัดกลับเป็นฝูงแม่ชีที่กำลังเฝ้าดูการต่อสู้นี้อยู่
รูปนี้มีความสำคัญคือมันบ่งชี้ถึงการหลุดออกจากกรอบของศิลปะยุโรปแบบเดิมไปแล้วเพราะภาพไม่ได้มีความสมจริงอีกต่อไป พื้นหลังสีแดงก็ไม่เหมือนจริง และไม่ได้ใช้ทัศนวิสัย (perspective) แสดงมิติของภาพตามที่สายตามนุษย์เห็นจริงอีกต่อไป แต่สามารถแสดงความตื้นลึกได้จากระนาบของรูปต่างๆ โดยผู้วาดได้แรงบันดาลใจมากจากภาพพิมพ์ญี่ปุ่น
งานของศิลปินอิมเพรสชันนิสม์อีกชิ้นคือรูปกองฟางของโมเนต์ ซึ่งมีหลายรูปและแสดงสีสันบรรยากาศที่แตกต่างกันในแต่ละเวลาและฤดูกาล ตัวอย่างเช่นในฤดูหนาวภาพจะดูเป็นสีฟ้าซีด แต่ฤดูอื่นอาจมีสีสด อีกทั้งยังแปรเปลี่ยนไปตามเวลาในแต่ละวันได้อีก นอกจากนี้ยังมีภาพต้นมะกอกของแวนโก๊ะอีกด้วย ดูแล้วประทับใจกับผีแปรงที่วาดฉวัดเฉวียนปัดป้ายและม้วนไปมาแบบฉับพลันตามสไตล์ของศิลปินพลังไฟคนนี้
นอกจากนี้มีก็งานของเดส์การตส์ (René Deสก๊อตแลนด์artes) รูปนักบัลเลต์ที่เขาชอบวาดอยู่บ่อยๆ ภาพทิวทัศน์สวนครัวในชนบทของปิซาร์โร (Camille Pissarro) ส่วนภาพหนึ่งที่มีความสะดุดตามากคือคลื่นยักษ์ของกูร์แบ (Gustave Courbet) ที่นำเอาคลื่นสึนามิจากภาพพิมพ์ญี่ปุ่นมาใช้ต่อ ดูแล้วแลเห็นพลังคลุ้มคลั่งของน้ำทะเลที่กำลังเดือดดาลได้ชัดเจน
ส่วนต่อไปจะเป็นงานของศิลปินสก๊อตแลนด์ต่างๆ โดยคนแรกที่จะขอแนะนำคือศิลปินที่ทำงานจิตรกรรมและภาพพิมพ์สุดเจ๋งชื่อว่าเซอร์ ดสวิด ยังก์ คาเมรอน (Sir David Young Cameron) งานจิตรกรรมของเขาเป็นภาพหยาบ ๆที่เน้นแสงเงาในช่วงเวลาต่างๆ บางภาพก็เป็นช่วงแดดแรงซึ่งมีเงามืดตัดแสงสว่างฉุบฉับ บางภาพเป็นสถาปัตยกรรมที่ทาบทับเป็นระนาบของผนังและเงา ทำให้ดูคล้ายภาพสไตล์คิวบิซึม
และที่มีชื่อเสียงคือภาพทิวทัศน์ซึ่งก็เน้นแสงเงาเช่นเคย บางภาพวาดตอนแดดกำลังส่องสว่าง บางภาพดูเป็นช่วงตะวันขึ้นหรือตกซึ่งท้องฟ้าเริ่มขุ่นมัวมีเงื้อมเงา บางภาพก็มีสีซีดจางพร่าเลือนแลดูโรแมนติก ส่วนที่สร้างความประทับใจกับผมมากคืองานภาพพิมพ์โลหะเป็นลายเส้นต่างๆ รูปสิ่งของและงานทางสถาปัตยกรรม อย่างเช่นประติมากรรมกากอยบนหลังคา ภาพสถาปัตยกรรมในที่ต่างๆ รูปทรงงาม แสงเงาสวย ลายเส้นเลิศ ชมได้ไม่มีเบื่อ
คนต่อมาคือ Phoebe Anna Traquair (บางคนก็เรียกเธอว่าฟีบี้) งานของฟีบี้เป็นศิลปะที่มีลักษณะสวยงาม โดยจิตรกรรมหลายชิ้นเป็นภาพปักเส้นไหมบนผ้าลินิน บางชิ้นก็เป็นงานศิลปะตกแต่ง รูปแบบสไตล์ของเธอเป็นแบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) ซึ่งเป็นสไตล์ที่มีความอ่อนหวานเน้นสวยงามเป็นหลัก
ภาพที่นำมาแสดงเป็นชุดภาพบุคคลสามภาพที่มีลักษณะแบบเทพนิยายซึ่งเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณมนุษย์สามประการ มีชื่อว่า The Progress of a Soul แสดงอารมณ์สามประการ คือความสิ้นหวัง (Despair) ความกังวล (Stress) และชัยชนะ (Victory) โดยชิ้นหลังที่ชื่อชัยชนะเป็นภาพโรแมนติกที่สุด คือรูปพระเอกจูบกับนางเอกคล้ายกับการชุบชีวิตเจ้าหญิงนิทรา
ความน่าประทับใจของงานทั้งคือความงามจาก สี รูปทรง ลักษณะการวางท่าและเส้นสายของตัวละครในภาพ ตกแต่งด้วยรายละเอียดประดับประดาของพรรณพฤกษาตามสไตล์ของอาร์ตนูโว ซึ่งดูแล้วขนลุกเลยเพราะแต่ละภาพเธอไม่ได้ใช้แปรงวาดแต่ใช้วิธีการปักไหมเส้นเล็กๆไปบนผ้า นับว่ามีพยายามอย่างสูงมาก
ภาพเขียนสุดพิศวงอีกภาพคือ ทิวทัศน์จากภูเขาภายใต้หมอกและแสงตะวันยามเย็น ที่ดูเรืองรองราวกับสวรรค์ มีเมฆแผ่มาปกคลุมบนยอดและธารน้ำไหล ดูแล้วมีความสุขสบายใจ และทึ่งในความอัศจรรย์ของธรรมชาติ
งานนี้วาดโดยศิลปิน สก๊อตแลนด์ ชื่อว่า Peter Graham ซึ่งวาดภาพทิวทัศน์ไว้หลายรูปแบบ แต่มักจะเป็นทะเล ภูเขา ชนบท เป็นส่วนใหญ่ ทั้งภาพและแสงสีมีพลังธรรมชาติตามสไตล์โรแมนติก
ภาพจาก : https://www.nationalgalleries.org/art-and-artists/4982
ศิลปินชาวสก๊อตแลนด์อีกคนคือ Arthur Melville วาดภาพสีน้ำได้สวยม๊ากมาก โดยเฉพาะภาพชีวิตในดินแดนต่างๆ ซึ่งหลายภาพเกิดจากการได้ไปเห็นโลกจากการเดินทางไปในหลายส่วนของโลก โดยเฉพาะแถบตะวันออกกลาง
ภาพสะดุดตาอีกภาพ วาดโดย Gavin Hamilton มาจากเทพปกรณัมกรีก คือมหากาพย์อีเลียด (Eliot) ของกวีโฮเมอร์ เป็นรูปเปโตรคัส (Patroclus) พระเอกนักรบที่สิ้นใจตายจากสงคราม โดยมีเพื่อนรักของเขาคือ Achilles ได้เข้ากอดศพด้วยอาการโศกเศร้าอย่างสุดสลด ซึ่งภาพนี้ก็สามารถแสดงความเศร้าได้อย่างสะเทือนใจ
นอกจากนั้นมีเกร็ดเล่ากันว่า ความรักของชายทั้งสองในมหากาพย์นั้นแนบแน่นเกินไปกว่าเพื่อนรักธรรมดาจนบางคนแปลความว่า ทั้งสองเป็นคู่รักเกย์กันก็มี ใครอยากรู้ลองนั่งไทม์แมชีนไปถามโฮเมอร์ก็แล้วกัน แต่ถ้าสนใจเรื่องราวและรูปของชายหนุ่มทั้งสองมากเป็นพิเศษสามารถหางานศิลปะภาพสองคนนี้ได้มากมายทั้งจิตรกรรมและประติมากรรม ซึ่งมีชิ้นงาม ๆอีกหลายชิ้น แสดงความรักความเศร้าได้ชวนชมไม่แพ้ภาพที่เห็น
ภาพสุดท้ายที่จะขอแนะนำซึ่งเป็นภาพเขียนสุดยอดของพิพิธภัณฑ์นี้คือ Skating on Duddingston Loch เป็นรูปของ Reverend Robert Walker ซึ่งเป็นรัฐมนตรีในชุดสีดำใส่หมวกแลดูเป็นทางการ แต่กำลังทำในสิ่งที่ดูตรงกันข้ามซึ่งไม่น่าจะไปด้วยกันได้ คือการเล่นสเก็ตโดยกอดอกและยืนด้วยขาข้างเดียวและขาอีกข้างยกขึ้นสูง แล่นไหลลื่นไปในทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็ง
ภาพนี้เป็นงานของศิลปินสก๊อตแลนด์คือ Sir Henry Raeburn ที่โด่งดังที่สุด และมีบางคนบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของศิลปะสก๊อตแลนด์ด้วยซ้ำ เนื่องจากความสะดุดตากับความประหลาดและขัดแย้งของมันที่คนดูรู้สึกได้ (364) ท่าทางการเล่นสเก็ตโดยกอดอกแล้วโลดแล่นไปราวกับเป็นโลกมหัศจรรย์ที่ไม่มีทางทำได้จริงในขณะที่นายโรเบิร์ตนั้นเฉยเมย ท่าทางแบบชีลด์ ชีลด์ ราวกับเดินลอยตัวอยู่ตามธรรมชาติทั้งที่มันผิดธรรมชาติซะอย่างนั้น
นี่ทำให้โลกจดจำและโด่งดังจนทำให้ผู้ที่นึกถึงจิตรกรรมสก๊อตแลนด์จะต้องคิดถึงภาพนี้อยู่เป็นลำดับต้น
ภาพจาก wikipedia
แน่นอนที่ภาพเป็นความหวังอันสูงสุดของผม มาคราวนี้หมายมั่นว่าจะต้องได้เห็นภาพดังกระฉ่อนโลกให้สะตาสะใจแต่แล้วจนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ ก็เลยไปถามเจ้าหน้าที่ซึ่งได้คำตอบว่าเสียใจด้วย มันไม่อยู่ที่นี่แล้วจ้าแต่กำลังถูกยืมไปแสดงที่ใดที่หนึ่งที่จำไม่ได้แล้ว
อ้าว....มาผิดเวลาแล้วเรา แต่ก็ไม่เสียใจอะไรเพราะยังมีอีกตั้งหลายภาพ ที่ให้ดูจนเต็มอิ่มไปแล้ว
โฆษณา