24 ก.ย. 2022 เวลา 14:12 • กีฬา
เต็มเม็ดเต็มหน่วย : การทำพนันฟุตบอลให้ถูกกฎหมาย ควรส่งเสริมให้ถูกทางกับฟุตบอลไทยหรือไม่? | Main Stand
อรรถรสอย่างหนึ่งในการเชียร์และรับชมฟุตบอลในโลกตะวันตกที่เห็นกันจนชินตา นั่นคือ “การพนันฟุตบอล” โดยเฉพาะประเทศอังกฤษที่มีบริษัทรับพนันถูกกฎหมายกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยรับพนันตั้งแต่ตำแหน่งแชมป์, ทีมตกชั้น, ดาวซัลโว ไปจนถึงรับพนันว่าใครจะยิงประตูคนแรก, ใครจะทุ่มบอลก่อน, ใครได้ใบเหลือง-แดงมากที่สุด หรือใครจะเป็นคนเขี่ยลูกเริ่มเล่นในแต่ละเกม
ในโลกปัจจุบันที่มีช่องทางให้พนันมากขึ้น อาทิ แบบออนไลน์ แบบใช้ VPN เพื่อหนีไปพนันที่เซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ แม้กระทั่งแบบพนันด้วยคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) หรือเอ็นเอฟที (NFTs) ทำให้ผู้คนเข้าถึงการพนันได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การพนันฟุตบอลจึงมีเม็ดเงินที่ไหลสะพัด และส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อหันกลับมามองประเทศไทย ที่การพนันฟุตบอลนั้นเป็นเรื่อง “ผิดกฎหมาย” แต่ก็รู้ทั้งรู้ว่ามีการแอบพนันกันใต้ดินอย่างดาษดื่น และการที่เม็ดเงินไปหมุนอยู่นอกระบบ ได้ส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล
1
แทนที่เม็ดเงินตรงนี้จะนำมาใช้ในระบบให้เกิดประโยชน์ โดยเฉพาะ การพัฒนาฟุตบอลไทย ที่กำลังเติบโต
Main Stand จึงชวนประเมินว่า การพนันฟุตบอลแบบถูกกฎหมาย ควรส่งเสริมให้ถูกทางสำหรับฟุตบอลไทยหรือไม่?
สังคมไทยกับการพนัน
การทำให้การพนันถูกกฎหมาย (Legalization) ในประเทศไทยนั้น เป็นสิ่งที่ถกเถียงกันมานาน แต่ส่วนมากจะได้รับการมองผ่านกรอบทางศีลธรรม จนทำให้ภาพของการพนันกลายเป็นปีศาจร้ายทำลายสังคม เพราะในสายตาของผู้บริหารประเทศสายอนุรักษ์นิยม ที่มองว่าเม็ดเงินจากการพนันฟุตบอลนั้นเป็น “เงินบาป” ไม่ควรยุ่งเกี่ยว หรือบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่รุ่นเก่าๆ ที่มองว่าเป็น “สิ่งมอมเมาประชาชน” ลูกเด็กเล็กแดงที่ได้พนันครั้งนึงแล้ว อาจติดงอมแงมจนเสียผู้เสียคนได้
อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนประวัติศาสตร์ประเทศไทย มีหลายครั้งที่เกิดความพยายามในการทำให้การพนันเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย เริ่มตั้งแต่การเสนอการเก็บภาษี “พะนันและกาสิโน” โดย ปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาลพระยาพหลฯ ปี 2482
ไปจนถึงการที่รัฐบาลพยายามจัดตั้งคาสิโนและเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ สมัยทักษิณ ชินวัตร ปี 2548 เพื่อดึงเม็ดเงินอันมหาศาลกลับเข้าสู่ระบบ ถึงอย่างนั้น ประเด็นดังกล่าวมักลงเอยด้วยการถูกพับเก็บเข้ากรุไป ไม่มีการอภิปรายเพิ่มเติม หรือแม้กระทั่งเป็นชนวนให้เกิดการประท้วงขึ้น เพื่อถกเถียงผลได้ผลเสียของธุรกิจการพนันอย่างถูกต้อง
ถึงการพนันจะเป็นสิ่งผิดกฎหมายในไทย แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ การพนันฟุตบอลในประเทศไทยได้รับความนิยมสูงลิ่ว จากเดิมที่นักพนันมักเล่นพนันแต่ฟุตบอลต่างประเทศ แต่พอกระแสไทยลีกได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก็ยิ่งทำให้บรรดานักพนันหันมาสนใจเล่นพนันฟุตบอลในประเทศมากขึ้น
เห็นได้จากงานศึกษา พนันบอลกับไทยลีก ของ ดร.วสันต์ ปัญญาแก้ว อาจารย์จากภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าในไทยมีอัตราการเล่นกว่าร้อยละ 60 ซึ่งเป็นจำนวนเกินกว่าครึ่งของแฟนบอลไทย และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเงินเดือนต่ำกว่า 10,000 - 20,000 บาท แม้จะเป็นกลุ่มรายได้น้อย แต่ก็เป็นกลุ่มประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ นั่นหมายความว่าการพนันเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฟุตบอลในประเทศไทยอยู่อย่างลับ ๆ และมีเงินจำนวนมหาศาลไหลสะพัดอยู่ในธุรกิจนี้
หากเราใช้แว่นตาของศีลธรรมแบ่งขาวแบ่งดำมาตัดสินการพนัน ก็ย่อมต้องมองเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม แต่ถ้ามองถึงความเป็นจริงทั้งความนิยมของคนไทยที่มีต่อการพนัน ผนวกกับเม็ดเงินที่หมุนเวียนอยู่ภายในธุรกิจรูปแบบนี้ การพิจารณาให้การพนันฟุตบอลเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะหากทำให้การพนันกีฬาเป็นสิ่งผิดกฎหมายต่อไป รัฐและประชาชนชาวไทยไปจนถึงวงการกีฬาจะไม่ได้ผลประโยชน์ที่ชัดเจนจากธุรกิจสีเทาเหล่านี้
ผลประโยชน์ที่น่าลอง
เมื่อวัดจากผลประโยชน์ล้วนๆ ของการทำให้พนันถูกกฎหมาย โดยเฉพาะพนันฟุตบอล ก็นับว่ามีไม่น้อย ที่เห็นได้ชัดที่สุด คือประเทศอังกฤษ ที่อนุญาตให้ลีกอาชีพของอังกฤษ หรือ อีเอฟแอล (EFL) สามารถให้บริษัทพนันเข้ามาสนับสนุนได้ ตั้งแต่ปี 2016
อีเอฟแอลดึงเม็ดเงินจาก สกายเบ็ต (Sky Bet) บริษัทพนันชื่อดังของอังกฤษ ได้มากถึง 40 ล้านปอนด์ต่อปี หรือประมาณ 1,755 ล้านบาทต่อปี มากที่สุดที่อีเอฟแอลตั้งแต่มีสปอนเซอร์มา
หรือพรีเมียร์ลีก ก็ได้มีการเปิดให้บริษัทพนันเข้าเป็นผู้สนับสนุนแก่สโมสรฟุตบอล ทั้งการเป็นพาร์ทเนอร์สโมสร โฆษนาบนป้าย LED ข้างสนาม หรือการเป็นสปอนเซอร์คาดแขนหรือคาดอกได้
ซึ่งตรงนี้เป็นการเปิดโอกาสให้บรรดาสโมสรเล็กๆ พอจะลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้อีกทางหนึ่ง เพราะบรรดาบริษัทพนันนั้นส่วนมากมักจะ “จ่ายหนัก” กว่าธุรกิจรูปแบบอื่นๆ ให้กับสโมสรที่ไม่ใช่ระดับแถวหน้าของลีก
อย่างเช่น เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก เบ็ตเวย์ (Betway) บริษัทพนันออนไลน์ข้ามชาติ มากถึง 10 ล้านปอนด์ต่อฤดูกาล หรือประมาณ 439 ล้านบาทต่อปี ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าสปอนเซอร์เดิมอย่าง อัลพารี บริษัทเทรดดิ้งชั้นนำของอังกฤษซึ่งแต่เดิมจ่ายแค่ 3 ล้านปอนด์ต่อปี หรือประมาณ 132 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น
ซึ่งสัญญาที่เวสต์แฮมได้รับตรงนี้ถือว่า มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 7 เป็นรองแค่ทีมบิ๊ก 6 เท่านั้น และในฤดูกาล 2022-23 นี้ ได้มีทีมเล็กในพรีเมียร์ลีกถึง 9 ทีมด้วยกันที่มีผู้สนับสนุนเป็นบริษัทพนัน ซึ่งถือเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งลีกเลยทีเดียว
ด้วยผลประโยชน์ที่ตามมามากมายขนาดนี้ จึงมีความน่าสนใจในการปรับใช้ต่อวงการฟุตบอลไทยอย่างยิ่ง หากทำได้ก็ไม่แน่ว่า อาจจะเกิดการพัฒนาหลายระดับทางด้านการเงินให้กับสโมสรฟุตบอลไทย
ระดับแรกคือเม็ดเงินที่จะเข้าสู่วงการฟุตบอลไทยมากขึ้น อาจจะมาจากการสนับสนุนลีก หรือเข้าสนับสนุนรายสโมสร
ตามมาด้วยผลประโยชน์ระดับต่อมา คือผลดีที่ส่งต่อให้กับสโมสรขนาดเล็ก ในการลดช่องว่างด้านงบประมาณทำทีม ต่อสู้กับสโมสรยักษ์ใหญ่ได้มากขึ้น
ผลประโชชน์ขั้นที่สาม และถือว่าสำคัญที่สุด นั่นคือการดึงเม็ดเงินนอกระบบกลับสู่เศรษฐกิจไทย จากที่แต่เดิมการเล่นพนันต้องแอบเล่นลับ ๆ ไม่ให้รัฐตรวจสอบได้ เงินจึงไปหมุนอยู่ข้างนอกเสียมาก แต่ถ้าทำให้ถูกกฎหมายขึ้นมา เม็ดเงินจำนวนมหาศาลก็จะกลับมาหมุนในระบบ ทั้งมาจากการจัดเก็บภาษีการพนัน หรือรัฐบาลเปิดให้พนันเองก็ได้ ซึ่งช่วยให้ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้นไปอีกทาง
และเมื่อรัฐมีรายได้จากวงการฟุตบอลมากขึ้นผ่านธุรกิจการพนัน เม็ดเงินที่ได้มาก็จะส่งผลต่อการพัฒนาวงการฟุตบอลไทย ในการเพิ่มงบประมาณกลับมาสู่การพัฒนาวงการฟุตบอล หรือวงการกีฬาให้เดินหน้าขึ้นไปอีก
ยิ่งในตอนนี้ ฝ่ายค้านและรัฐบาลได้ลงมติตั้งคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) ซึ่งรวมถึงคาสิโน บ่อนการพนัน และโต๊ะบอลแบบถูกกฎหมายในไทย เพื่อเป้าหมายการดึงเม็ดเงินจากเซียนพนันทั้งในและนอกประเทศ ก็หวังได้ว่าจะทำให้อานิสงส์ตกสู่วงการฟุตบอลไทยไม่มากก็น้อยตามมาด้วย
แต่สิ่งดังกล่าวก็ยังเป็นเพียงแค่ “ทีมศึกษา” ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงแบบทันทีทันควัน ต้องอาศัยระยะเวลา และพิจารณาข้อควรระวังอีกมากพอสมควร
ปัญหาแบบ “รัฐซ้อนรัฐ”
แม้พอจะมีสัญญาณบวกเกิดขึ้น แต่คนไทยเองก็รู้อยู่เต็มอกว่ามันมีอะไรที่ลึกลับซับซ้อน คอยขัดขวางกีดกันการพนันถูกกฎหมายมาตลอด เพราะรัฐไทยของเรามีลักษณะการบริหารแบบ “รัฐซ้อนรัฐ” อยู่
เพราะไม่ใช่มีแค่รัฐบาลอย่างเดียวที่มีอำนาจบริหารบ้านเมือง แต่มีองค์กรอื่น ๆ ที่ยื่นมือเข้ามายุ่งกับการบริหารประเทศอยู่เสมอ ไม่ว่าจะออกหน้าหรือไม่ออกหน้าก็ตาม แถมที่น่าสนใจคือในประเทศไทย ฝ่ายที่อยู่ในเงามืดนั้นมีอำนาจมากกว่ารัฐบาลด้วยซ้ำ และชี้ชะตาการเดินหน้าของประเทศชาติได้เลย
ต้องไม่ลืมโครงสร้างของรัฐไทย ไม่ได้มีแต่ “ฝ่ายบริหาร” ที่เราคุ้นตากันอย่างตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สส. หรือสว. หากแต่มีบรรดาข้าราชการ ทั้งทหารและตำรวจ, ข้าราชการพลเรือนสังกัด กรม กอง กระทรวงต่าง ๆ และประเภทอื่น ๆ ที่มีจำนวนกว่า 2 ล้านคน และอยู่ในตำแหน่งอย่างต่ำเกือบ 40 ปี (หากไม่เออร์ลี่รีไทร์) ซึ่งกลุ่มข้าราชการเหล่านี้ คือกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่คัดค้านหัวชนฝา หยิบยกสารพัดเหตุผลมากีดขวาง จนสามารถล้มกระดานสำเร็จให้เห็นมาแล้ว
แต่ก็เหมือน “ปากว่าตาขยิบ” เพราะบรรดาคนเหล่านี้นี่แหละที่มีอัตราการเล่นพนันสูงกว่ากลุ่มอาชีพอื่นๆ รวมถึงการติดหนี้บ่อน มิหนำซ้ำ ยังได้รับผลประโยชน์จากการพนันมากกว่าใครเพื่อน อาทิ การแอบเก็บต๋ง เก็บส่วย เก็บค่าคุ้มครอง หรือค่าปิดปาก โดย “เงินแดง” ที่ได้มานั้น ก็ไปเล่นแร่แปรธาตุเป็นค่าใช้วิ่งเต้นแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ หรือเอาไปเป็นทุนสนับสนุนพรรคการเมือง นักการเมือง ก็ได้
แน่นอนว่า ผลตอบแทนแสนหอมหวานขนาดนี้ การจะมาส่งเสริมหรือทำให้พนันถูกกฎหมาย ย่อมเป็นสิ่งที่คนเหล่านี้กลัว เพราะอะไรที่เคยได้ ก็จะไม่ได้เหมือนเดิม รวมถึงความสำคัญในเครื่องแสดงสถานะโดยตำแหน่ง และความสัมพันธ์ทางอำนาจ ของตนเองและสังคม ก็จะลดน้อยลงเช่นกัน
หากไม่ได้ ทำอย่างไรต่อ?
จริงอยู่ที่ฟุตบอลไทยสามารถหาประโยชน์จากพนันฟุตบอลได้ไม่น้อย แต่อุปสรรคที่มีก็เป็นเรื่องที่จัดการได้ยากตามไปด้วย หากคิดในกรณีที่แย่ที่สุด คือประเทศไทยไม่มีที่ยืนให้การพนันถูกกฎหมายจริงๆ สิ่งที่วงการฟุตบอลไทยพอจะทำได้ นั่นคือ “การปั้นลีก” ให้เป็นที่นิยมติดระดับหัวแถวของเอเชียให้ได้
อย่าไปคิดว่าเม็ดเงินสนับสนุนจากบรรดาบริษัทพนันจะมีอัตราที่สูงไปทั้งหมด เพราะไม่ว่าจะเป็นบริษัทรับพนัน หรือบริษัทประเภทใดก็ตาม หากลีกของเราไม่โด่งดัง หรือได้รับความนิยมแพร่หลายจริงๆ ก็ไม่อาจดึงเม็ดเงินการลงทุนให้มาเป็นสปอนเซอร์ได้
อาทิ ลีกอันดับหนึ่งแห่งเอเชียอย่าง เจลีก ได้รับเม็ดเงินสนับสนุนจาก เมจิ ยาสุดะ บริษัทประกันภัยชั้นนำในญี่ปุ่น รวมแล้วมีมากถึง 13.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 490 ล้านบาท มากกว่าที่โตโยต้าสนับสนุนไทยลีก ราวปีละ 175 ล้านบาท กว่าเท่าตัว
และที่สำคัญก็จะส่งผลให้สโมสรในลีกไม่สามารถดึงเม็ดเงินดังกล่าวได้ตามไปด้วย อย่างสโมสรที่ได้รับเงินจากสปอนเซอร์มากที่สุดในไทยอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่จำนวนกว่า 120 ล้านบาท ก็ยังเทียบไม่ได้กับ อุราวะ เร้ด ไดมอนส์ ที่ได้รับเงินจากสปอนเซอร์มากที่สุดในเจลีก ที่จำนวน 3,750 ล้านเยน หรือราวๆ 1,015 ล้านบาท แบบไม่เห็นฝุ่น
ดังนั้น การเริ่มต้นที่รากฐานอย่างการ “ทำให้ไทยลีกโดดเด่น” แม้จะเห็นผลช้าแน่ๆ แต่ก็ทำให้ฟุตบอลไทยเติบโตและมีพัฒนาการอย่างมั่นคง และพอไทยลีกเริ่มติดลมบน อะไรดีๆ อย่างเม็ดเงินสนับสนุนที่สูงขึ้น ก็จะตามมาเอง
หรือในอนาคต หากประเทศไทยเปิดให้การพนันเสรีและถูกกฎหมายจริงๆ เมื่อนั้นก็ถือได้ว่าฟุตบอลไทยรับผลพลอยได้ไปแบบทบต้นทบดอกด้วยนั่นเอง
บทความโดย วิศรุต หล่าสกุล
แหล่งอ้างอิง
หนังสือ Football and Gambling in Routledge Handbook of Football Studies
หนังสือ พนันบอล อำนาจ และความเป็นชาย ใน ฟุตบอลไทย: ประวัติศาสตร์ อำนาจ การเมือง และความเป็นชาย
หนังสือ พนันบอลกับไทยลีก ใน ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก : ผู้หญิง อำนาจ วัฒนธรรมแฟน และชนชั้นใหม่
บทความ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล : เมื่อ ปรีดี พนมยงค์ ตั้ง "สถานกาซิโน"
โฆษณา